หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 185-2 วั่งซูน้อยผู้กล้าหาญ
ตอนที่ 185-2 วั่งซูน้อยผู้กล้าหาญ
เขานั่งไขว่ห้างอยู่ หากบุรุษคนอื่นทำท่านี้บางทีอาจไม่น่ามองเท่าไรนัก เขานั่งอย่างนั้นแล้วดูเกียจคร้านเป็นพิเศษ ในความเกียจคร้านนั้นดูมีความเกเรอันยากจะควบคุมอยู่ไม่น้อย
ศีรษะเขาเอนไปด้านข้าง ลูกกระเดือกนั่นดูแล้วยั่วยวนอย่างประหลาด
“งามหรือไม่” เขาถามเสียเบา
“งามสิ” เฉียวเวยตอบไปตามสัญชาตญาณ พูดจบก็ตกใจเพราะรู้สึกแปลกๆ คิ้วเลิกขึ้นมองเข้าไปในตาอีกฝ่าย จึงได้เห็นว่าในดวงตาที่ล้ำลึกราวกับไร้จุดสิ้นสุดของเขาเต็มไปด้วยแววขบขัน เฉียวเวยหน้าแดงด้วยความประดักประเดิด “ข้าหมายถึง…พู่ของพัดงามต่างหาก!”
จีหมิงซิวอมยิ้มเอ่ยว่า “ข้าก็หมายถึงพู่พัดเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นภรรยาคิดว่าข้าหมายถึงอะไรหรือ”
เฉียวเวยตอบ “ไม่มีอะไร”
จีหมิงซิวหัวเราะเบาๆ แล้วปลดหน้ากากออก เขาเอี้ยวตัวไป ปลายนิ้วที่เย็นจัดจับปลายคางของนางไว้ เขามีใบหน้าที่สตรีทั้งโลกหล้าไม่อาจปฏิเสธได้ แค่เพียงมองอยู่อย่างนี้ก็พาให้ใจสั่นไหวไปหมด เขาก้มลงมาประกบปิดริมฝีปากแดงอันอ่อนนุ่มของนาง
รสชาติของริมฝีปากเขาก็ช่างดีงามจนน่าหลงไหล ทั้งอ่อนนุ่มทั้งหวานล้ำ
เขาแค่เพียงแตะชิมเบาๆ ไม่ได้ล่วงล้ำเข้าไป
เฉียวเวยเม้มปาก
จีหมิงซิวยิ้ม “ภรรยาดูเหมือนจะยังไม่หนำใจนะ…”
เฉียวเวยถลึงตาใส่เขา พูดอย่างกับว่าเจ้าหนำใจแล้วงั้นแหละ
จีหมิงซิวยกมือขึ้น หัวแม่โป้งไล้ไปตามริมฝีปากอ่อนนุ่มของอีกฝ่ายแล้วกดลงไปเบา
ลูกไฟดวงเล็กที่อยู่ในท้องเฉียวเวยพลันถูกจุดให้ลุกพึ่บขึ้นทันที
อีตานี่ก่อนหน้านี้ใช่เป็นคุณชายเจ้าสำราญหรือไม่นะ เหตุใดถึงกระตุ้นเก่งเพียงนี้
จีหมิงซิวเอ่ยขึ้นว่า “มีเรื่องจะบอกเจ้าเรื่องหนึ่ง”
จุดไฟจนติดแล้วแต่กลับจะมาพูดเรื่องอะไรอีก เฉียวเวยคล้ายถูกน้ำเย็นๆ สาดรดลงมา “เรื่องอะไร”
แววตาจีหมิงซิวดูมีนัยยะลึกซึ้ง “ไห่สือซาน สืบจนได้ข่าวแม่เจ้าแล้ว”
เฉียวเวยตาพลันเป็นประกาย “แม่ข้าใช่ว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่”
จีหมิงซิวชะงักไป “เรื่องนี้ยังไม่อาจยืนยันได้ในเวลานี้ รู้เพียงแต่ว่านางถูกยอดฝีมือจำนวนหนึ่งพาตัวไป ส่วนที่ว่านางที่พวกเขาพาไปจะยังมีชีวิตอยู่หรือเป็นศพไปแล้วนั้น ยังต้องรอสืบต่อ ข้าเลยต้องบอกเจ้าไว้ก่อนว่า โอกาสที่นางจะได้กลับมาอย่างมีชีวิตอาจจะไม่มากนัก”
เฉียวเวยจึงบอกว่า “นั่นอย่างไรก็ดีกว่าไม่เจออะไรเลย คนพวกนั้นเป็นใครกัน แล้วพาตัวนางไปที่ใด”
จีหมิงซิวตอบว่า “ยังไม่รู้อะไรทั้งสิ้น แต่ฐานะของแม่เจ้าอาจจะไม่ธรรมดาเลยก็เป็นได้”
เฉียวเวยเองก็คิดเช่นนั้น หากธรรมดามากพอ คงสามารถแต่งงานกับท่านพ่อนางด้วยชื่อแซ่จริงๆ ของตัวเองได้ เหตุใดถึงต้องยืมใช้ฐานะบุตรสาวจากหุบเขาสมุนไพรด้วย ท่านแม่นางไม่ใช่กำลังหลบหนีความผิด ก็ต้องมีฐานะที่ไม่ธรรมดาแน่นอน
แต่ต่อให้ไม่ธรรมดาเพียงใด เฉียวเวยก็เดาไม่ออกอยู่ดี นางรู้เพียงว่าสมุดของมารดานางทำจากทองคำ วิชาการแพทย์ของนางสูงส่ง และนางร่ำรวยมาก
จีหมิงซิวตบบ่านาง “หากไห่สือซานส่งข่าวอะไรมาอีก ข้าจะมาบอกเจ้าทันที ไปกินข้าวกันเถอะ”
เฉียวเวยอึ้งไป “กินข้าว?”
ไม่ใช่ว่าควร…
จีหมิงซิวยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “ภรรยาไม่กินข้าวแล้วอยากจะทำอะไรหรือ”
“กิน…ข้าวสิ!”
เฉียวเวยลุกขึ้นพร้อมมองตรงไปข้างหน้า แล้วจึงเดินออกไปตักน้ำเสียเอง
มื้อเย็นเพราะขาดจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูไป เฉียวเวยเลยให้ห้องครัวเล็กตัดกับข้าวบางอย่างออกไป แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้นอาหารก็ยังเต็มโต๊ะอยู่ดี ทั้งสองต่างไม่ใช่เจ้านายที่กินเก่งด้วยกันทั้งคู่ แค่ชิมอย่างละคำสองคำก็อิ่มกันพอประมาณแล้ว
บ่าวไพร่เข้าห้องไปรองน้ำร้อนไว้ให้ ตอนบ่ายเฉียวเวยตรวจโรคจนเหงื่อออกเต็มไปตัวไปหมด จึงอาบน้ำไปก่อนแล้ว แต่การแช่น้ำที่โรยด้วยกลีบดอกไม้ทำให้เลือดลมเดินดี นางจึงลงไปแช่อีกรอบหนึ่ง
หลังจากแช่น้ำเสร็จนางก็เปลี่ยนเสื้อผ้าขึ้นไปนอนบนเตียง
ลูกๆ ไม่อยู่ มีแค่พวกเขาสองคน หากจะบอกว่าไม่ตื่นเต้นคงเป็นการโกหก
เพียงแต่ก็ไม่ได้ประดักประเดิดเท่าที่คิดเอาไว้ อาจเป็นเพราะคุ้นชินกันแล้วก็เป็นได้
เฉียวเวยช่วยเขาคลี่ผ้าห่มไว้ให้อย่างมีน้ำใจ ส่วนตนซุกตัวเข้าไปในผ้าห่มเต็มที่
ท่าทางเช่นนี้ของนางสื่อความได้ชัดเจนนัก เจ้านอนของเจ้า ข้านอนของข้า
จีหมิงซิวแช่น้ำเสร็จกลับมาเห็นผ่าห่มที่อยู่บนเตียงห่อม้วนอย่างแน่นหนาเป็นลูก “บ๊ะจ่าง” ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
เฉียวเวยหลับอยู่ ท่าทางเหมือนคนหลับไปแล้ว
จีหมิงซิวเป่าดับตะเกียงแล้วนั่งลงบนเตียง “ภรรยาหลับแล้วหรือ”
ไม่มีเสียงตอบกลับ
เขาจึงเอ่ยเสียงเรียบว่า “ดูท่าคงจะหลับไปแล้วจริงๆ”
ใช่เลย ข้าหลับไปแล้ว ดังนั่นท่านอย่าได้คิดจะทำอะไรเชียว!
จีหมิงซิวดึงผ้าห่มนางขึ้นแล้วซุกตัวเข้าไป
ตัวเฉียวเวยพลันแข็งเกร็ง!
…
ยามราตรีท้องฟ้ามืดดำไร้จุดสิ้นสุด
บ่าวที่เฝ้าเวรดึกได้ยินเสียงที่ฟังดูไม่ปกติต่างก็พากันหน้าแดง ทุกวันที่พวกนางเข้าไปเอาเสื้อผ้ามาซัก พวกนางรู้ว่าคุณชายกับฮูหยินน้อยไม่ได้ร่วมหอกันเลย แต่วันนี้เมื่อเหล่านายน้อยไม่อยู่ ในที่สุดทั้งสองก็ได้ตกล่องปล่องชิ้นกันเสียที
“เจ้า…เจ้าเบาหน่อย”
“ข้ารู้”
จีหมิงซิวอดกลั้นเอาไว้อย่างยากลำบาก ในขณะที่กำลังจะเสร็จกิจแล้วนั้น ทางด้านนอกจู่ๆ ก็มีเสียงโจวมามากรีดร้องดังลั่นว่า “แย่แล้วเจ้าค่ะคุณชายใหญ่! เกิดเรื่องกับเหล่าฮูหยินแล้ว!”
…
หลังจากนั้นประมาณครึ่งเค่อ จีหมิงซิวก็คลุมเสื้อตัวนอกเดินสายตาดุดันออกมา “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
โจวมามารีบร้อนเอ่ยว่า “เหล่าฮูหยินเป็นลมไปเจ้าค่ะ! เกิดเรื่องกับนายท่านเจ้าค่ะ!”
จีหมิงซิวหน้าบึ้ง “ใครเป็นอะไรกันแน่”
โจวมามาทำหน้าขมขื่น “เกิดเรื่องกับนายท่านก่อนเจ้าค่ะ เหล่าฮูหยินไปดูนายท่าน ด้วยอารามรีบร้อนจึงเป็นลมไปเจ้าค่ะ! ฮูหยินใหญ่ให้คนไปเชิญหมอมาแล้ว แต่หมอพักอยู่ไกล ไม่รู้จะมาถึงเวลาใด บ่าวได้ยินว่าฮูหยินน้อยช่วยตรวจอาการให้ได้ เลยจะขอเชิญฮูหยินน้อย…ช่วยไปดูที่เรือนถงก่อนได้หรือไม่”
จีหมิงซิวกวาดตามองนางอย่างเรียบเย็นทีหนึ่งแล้วเดินกลับห้องไป
เฉียวเวยได้ยินที่โจวมามาพูด จึงเปลี่ยนเสื้อผ้ารออยู่แล้วและเอาเสื้อผ้าของจีหมิงซิวออกมาให้ด้วย
จีหมิงซิวมองนางอย่างรู้สึกผิด “ขอโทษนะ”
เฉียวเวยกระแอมให้ลำคอโล่ง เอ่ยยิ้มๆ คล้ายไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ขอโทษอะไรกัน ไปกันเถอะ อย่าให้เหล่าฮูหยินรอนานเลย นางเคยจ้งเฟิงมาก่อน หากเกิดเป็นอีกทีคงจะไม่ได้การ”
จีหมิงซิวรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยความรวดเร็ว แล้วจูงมือนางไปที่เรือนถงด้วยกัน
เมื่อเจ้านายสองคนเกิดเรื่องติดๆ กัน บ่าวในเรือนถงจึงตกอกตกใจกันใหญ่ ยืนระวังกันอยู่ด้านข้าง ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
มีคนทำความเคารพเฉียวเวยกับจีหมิงซิว จีหมิงซิวถามโจวมามาเสียงเรียบ “เหล่าฮูหยินอยู่ที่ใด”
“อยู่ในห้องฮูหยินเจ้าค่ะ” โจวมามาเดินนำจีหมิงซิวกับเฉียวเวยไปที่ห้องของสวินหลัน
สวินหลันมีผ้าโปร่งปิดหน้าอยู่ ด้วยเพราะเรื่องเมื่อบ่ายจีซั่งชิงไม่ได้บอกให้ทุกคนรู้โดยทั่วกัน ทั้งสองไม่รู้ว่านางมีแผลที่ใบหน้า เพียงรู้สึกแปลกใจว่าเหตุใดนางถึงใส่ผ้าปิดหน้าในยามกลางค่ำกลางคืนเช่นนี้ แต่ก็ไม่ได้ถามออกไป
“หมิงซิว เสี่ยวเวย พวกเจ้ามาแล้ว” นางเอ่ยทักทาย
จีหมิงซิวพยักหน้าเรียบๆ
เฉียวเวยเรียกขานอีกฝ่ายว่าฮูหยินด้วยความเกรงใจ
จีหมิงซิวพาเฉียวเวยไปตรงหน้าเตียง
เฉียวเวยลองสำรวจลมหายใจตรงจมูกของเหล่าฮูหยินก่อน แล้วจึงดูลูกตาของเหล่าฮูหยิน สุดท้ายตรวจชีพจรแล้วค่อยสำรวจร่างกายอีกที “ไม่มีบาดแผลภายนอกอะไรที่ชัดเจน และไม่ได้จ้งเฟิงด้วย อีกเดี๋ยวก็ฟื้นแล้ว”
แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เฉียวเวยแค่บีบร่องเหนือริมฝีปากของจีเหล่าฮูหยิน จีเหล่าฮูหยินก็ค่อยๆ ได้สติ ประโยคแรกที่นางถามก็คือ “ซั่งชิงเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
จีซั่งชิงเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของเหล่าฮูหยิน หากจะบอกว่าไม่รักคงเป็นการโกหก นางรักจีหมิงซิวเท่าไร ก็รับจีซั่งชิงมากเท่านั้น ในใจของนางรักทั้งสองไม่ต่างกันเลย
จีหมิงซิวได้ยินจีเหล่าฮูหยินถามถึงบิดาของตน สีหน้าก็เย็นชายิ่งนัก
กลับเป็นโจวมามาที่เอ่ยปากขึ้นว่า “เรียนเหล่าฮูหยิน นายท่านยังไม่ฟื้นเลยเจ้าค่ะ!”
นางเห็นจีเหล่าฮูหยินทำท่าจะเป็นลมไปอีกรอบ เฉียวเวยเลยรีบกดจุดชีพจรนางไว้ “ท่านย่า ท่านจะอารมณ์ขึ้นลงไม่ได้อีกแล้ว! หากเป็นอีกครานี้จะจ้งเฟิงเข้าให้จริงๆ นะเจ้าคะ!”
จีเหล่าฮูหยินข่มอารมณ์ตนเอาไว้ แต่นางเป็นห่วงบุตรชายนี่!
“ซั่งชิง ซั่งชิง…” น้ำตานางร่วงลงมา
เฉียวเวยเอ่ยปลอบว่า “ข้าจะไปดูท่านพ่อเอง”
จีเหล่าฮูหยินถึงได้นึกขึ้นได้ว่านางรู้วิชาการแพทย์ จึงรีบดึงมือนางมาจับ “ดี! ดี! รีบไปดูทีนะ!”
เฉียวเวยมีโจวมามาพาไปที่ห้องของจีซั่งชิง
ตามที่โจวมามาบอก จีซั่งชิงมีอาการป่วยขึ้นมาตอนอ่านหนังสืออยู่ในห้องหนังสือ
ที่แท้จีซั่งชิงก็เป็นโรคหอบหืดชนิดรุนแรง ตอนไม่มีอาการไม่ต่างอะไรกับคนธรรมดา แต่หากอาการกำเริบขึ้นมาจะอันตรายอย่างมาก
วันนี้เผอิญว่าเขาอ่านหนังสืออยู่ในห้องคนเดียว ตอนอาการกำเริบข้างกายไม่มีใครคอยรับใช้ กว่าหลิวเกอร์จะเข้ามาเรียกบิดาตนไปกินข้าว บิดาของตนก็ล้มลงกับพื้นเสียแล้ว
เฉียวเวยขมวดคิ้ว “ข้าไม่ได้จะว่าพวกเจ้านะ แต่พวกเจ้าใจกล้ากันเกินไปหรือไม่ เหล่าฮูหยินอายุตั้งเท่าไรแล้ว ทั้งยังเคยจ้งเฟิงมาก่อน เรื่องเช่นนี้ควรปิดนางถึงจะถูก เหตุใดถึงให้นางรู้เรื่องพวกนี้ได้”
โจวมามาพยักหน้าหงึกหงัก “ฮูหยินน้อยสั่งสอนได้ถูกต้อง เดิมทีพวกเราก็ไม่อยากบอกเหล่าฮูหยิน แต่ตอนไปเชิญท่านหมอมีสาวใช้จากเรือนอื่นมาได้ยินเข้า เรื่องเลยกระจายไปถึงเรือนถง สาวใช้คนนั้นถูกข้าสั่งสอนไปแล้ว!”
มาสั่งสอนเวลานี้จะมีประโยชน์อะไร ก่อนหน้านี้ทำอะไรกันอยู่
เฉียวเวยส่ายหน้าแล้วเข้าไปในห้องของจีซั่งชิง
ห้องของสวินหลัน แค่ดูก็รู้ว่าเป็นห้องของสตรี ดูหรูหราและงามสง่า ทุกที่มีกลิ่นหอมของหนังสืออันอบอุ่น ห้องของจีซั่งชิงกลับดูโบราณ สีไปในทางเดียวกันหมด เดินเข้ามาให้ความรู้สึกเย็นเยียบและดูซังกะตายอย่างบอกไม่ถูก
เฉียวเวยตรวจชีพจรให้จีซั่งชิงพลางเอ่ยกับโจวมามาว่า “เปิดหน้าต่าง”
โจวมามาลังเล “แต่นี่…นายท่านป่วยอยู่นะเจ้าคะ ถูกลมจะไม่ดี”
เฉียวเวยเลยบอกว่า “เขาขาดอากาศนี่! เจ้ายังจะปิดประตูปิดหน้าต่างอีก อากาศก็ไม่ระบายสิ อยากให้เขาฟื้นหรือไม่”
“อยากๆๆ เจ้าค่ะ!” โจวมามารีบไปเปิดหน้าต่าง
เฉียวเวยเอ่ยเรียบๆ ว่า “เจ้าไปที่บ้านชิงเหลียนที ให้ปี้เอ๋อร์เอากล่องของข้ามา”
“กล่องอะไรเจ้าคะ” โจวมามาถาม
เฉียวเวยเพียงบอกว่า “ปี้เอ๋อร์รู้”
โจวมามาจึงไม่ถามอะไรอีก ค้อมศีรษะเอ่ยว่า “เจ้าค่ะ! บ่าวจะไปเดี๋ยวนี้!”
มามาผู้นี้ไม่ได้ใจกล้านักหรอกหรือ ตอนคารวะน้ำชายังกล้าต่อปากต่อคำกับลูกชายนาง นี่เพิ่งผ่านไปกี่วันกัน เหตุใดถึงราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคนได้ ยังค้อมศีรษะย่อเข่าให้นางเสียด้วย
โจวมามาทำอะไรรวดเร็ว ไม่นานนางก็พาปี้เอ๋อร์เข้ามา
ปี้เอ๋อร์เอากล่องอุปกรณ์ของเฉียวเวยวางลงบนโต๊ะ “ใช่กล่องนี้หรือไม่เจ้าคะ ฮูหยิน”
เฉียวเวยพยักหน้า “ใช่ พวกเจ้าออกไปแล้วปิดประตูด้วย”
โจวมามาถามด้วยความแปลกใจ “ทำอะไรหรือ”
ปี้เอ๋อร์กรอกตาบนใส่นาง “คุณหนูของข้าเวลาตรวจโรคไม่ชอบให้ใครคอยมองอยู่ข้างๆ!”
นี่มันกฎบ้าบอคอแตกอะไรกัน โจวมามาบ่นในใจ แต่กลับไม่กล้าเอ่ยปากต่อว่าเฉียวเวย นางจึงออกจากห้องไปพร้อมกับปี้เอ๋อร์
ปี้เอ๋อร์ปิดประตูแล้วยืนขวางอยู่ข้างหน้าราวกับเป็นพระพุทธรูป
โจวมามาทำท่าจะย่องออกไป
ปี้เอ๋อร์เลยส่งเสียงหึหึแล้วบอกว่า “หากเจ้าคิดจะไปแอบดูตรงหน้าต่างละก็ ระวังฮูหยินข้าจะทิ่มตาเจ้าบอดเสีย!”
โจวมามทำคอหดแล้วเดินย่องกลับมา
เฉียวเวยเคยอ่านวิธีการฝังเข็มเพื่อระงับอาการหอบหืดมาก่อนในสมุดจดของเฉียวเจิง นางยังไม่เคยทดลอง ไม่รู้ว่าจะมีผลอะไรกับจีซั่งชิงหรือไม่ นางปลดเสื้อตัวนอกของจีซั่งชิงออก กดจุดชีพจรตามที่จำได้แล้วทิ่มเข็มทองเล่มหนึ่งลงไป
“ฮูหยินอยู่ข้างใน?” จีหมิงซิวมาที่หน้าประตู
ปี้เอ๋อร์บอกว่า “น่าจะกำลังฝังเข็มอยู่เจ้าค่ะ”
หลังจากนั้นสองเค่อ เฉียวเวยก็เดินถือกล่องเครื่องมือออกมา
จีหมิงซิวรับกล่องที่หนักอึ้งจากมือนางไป “เหนื่อยหรือไม่”
“พอไหว” เฉียวเวยยิ้มพลางส่ายหน้า
โจวมามารีบถามว่า “ฮูหยินน้อย นายท่านเป็นอย่างไรบ้าง”
เฉียวเวยบอกว่า “ชีพจรกับลมหายใจไม่มีปัญหาอะไรมากแล้ว”
โจวมามาชะโงกมองเข้าไปด้านใน “เช่นนั้น…เหตุใดนายท่านถึงยังไม่ฟื้น”
เฉียวเวยใช้ความคิดแล้วบอกว่า “นี่คงเป็นเรื่องของสภาพร่างกายแล้ว คนป่วยคนอื่นฝังเข็มไม่กี่ทีก็ฟื้นแล้ว ร่างกายของนายท่านพวกเจ้าคงจะอ่อนแอกระมัง”
หลิวเกอร์อ่อนแอเพียงนั้น บิดาของเขาก็คงไม่ต่างกัน สมกับเป็นพ่อลูกกันจริงๆ
ทั้งสองกลับไปที่ห้องของสวินหลัน
จีเหล่าฮูหยินนั่งพิงหัวเตียงอยู่ นางจับมือเฉียวเวยไว้ “พ่อเจ้าเป็นอย่างไรบ้างแล้ว ฟื้นหรือยัง”
เฉียวเวยตอบเสียงเบาว่า “ตอนนี้ไม่เป็นอะไรมากแล้ว ท่านย่า สุขภาพท่านก็สำคัญ รีบกลับห้องไปพักผ่อนเถอะเจ้าค่ะ”
จีเหล่าฮูหยินบอกว่า “ข้าไม่กลับ! ซั่งชิงไม่ฟื้น ข้าก็จะไม่ไปไหนทั้งนั้น!” นางมองคู่ข้าวใหม่ปลามันแล้วเอ่ยอย่างขอโทษว่า “รบกวนเวลาพักผ่อนของพวกเจ้าแล้ว พวกเจ้ากลับไปก่อนเถอะ อีกเดี๋ยวหมอหลูก็มาแล้ว”
“ฮูหยิน! ฮูหยิน!” สาวใช้นางหนึ่งวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา
สวินหลันเอ่ยต่อว่าอีกฝ่ายเบาๆ “กระวีกระวาดเช่นนี้ ใช่ได้ที่ไหนกัน มีเรื่องอะไรก็ว่ามา”
“เจ้าค่ะ” สาวใช้ก้มหน้างุด พอหยุดยืนนิ่งแล้วก็บอกว่า “ใต้เท้าหลูออกไปตรวจโรคข้างนอก เขาไม่อยู่บ้านเจ้าค่ะ”
เช่นนี้ก็ยุ่งยากแล้ว
ด้วยอาการของจีซั่งชิงในเวลานี้ เขาไม่อาจอยู่ห่างหมอได้
ทุกคนจึงหันไปหาเฉียวเวยกันเป็นตาเดียว
สวินหลันเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ไปเชิญท่านหมอคนอื่นมา”
เฉียวเวยบอกว่า “ข้าอยู่ที่นี่ก็แล้วกัน”
สวินหลันเลยบอกว่า “จะทำเช่นนี้ได้อย่างไร”
ทำไม่ได้แต่ข้าก็มาอยู่นี้แล้ว หากจะไปเสียอย่างนี้จะได้การหรือ
สาวใช้ผู้นี้ก็สมองหมูหรือไร เชิญท่านหมอหลูมาไม่ได้ ก็ไม่คิดจะไปเชิญหมอท่านอื่นมาเลยหรือ
เฉียวเวยกดคำต่อว่าในใจเอาไว้ “ท่านพ่อล้มป่วย ข้าคอยอยู่ดูแลอย่างเต็มที่ถือเป็นเรื่องสมควร”
จีเหล่าฮูหยินตบมือเฉียวเวยเบาๆ “เช่นนั้นก็ลำบากเจ้าแล้วนะ เด็กน้อย”
สวินหลันเอ่ยเสียงเบาว่า “มีเสี่ยวเวยอยู่ที่นี่ก็พอแล้ว ท่านแม่ ท่านกับหมิงซิวกลับไปก่อนเถอะเจ้าค่ะ”
จีเหล่าฮูหยินยังคงไม่วางใจ หรงมามาจึงเอ่ยเกลี้ยกล่อมว่า “ฝีมือการแพทย์ของฮูหยินน้อยท่านยังไม่วางใจอีกหรือ หากท่านตรากตรำจนเป็นอะไรไป จะไม่ยิ่งเพิ่มความยุ่งยากให้ฮูหยินน้อยหรือเจ้าคะ!”
จีเหล่าฮูหยินคิดแล้วเห็นเป็นเช่นนั้น จึงไม่ดื้อดึงอีก นี่หากเป็นท่านหมอคนอื่น นางคงไม่วางใจจริงๆ แต่พอเป็นเสี่ยวเวย นางเป็นดาวที่ช่วยชีวิตตนไว้ เมื่อนางออกโรงเอง ก็เท่ากับรักษาชีวิตของซั่งชิงไว้ได้ครึ่งหนึ่งแล้ว!
“หมิงซิวก็กลับเถอะ”
จีเหล่าฮูหยินรู้ว่าหลานชายไม่ต้อนรับแม่เลี้ยงผู้นี้นัก ยามอยู่กับนางจะทั้งกระอักกระอ่วนและทำตัวห่างเหิน
จีหมิงซิวไม่สะดวกใจที่จะอยู่ที่นี่จริงๆ สถานการณ์บังคับให้เฉียวเวยอยู่ที่นี่ แต่เขาอยู่ไม่ไหว ถึงอย่างไรสวินหลันกับเขาก็ไม่ใช่แม่ลูกกันแท้ๆ ตรงใดที่เลี่ยงคำครหาได้ก็ควรเลี่ยงไว้ก่อน
จีเหล่าฮูหยินจับมือจีหมิงซิวไว้ “เจ้าไปส่งข้ากลับเรือนลั่วเหมยนะ”
จีหมิงซิวหันไปมองเฉียวเวย
เฉียวเวยคลี่ยิ้ม “ไปเถอะ”
จีหมิงซิวประคองท่านย่าออกจากเรือนถงไป
จันทร์กระจ่างบนฟากฟ้า ไม่รู้เข้าไปหลบซ่อนอยู่หลังเมฆตั้งแต่เมื่อไร ท้องฟ้าจึงดูมืดมัวและหนาวเย็น
เฉียวเวยนั่งอยู่ในห้องสวินหลัน สวินหลันยกของว่างยามดึกเข้ามาให้ “หิวแล้วกระมัง อยากกินอะไรหน่อยหรือไม่”
เฉียวเวยไม่ชอบกินอะไรในตอนกลางคืน “ไม่เป็นไร ข้าไม่หิว”
สวินหลันส่งถาดให้โจวมามายกออกไป “ถ้าอย่างนั้นเจ้านอนก่อนดีหรือไม่ หากทางด้านนายท่านมีอะไร ข้าค่อยเรียกเจ้าอีกที”
เฉียวเวยนิ่งคิดก่อนตอบว่า “ก็ดี”
เฉียวเวยขึ้นไปนั่งบนเตียง ถอดรองเท้าแล้วนอนลง พอเห็นสวินหลันไม่ออกไปไหน จึงถามว่า “ท่านก็จะนอนที่นี่หรือ”
สวินหลันไม่ได้ตอบอะไร เพียงเดินไปที่ประตู ปิดประตูแล้วขัดกลอน