หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 186-1 คำเชิญของสวินหลัน
ตอนที่ 186-1 คำเชิญของสวินหลัน
“ท่านลงกลอนประตูทำไมหรือ” เฉียวเวยระมัดระวังตัวขึ้นมาทันที
ไม่ใช่เพราะนางตั้งใจจะหาเรื่องแม่เลี้ยงสาว แต่เพราะสภาพแวดล้อมทำให้นางเป็นเช่นนี้ นางระวังเนื้อระวังตัวมากกว่าคนทั่วไปมาตั้งแต่เล็กๆ
สวินหลันหันกลับมา ระบายยิ้มน้อยๆ “เจ้าคิดว่าข้าจะทำอะไรเล่า”
เฉียวเวยมองประเมินขึ้นลงรอบหนึ่ง “ข้าขอเตือนท่านว่าอย่าเล่นตุกติกจะดีกว่า ท่านสู้ข้าไม่ได้หรอก”
สวินหลันหัวเราะออกมาเสียงเบา เสียงหัวเราะของนางช่างบางเบาพาให้คนคิดถึงน้ำที่ไหลเอื่อยผ่านซอกเขาลงมา “เจ้าช่างเป็นคนตรงไปตรงมาจริงนะ ดีร้ายอย่างไรข้าก็เป็นแม่สามีของเจ้า เจ้าพูดจากับข้าเช่นนี้ หากมีคนเอาไปพูดไม่กลัวว่าคนอื่นจะกล่าวโทษเจ้าหรือ”
เฉียวเวยขมวดคิ้วเล็กน้อย “ท่านคิดจะทำอะไรหรือไม่กันแน่ จะพูดไร้สาระมากมายเพียงนั้นไปไย”
สวินหลันเดินเข้ามาช้าๆ แต่ละก้าวของนางเป็นไปอย่างสง่างาม ช่างดูคล้ายดอกหมู่ตันที่กำลังค่อยๆ ผลิบาน ภายในห้องที่เงียบงันพลันดูมีสีสันและกลิ่นหอมขึ้นมาทันที
นางเดินเข้ามาได้ไม่กี่ก้าวก็หยุดเดิน นิ้วเรียวเลื่อนไปปลดกระดุมเสื้อ “ข้าจะเปลี่ยนชุดสักหน่อย”
ที่แท้ก็จะเปลี่ยนเสื้อผ้าหรอกหรือ ทำเสียอย่างกับมีอะไรไม่ชอบมาพากล ทำนางคิดว่าแม่เลี้ยงสาวผู้นี้จะเล่นสกปรกอะไรกับสะใภ้อย่างนางเสียอีก!
จะโทษที่นางคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยก็ไม่ได้ เดิมทีความสัมพันธ์ระหว่างแม่เลี้ยงกับลูกเลี้ยงก็อ่อนไหวมากอยู่แล้ว นางยังให้กำเนิดบุตรชายของตนเองอีก หากจีหมิงซิวไม่อาจรับช่วงกิจการของตระกูลตนเองได้เล่า หลิวเกอร์ของนางก็จะได้เป็นผู้สืบทอดที่ถูกต้องเหมาะสมที่สุด หากมองจากมุมนี้ นางก็มีโอกาสที่จะหาเรื่องนางได้อย่างเต็มที่
แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะเลวร้ายเช่นนี้ แม่เลี้ยงที่จิตใจดีมีเมตตาก็มีอยู่มาก
หวังว่าแม่เลี้ยงที่งดงามราวกับเทพธิดาผู้นี้จะมีจิตใจที่เหมาะสมกับรูปลักษณ์ภายนอก
จากมุมมองของเฉียวเวย สวินหลันงดงามจนมีฟองลอยออกมาจริงๆ
พ่อสามีข้าคงจะมีโชคเรื่องหญิงงามมากจริงๆ
เฉียวเวยคิดอะไรของตนไปในใจ จะเอาแต่จ้องอีกฝ่ายก็กระไรอยู่ จึงเบือนหน้าหนีไปมองทางอื่น เพียงแต่ใครใช้ให้คนเราชอบมองของสวยๆ งามๆ กันเล่า นางยังอดไม่ได้ที่จะใช้หางตาเหลือบมองอีกฝ่ายอีกสักทีสองทีอยู่ดี
จึ๊ๆ เอวเล็กเหลือเกิน! ขาก็ยาว! ผิวพรรณก็ดีเยี่ยม!
สวรรค์ช่างสรรค์สร้าง สวรรค์ช่างสรรค์สร้างจริงๆ!
เฉียวเวยกลืนน้ำลายแล้วไม่เหลือบมองอีก หากยังมองต่อนางคงได้จิตใจเอนเอียงแน่
เหตุใดถึงมีสตรีที่งดงามเพียงนี้อยู่ได้นะ
สตรีที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้ จีหมิงซิวตอนนั้นตาบอดหรือไร ถึงขั้นไม่ลองชิมดูสักนิด
แต่ก็โชคดีที่เขาไม่ได้แอบชิม ไม่อย่างนั้นคงไม่มีเรื่องของนาง ไม่มีเรื่องของพ่อสามีแล้ว
สตรีเวลาเปลี่ยนเสื้อผ้านั้นยุ่งยากเหลือแสน ซ้ายชิ้นหนึ่งขวาชิ้นหนึ่ง ต้องพยายามอยู่กว่าครึ่งเค่อถึงจะใส่จนเสร็จเรียบร้อย ตอนนางหันหลังให้เฉียวเวย นางถอดผ้าคลุมหน้าออก พอหันกลับมาก็ปิดกลับไปอย่างเดิม
เฉียวเวยไม่สนใจสักนิดว่าเหตุใดนางถึงใส่ผ้าปิดหน้า เลยไม่ได้ถามอะไร
สวินหลันเข้ามานั่งบนเตียงอย่างเป็นธรรมชาติ “ไม่ถือกระมัง”
เฉียวเวยระบายยิ้ม “เดิมทีก็เป็นเตียงของท่าน ข้าย่อมไม่ถือสา”
เฉียวเวยพูดพลางเขยิบเขาไปข้างในเพื่อเหลือที่ให้นาง
สวินหลันนอนลงทั้งเสื้อผ้า แล้วคล้ายเป็นกังวลว่าเฉียวเวยจะคิดว่านางไม่สนใจเรื่องของจีซั่งซู จึงออกตัวไว้ก่อนว่า “ข้างนอกมีบ่าวเฝ้าเวรอยู่ หากนายท่านฟื้นจะมาเรียกพวกเราเอง”
“อ้อ” เฉียวเวยดึงผ้าห่มไปห่ม
ผ้าห่มมีอยู่ผืนเดียว แต่ก็ใหญ่มากพอ ทั้งสองจึงห่มด้วยกันได้ ตรงกลางยังให้เด็กนนอนได้อีกหลายคนด้วยซ้ำ
อันที่จริงเฉียวเวยไม่สู้คุ้นชินกับการนอนกับคนแปลกหน้านัก แต่ก็ไม่กล้าขอเปลี่ยนห้อง หากรู้แต่แรกว่าแม่เลี้ยงสาวจะนอนที่นี่ด้วย นางยอมไปเฝ้าจีซั่งชิงที่ห้องข้างเสียงยังดีกว่า
“เสี่ยวเวย” จู่ๆ สวินหลันก็เอ่ยขึ้น
“มีอะไรหรือ” เฉียวเวยถาม
สวินหลันนิ่งไป “เจ้าคงรู้เรื่อง…ชาติกำเนิดของข้ากระมัง”
ชาติกำเนิด? ไม่ใช่กระมัง นี่แม่เลี้ยงสาวจะพูดคุยเรื่องชีวิตกับนางหรือ
ดวงตาของเฉียวเวยสั่นไหวเล็กน้อย “อ้อ พอได้ยินมาบ้าง”
ปี้เอ๋อร์ไปหลอกถามเรื่องของแม่เลี้ยงสาวมาจากมามาที่เรือนลั่วเหมย หากแม่เลี้ยงสาวสงสัย ก็คงสืบได้ไม่ยาก จึงไม่จำเป็นต้องปิดต้องบังใดๆ อีกอย่างนี่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่เรื่องโตอะไร ถามเรื่องอดีตของแม่สามีตนเองแล้วอย่างไร นางอยากกตัญญูต่อแม่สามีได้ดีกว่านี้ไม่ได้หรือ
สวินหลันเอ่ยเบาๆ ว่า “ท่านพ่อข้าเดิมทีเป็นลูกศิษย์ของนายท่านอาวุโส ก่อนข้าเกิดนายท่านอาวุโสให้ความสำคัญกับเขามาก ตอนข้าอายุได้หกปี บ้านข้าเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ พ่อข้ารู้ว่าตนคงใกล้ถึงฆาตเต็มที กลัวว่าท่านลุงท่านอาที่บ้านจะไม่ดีต่อข้า จึงฝากฝังข้าเอาไว้กับนายท่านอาวุโส”
เรื่องนี้ไม่ต่างกับที่ปี้เอ๋อร์ได้ยินมาเท่าไรนัก สิ่งเดียวที่ไม่เหมือนกันก็คือ มามาเหล่านั้นบอกว่าฝากฝังไว้กับตระกูลจี นางยังคิดว่าฝากฝังไว้กับจีซั่งชิงเสียอีก คิดไม่ถึงว่าจะเป็นนายท่านอาวุโส
สวินหลันเล่าต่อว่า “ข้าเข้ามาอยู่บ้านตระกูลจีได้ไม่เท่าไร นายท่านอาวุโสก็ล้มป่วยจนเสียชีวิต บ่าวไพร่เหล่านั้นเห็นข้าไม่มีใครให้พึ่งพิง จึงปฏิบัติต่อข้าอย่างไม่เต็มใจเท่าที่ผ่านมา”
ไม้ใหญ่ล้มลิงก็หนีหมดน่ะนะ!
เจ้าไม่ใช่กระทั่งคุณหนูตระกูลจีโดยชอบธรรม แม้แต่บุตรจากอนุก็ยังเทียบไม่ได้ คนเขายอมให้ข้าวเจ้ากินก็นับว่าไม่เลวแล้ว
สวินหลันพูดต่อว่า “ผ่านไปไม่นานเท่าไร ครอบครัวนายท่านก็กลับมาอยู่ที่จวน”
นางยังคิดว่าพวกหมิงซิวกลับมาอยู่ที่จวนกันก่อนแล้วนางเข้าตระกูลจีมาทีหลังเสียอีก ที่แท้นางก็มาอยู่ก่อนหรือนี่
อารมณ์และความคิดของสวินหลันล่องลอยไปไกล สายตาก็เริ่มเหม่อลอย “การกลับมาของครอบครัวนายท่าน ทำให้ชีวิตข้าเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง จนกระทั่งหมิงซิวกับพี่หว่านพาข้ากลับไปที่จวนองค์หญิง องค์หญิงชอบพอข้ามาก บอกว่าบุตรทั้งสองของนางซุกซนเกินไป ใช้การไม่ได้ นางอยากมีบุตรสาวที่ว่านอนสอนง่ายมาตลอด ดังนั้นข้าเลยได้เข้าไปอยู่ในจวนองค์หญิง”
ไม่ใช่แค่เพื่อนเล่นมาด้วยกัน แต่ยังถึงขั้นเคย อยู่ ด้วย กัน มา ก่อน!
ดูเหมือนสวินหลันจะนึกถึงเรื่องน่าขันอะไรขึ้นมาได้ มุมปากนางยกขึ้นเล็กน้อย “หมิงซิวกับพี่หว่านซุกซนมากจริงๆ ข้ายังคิดว่าองค์หญิงพูดเกินจริงไปเสียอีก แต่เมื่อได้ใกล้ชิดถึงได้รู้ว่าองค์หญิงพยายามพูดให้เบาลงแล้ว”
เฉียวเวยเปลี่ยนไปถามว่า “ท่านกับหมิงซิวใครอายุมากกว่ากันหรือ”
“ข้า มากกว่าหนึ่งเดือน”
พี่สาวน้องชายหรือนี่
“หมิงซิวกับพี่หว่านมักทะเลาะกันเป็นประจำ พี่หว่านสู้หมิงซิวไม่ได้ เลยลากข้าไปร่วมด้วย”
“ลากท่านไปก็สู้ชนะแล้วหรือ”
“หมิงซิวไม่รังแกเด็กผู้หญิง”
พูดอย่างกับว่าจีหว่านเป็นบุรุษอย่างนั้นแหละ
เฉียวเวยเบ้ปาก แม่เลี้ยงสาวกลับไปพูดเรื่องความทรงจำในวันวานเช่นนี้เพราะต้องการอะไรกันแน่ อยากโอ้อวดว่านางกับหมิงซิวมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเพียงไรหรือ แต่ดีอย่างไรก็พลิกหน้ามือเป็นหลังมือไปแล้วไม่ใช่หรือไร