หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 182-2 แสดงฝีมือ
ตอนที่ 182-2 แสดงฝีมือ
ตอนเฉียวเวยอยู่มหาวิทยาลัย นางเคยประสบเหตุการณ์คล้ายคลึงกันนี้ ตอนนั้นเป็นตอนที่นางไปทัศนศึกษา เพื่อนร่วมห้องคนหนึ่งจู่ๆ ก็สูญเสียความรู้สึกไปครึ่งตัว เล่นเอาทุกคนตกใจกันใหญ่ ตอนหลังส่งตัวไปโรงพยาบาล ตรวจร่างกายเรียบร้อยแล้วถึงได้รู้ว่าไม่ใช่โรคร้ายอะไรที่รักษาไม่หาย
และก่อนที่เธอคนนั้นจะเกิดอาการ ก็ไม่เคยมีอาการอย่างที่เขียนไว้ในหนังสือแพทย์ โรคประเภทนี้มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นโดยไม่มีสัญญาณเตือนก่อน แน่นอนว่า บางทีอาจมีสัญญาณเตือนแล้วแต่ตัวเองไม่รู้และไม่ทันได้สังเกต
เฉียวเวยไม่อาจมั่นใจได้เต็มที่ว่าโรคที่อู๋มามาเป็น คือโรคเดียวกับที่เพื่อนร่วมห้องของตนเป็น แต่นางสามารถลองดูได้ “ปี้เอ๋อร์ ในห้องยังมีส้มโอกับกล้วยหอมอยู่หรือไม่”
“มีเจ้าค่ะ ฮูหยิน” ปี้เอ๋อร์บอก
เฉียวเวยเลยบอกว่า “เจ้าไปเอามาให้อู๋มามาที ให้นางรีบกินลงไป อีกเรื่อง ลองไปหาทางเอานมแพะหรือนมวัวก็ได้มาที แล้วไปต้มน้ำแกงสาหร่าย กุ้งกับหอยมีหรือไม่ ถ้ามีก็ใส่ลงไปด้วย”
“ให้อู๋มามาหมดเลยหรือเจ้าคะ” ปี้เอ๋อร์ถาม
เฉียวเวยพยักหน้า
อู๋มามาตกใจมาก ของพวกนั้นใช่ของที่คนต่ำต้อยเช่นนางจะกินได้หรือ!
แค่กระนั้นในสายตาของเฉียวเวยไม่มีคนชั้นสูง ชั้นต่ำ มีเพียงคนธรรมดากับคนป่วย
ทุกคนช่วยกันอุ้มอู๋มามาเข้าห้องไป เยียนเอ๋อร์เดินนำปี้เอ๋อร์ไปที่ห้องครัวกลาง สั่งให้คนทำทุกอย่างที่เฉียวเวยสั่งแล้วไปที่ลานเลี้ยงสัตว์ของบ้านตระกูลจี จัดการรีดนมแพะมาได้ชามใหญ่
เมือเห็นฮูหยินน้อยเอาของดีๆ เช่นนี้ให้มามาปัดกวาดชั้นต่ำกิน ทุกคนก็พากันตะลึงงันไป
เมื่อวานฮูหยินน้อยดุดันยิ่งนัก พวกนางยังคิดว่าฮูหยินน้อยไม่ใช่คนใส่ใจคนอื่นเสียอีก
ทางด้านเรือนถงก็ได้ข่าวที่จู่ๆ อู๋มามาก็ล้มป่วยเช่นกัน สวินหลันสั่งให้เชิญหมอมาทันที แต่กระนั้นกว่าหมอจะมาถึงจวนตระกูลจี อู๋มามาก็กินน้ำแกงกินเนื้อไปคำโตแล้ว
ห้องของบ่าวไพร่สภาพแวดล้อมไม่ดีนัก ฐานเตียงกว้างๆ มีบ่าวนอนกันอยู่เจ็ดแปดคน
เฉียวเวยนั่งลงบนฐานเตียงอย่างไม่รู้สึกรังเกียจสักนิด แล้วหยิกขาของอู๋มามา
อู๋มามาถึงกับร้องซี๊ด “โอ้ย! เจ็บ!”
บ่าวในห้องพากันเบิกตาโต รู้สึกเจ็บแล้ว แสดงว่าหายดีแล้วงั้นสิ?
เฉียวเวยพูดว่า “เรื่องนี้เจ้าเข้าใจเยียนเอ๋อร์ผิดแล้ว นางไม่ได้เป็นคนทำ แต่ร่างกายเจ้าขาดสารอาหาร ขาดโพแทสเซียม พูดให้เข้าใจง่ายหน่อยก็คือเจ้ากินของไม่ดี สารอาหารไม่พอ”
เมื่ออธิบายเช่นนี้ อู๋มามาก็เข้าใจทันที อู๋มามาวางตะเกียบลงมองเยียนเอ๋อร์ด้วยความรู้สึกผิด “ขอโทษนะแม่นางเยียนเอ๋อร์ ข้าเข้าใจเจ้าผิดไป”
เยียนเอ๋อร์ระบายยิ้มด้วยความโล่งอก “เจ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว!” พูดจบนางก็หันไปทางเฉียวเวย “ขอบคุณฮูหยินน้อยมากเจ้าค่ะ”
นางกำลังขอบคุณที่ฮูหยินน้อยช่วงลบล้างมลทินให้กับนาง
อู๋มามาอยากขอบคุณฮูหยินน้อยที่ช่วยรักษาอาการป่วยของตน ทั้งยังให้อาหารดีๆ มากินอีก
เฉียวเวยระบายยิ้มบางๆ “เอาล่ะ ไว้เจ้าหายดีแล้วค่อยมาโขกศีรษะให้ข้าก็แล้วกัน” นางกวาดมองไปรอบห้อง เห็นสาวใช้หญิงรับใช้กลุ่มใหญ่ยืนออกกันอยู่เต็มไปหมด แต่ละคนจับจ้องมาที่ตนราวกับหมาป่าจ้องเหยื่อ ใจนางจึงพลันสะอึก “พวกเจ้าเป็นอะไรกัน เหตุใดถึงมองข้าเช่นนี้”
“แค่กๆ” หญิงรับใช้สูงอายุที่ใจกล้าหน่อยคนหนึ่ง นางแซ่ฟาง เกาศีรษะด้วยความเกรงใจ “ฮูหยินน้อยรู้วิชาการแพทย์ ช่วยตรวจให้ข้าด้วยได้หรือไม่ ข้า…แขนข้าเจ็บมานาน ตอนนี้แค่ยกก็เริ่มจะยกไม่ขึ้นแล้วเจ้าค่ะ”
เฉียวเวยกวักมือ “เจ้ามานี่”
หญิงรับใช้ฟางระบายยิ้มด้วยความยินดีพร้อมเดินเข้าไป
เฉียวเวยช่วยตรวจให้นาง “หัวไหล่อักเสบ หลังมื้อเย็นเจ้าไปที่ห้องข้า ข้าจะสอนให้ว่าต้องทำอย่างไร เจ้าทำวันละสองสามครั้ง เดือนหนึ่งให้หลังก็น่าจะดีขึ้นแล้ว”
หญิงรับใช้ฟางเป็นโรคนี้มาหลายปีแล้ว ปีแรกเจ็บอยู่ไม่กี่เดือน ตอนหลังก็หายไป แต่ปีที่สองก็เป็นอีก หลังจากนั้นนางเป็นหนักขึ้นทุกปี บางครั้งปวดจนนอนไม่หลับ หากสามารถรักษาให้หายได้จริง เช่นนั้นก็ต้องขอบคุณฟ้าขอบคุณสวรรค์แล้ว!
“ฮูหยิน ข้า…ข้าจะให้ท่าน…” สาวใช้ขั้นสองอีกคนหนึ่งมีนามว่าฉานเอ๋อร์ นางเอ่ยตะกุกตะกักพลางหน้าแดง
ก่อนหน้านี้ไม่ว่าใครป่วยเป็นอะไรมักจะไปหาฮูหยินใหญ่ เพราะเป็นที่รู้กันว่าฮูหยินใหญ่จะเชิญท่านหมอมาดูอาการให้พวกนางโดยไม่ต้องเสียเงิน
แต่เวลานี้ทุกคนกลับยินดีที่จะมาหาฮูหยินน้อยมากกว่า ไม่ใช่เพราะใดอื่น แต่เป็นเพราะฮูหยินน้อยเป็นหมอหญิง
ข่าวนี้แพร่ไปทั่วจวนอยากรวดเร็ว แค่พ้นช่วงบ่ายไป บ่าวที่มาขอให้ช่วยตรวจโรคก็มาออกันที่เรือนชิงเหลียนจนแน่นขนัด
ปี้เอ๋อร์ยืนบนเก้าอี้ตะโกนเสียงดังว่า “อย่าดันสิ! อย่าดันนะ! มาเอาเลขก่อน! เยียนเอ๋อร์ ให้เลขคนนั้นที!”
“ได้เลย!” เยียนเอ๋อร์ดึงกระดาษใบเล็กที่เขียนตัวเลขไว้ส่งให้สาวใช้ที่อยู่ท้ายแถว
เรือนชิงเหลียนที่เปลี่ยวเหงาพลันกลายเป็นเรือนที่อึกทึกที่สุดของบ้านตระกูลจีไป
ตอนสวินหลันเดินนำหมอกับหญิงรับใช้มาถึงบ้านชิงเหลียนนั้น แถวต่อกันยาวไปจนถึงข้างนอกแล้ว
โจวมามาก้าวนำหน้าออกไปดึงสาวใช้ที่กำลังจะเข้าไปด้านในเอาไว้ “ชุ่ยผิง! ข้างในมีอะไรกันหรือ”
ชุ่ยผิงหันไปมองสวินหลันรวมถึงท่านหมอข้างกายสวินหลันที่มีใบหน้าคุ้นตาแล้วเอ่ยด้วยความละอายว่า “ไม่ ไม่รู้สิเจ้าคะ”
โจวมามาคือหญิงรับใช้ที่วันนั้นตอนคารวะน้ำชาในเรือนลั่วเหมย นางเป็นคนโต้แย้งกับจิ่งอวิ๋น นิสัยใจคอไม่ดีเท่าไรนัก จึงหยิกชุ่ยผิงให้ทีหนึ่งจนเนื้อที่แขนของนางแทบจะหลุดติดมึอออกมา “จะบอกหรือไม่บอก”
ชุ่ยผิงเอ่ยด้วยความกลัวว่า “ฮูหยินน้อย…กำลังตรวจโรคให้ทุกคนอยู่เจ้าค่ะ”
“ไม่ได้มีแค่อู๋มามาที่ป่วยหรอกหรือ” โจวมามาถาม
“ตอนแรกก็แค่อู๋มามาคนเดียว ตอนหลัง…” ชุ่ยผิงเริ่มไม่กล้าพูด
โจวมามาพลันหน้าบึ้ง “เจ้าก็มาตรวจโรคกับเขาด้วยหรือ”
ชุ่ยผิงรีบปฏิเสธทันควัน “ไม่ใช่ๆ ข้าแค่มาขอยืมเข็มกับด้ายที่แม่นางเยียนเอ๋อร์เท่านั้น!”
โจวมามาปล่อยแขนอีกฝ่ายอย่างดุๆ แล้วหันกลับไปหาสวินหลันที่อยู่ด้านหลัง “ฮูหยิน ท่านว่า…”
สวินหลันสีหน้าเรียบเฉย “ไปกันเถอะ”
นายบ่าวสองคนพาท่านหมอกลับไป
พอพวกนางเดินกันไปไกลแล้ว ชุ่ยผิงก็ยิ้มกริ่มพลางก้าวเข้าบ้านชิงเหลียนไป “พี่ปี้เอ๋อร์ พี่เยียนเอ๋อร์! ข้าขอเลขด้วยคน!”
ลมอ่อนพัดต้องใบหน้าของสวินหลันพาให้ปอยผมปลิวไสว มีปอยหนึ่งติดอยู่ที่หน้าของนาง นางจึงยกมือขึ้นจับเบาๆ
ตรวจโรคมาทั้งบ่าย เฉียวเวยเหนื่อยล้าที่สุดก็คือดวงตา เมื่อกลับไปถึงห้องนอนจึงเอาผ้าชุบน้ำมานวดสักหน่อย
ปี้เอ๋อร์ผลักประตูเข้ามาถอนหายใจทีหนึ่ง “ฮูหยิน”
“มีอะไร ถอนหายใจเสียขนาดนั้น” เฉียวเวยถาม
ปี้เอ๋อร์ถึงบอกว่า “เยียนเอ๋อร์อยากขอลาหยุด พอดีเกิดเรื่องกับพี่สาวที่คุ้นเคยกับนางคนหนึ่งชื่อชุ่ยผิงเจ้าค่ะ”