หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 189-1 สืบเรื่องอดีต
ตอนที่ 189-1 สืบเรื่องอดีต
หลิวเกอร์มองมารดาของตนอย่างใสซื่อ เฉียวเวยเองก็มองไปทางสวินหลันเช่นกัน ที่ควรค่าแก่การเอ่ยถึงก็คือ สวินหลันใส่ผ้าปิดหน้าอยู่ คนอื่นย่อมมองสีหน้านางไม่ออก ขนตานางยังขยับหลุบลงมาเล็กน้อย ช่วยปิดบังอารมณ์ในแววตาได้เป็นอย่างดี
ได้ยินเพียงนางเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “เป็นเด็กอย่ากินอะไรซี้ซั้ว”
ไม่ให้เด็กกินอะไรซี้ซั้ว ฟังดูคล้ายไม่มีอะไรไม่ถูกต้อง แต่ชั่วขณะนั้นปฏิกิริยานางรวดเร็วเกินไป ถึงขั้นมีกลิ่นอายของความดุดัน แม้แต่จีซั่งชิงยังขมวดคิ้วเล็กน้อย แน่นอนว่าจีซั่งชิงไม่มีทางสงสัยในภรรยาสาวผู้อ่อนหวานของตน เพียงแต่ของสิ่งนี้เฉียวเวยเป็นคนเอาให้หลิวเกอร์การที่นางทำเช่นนี้คล้ายว่านางกำลังกล่าวโทษเฉียวเวยว่ากำลังกระทำความผิด นับว่าไม่ให้เกียรติเฉียวเวยอยู่เล็กน้อย
เฉียวเวยไม่ได้จะให้เขากิน แค่ให้เขาดูสักหน่อยเท่านั้น หากถอยกลับมาพูดกัน ต่อให้นางให้เขากินจริงๆ เฉียวเวยเป็นพี่สะใภ้ใหญ่ของหลิวเกอร์ จะให้อะไรหลิวเกอร์กินไม่ได้เลยหรือ
เฉียวเวยแสดงสีหน้าประดักประเดิดออกมาได้อย่างพอดิบพอดี “ก่อนมานี่ข้าลองชิมดูแล้ว คล้ายว่าก็คือแป้งข้าวโพด ทั้งยังใส่น้ำตาลลงไปผสมเล็กน้อย รสชาติดีทีเดียว”
ประโยคนี้มีความหมายอื่นที่แฝงอยู่ ของสิ่งนี้ข้าชิมมาแล้ว ไม่มีพิษและไม่เป็นภัยแน่นอน ถึงได้กล้าเอาให้บุตรชายของเจ้า อย่าได้สงสัยในตัวข้าเด็ดขาด!
จีซั่งชิงขมวดคิ้ว “ใช่ของเจ้าหรือไม่”
ประโยคนี้แน่นอนว่ากำลังถามสวินหลัน
สวินหลันตอบเสียงเบา “ไม่ใช่ของข้า และไม่ใช่ของหลิวเกอร์ด้วย”
จีซั่งชิงจึงบอกว่า “ในห้องข้าก็ไม่มีของสิ่งนี้”
เฉียวเวยพึมพำ “เช่นนั้นก็แปลกล่ะ ของสิ่งนี้เหตุใดถึงไปอยู่ในกล่องของข้าได้ ช่างเถอะ ไว้ข้าจะกลับไปถามหมิงซิวว่าเขาได้ยุ่งกับกล่องข้าหรือไม่”
หลิวเกอร์จับจ้องขวดที่อยู่ในมือเฉียวเวยพลางกลืนน้ำลายเอื้อกๆ
เฉียวเวยมองเขาอย่างใจดี แต่กลับไม่ได้บอกจะเอาของอร่อยให้เขา
ตอนนี้นางเป็นลูกสะใภ้ที่แม่สามีไม่ไว้หน้า กลัวว่าแม่สามีจะโกรธมาก ถึงได้ไม่กล้าเอาของให้น้องสามีกิน
จีซั่งชิงมองบุตรชายที่นั่งอยู่บนตัก “อยากกินหรือ”
หลิวเกอร์หันไปมองมารดา ไม่กล้าตอบอะไรทั้งสิ้น
จีซั่งชิงจึงเอ่ยอย่างเคร่งขรึมว่า “อยากกินก็พูดมา อย่าเอาแต่มองแม่มองพี่เลี้ยง เจ้าเป็นเด็กชาย ใช่เด็กหญิงเมื่อไรกัน”
หลิวเกอร์พยักหน้าด้วยความลังเล
เฉียวเวยเลยส่งขวดไปให้ “ให้เจ้า”
หลิวเกอร์ยังนึกกลัวอยู่เล็กน้อย เขาเหลือบมองจีซั่งชิงทีหนึ่ง จีซั่งชิงส่งสายตาเป็นกำลังให้ เขาจึงรับขวดที่เฉียวเวยส่งมาให้ไป “ขอบคุณพี่สะใภ้ใหญ่มาก”
เฉียวเวยยิ้มเล็กน้อย “น่ารักจริงเชียว”
เรื่องราวคลี่คลายลงแล้ว เฉียวเวยขอตัวกลับ พอนางออกมาจากเรือน จีซั่งชิงก็เอ่ยกับสวินหลันว่า “ข้ารู้ว่าหมิงซิวกับหว่านๆ ทำตัวไม่ดีกับเจ้า ยากที่ใจเจ้าจะไม่รู้สึกขุ่นเคือง แต่เจ้าอาวุโสกว่า อย่าไปถือสาหาความพวกเขาเลย”
โจวมามาสอดปากขึ้นว่า “นายท่าน ฮูหยินน้อยมาวันแรกก็เอาเนื้อแดดเดียวให้คุณชายสามกินจนคุณชายสามท้องไม่ดีไปหมด นี่ฮูหยินไม่ใช่เพราะกลัวหรอกหรือเจ้าคะ”
จีซั่งชิงหน้าพลันบึ้งตึง โจวมามาตกใจจนคอหด เอามือปิดปากถอยหลังไปอยู่อีกด้านด้วยความกลัว
สวินหลันเอ่ยเบาๆ ว่า “นายท่านพูดได้ถูกต้อง ต่อไปข้าจะระวังเจ้าค่ะ”
…
เฉียวเวยออกมาจากเรือนถง เวลานี้นางมั่นใจได้แล้วว่าคนที่วางยานางคือแม่เลี้ยงสาว ซึ่งน่าแปลกมาก นางยังไม่เคยมีเรื่องกับแม่เลี้ยงสาวเสียหน่อย เหตุใดนางถึงต้องทำเช่นนี้ เพื่อแย่งตำแหน่งผู้สืบทอดตระกูลงั้นหรือ
แต่นี่ออกจะไม่สมเหตุสมผลอย่างมากไม่ใช่หรือ
ต่อให้นางตายไป ก็ยังมีจิ่งอวิ๋นอยู่ ต่อให้จิ่งอวิ๋นถูกแม่เลี้ยงสาวจัดการไปก็ยังมีหมิงซิว หมิงซิวอายุยังน้อยเพียงนี้ อยากมีลูกกี่คนก็มีได้ นอกเสียจากว่านางจะฆ่าหมิงซิวตายไปด้วย ไม่อย่างนั้นตำแหน่งผู้สืบทอดตระกูลไม่มีวันตกไปถึงหลิวเกอร์แน่นอน
ดูไม่น่าจะใช้เหตุผลนี้
“คุณหนู!” ปี้เอ๋อร์เดินลับๆ ล่อๆ เข้ามา
เฉียวเวยมองท่าทางไม่อยากต้องแสงตะวันของนางแล้วถามด้วยความแปลกใจว่า “เจ้าจะทำลับๆ ล่อๆ ไปไย”
ปี้เอ๋อร์บอกว่า “เมื่อครู่ข้าเดินไปที่ห้องครัวมารอบหนึ่ง ท่านลองเดาดูสิว่าข้าไปได้ยินอะไรมา”
ห้องครัวเป็นสถานที่ที่หาข่าวได้ง่ายที่สุดแล้ว ไม่ต่างอะไรกับโรงอาหารในยุคปัจจุบัน คนมาก ข่าวก็มาก หากเป็นคนที่ปากหวานพออย่างปี้เอ๋อร์ ก็สามารถขุดความลับออกมาได้มากทีเดียว
“เรื่องอะไร” เฉียวเวยถาม
ปี้เอ๋อร์ขมวดคิ้ว “ฮูหยินดูเหมือนท่านจะทำให้สวินซื่อไม่พอใจเสียแล้ว”
“ด้วยเรื่องอะไร”
“เรื่องตรวจโรคเจ้าค่ะ”
“ตรวจโรคให้ใคร”
“ให้ทุกคนเจ้าค่ะ”
เฉียวเวยเอ่ยเรียบๆ ว่า “พูดให้เข้าใจหน่อย”
ปี้เอ๋อร์พยายามเรียบเรียกให้กระชับและเข้าใจง่ายที่สุด “คือว่าก่อนที่ท่านจะมา คนในจวนไม่ว่าใครปวดหัวตัวร้อนอะไรก็มักจะไปหาสวินซื่อ สวินซื่อจะเชิญหมอมารักษาให้พวกเขาโดยไม่คิดเงิน ฮูหยินท่านไม่เคยเชิญหมอมาจากข้างนอก จึงไม่รู้ว่าเชิญหมอออกมาตรวจโรคข้างนอกครั้งหนึ่งต้องใช้เงินมาก ยาห่อหนึ่งแค่ไม่กี่สิบเหรียญทองแดง แต่ค่าหมออย่างต่ำที่สุดกลับมากถึงหนึ่งตำลึงเงิน”
เฉียวเวยตะลึงไป หมอสมัยโบราณออกไปตรวจโรคทีแพงเพียงนี้เชียวหรือ!
หนึ่งตำลึงเงิน นี่เท่ากับหกร้อยหยวนเชียวนะ!
จะโทษที่เฉียวเวยไม่รู้ก็ไม่ได้ นางไม่เคยเชิญหมอจากข้างนอกมาเลยจริงๆ ที่จิ่งอวิ๋นเคยป่วยครั้งนั้น นางก็แบกบุตรทั้งสองไปที่ตัวเมือง ไปตรวจโรคที่โรงยา ค่าตรวจย่อมถูกลงไปมาก ส่วนครั้งที่นางออกหัด ก็เป็นป้าหลัวที่ออกสตางค์ให้ นางคืนเงินให้ป้าหลัวไปพร้อมกับค่ายา ไม่ได้คำนวณละเอียดว่าค่าตรวจเท่าไรกันแน่
ปี้เอ๋อร์พยักหน้า “หมอของสวินซื่อไม่ได้แพงเพียงนั้น หมอคนนั้นแซ่หลู เป็นคนหมู่บ้านเดียวกับนาง ตรวจโรคให้ตระกูลจีมาหลายปีแล้ว”
เฉียวเวยทำเสียงจึ๊ๆ แล้วส่ายหน้า ควักเงินตัวเองเชิญหมอมาตรวจรักษาให้บ่าวไพร่ แม่เลี้ยงสาวนี่ช่างจิตใจงดงาม มากล้นคุณธรรมยิ่งแล้ว เมื่อเทียบกับข้าที่ตรวจโรคให้คนทุกครั้งเป็นต้องจดบัญชีไปเบิกค่าใช้จ่ายจากจีหมิงซิว ช่างใจคอคับแคบและเห็นแก่ตัวเสียนี่กระไร!
เฉียวเวยผายมือออก “ในเมื่อนางจิตใจงามเพียงนั้น จะมาสนใจที่ข้าแย่งการทำมาหากินของหมอหลูไปไย”
สายตาของปี้เอ๋อร์ดูเย็นยะเยือก “ท่านแค่แย่งการทำมาหากินของท่านหมอคนหนึ่งจริงๆ หรือ”
เฉียวเวยเลิกคิ้ว “เอาเถอะ ข้าแย่งหน้าตานางมาด้วย แต่แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านี้ นางก็ไม่พอใจข้าแล้วหรือ”
ปี้เอ๋อร์บอกว่า “คุณหนู นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยนะเจ้าคะ อย่างน้อยก็สำหรับสวินซื่อ”
จริงด้วย สวินซื่อไม่มีอะไรทั้งสิ้น ลูกนางก็ยังเล็ก คนที่นางพอจะพึ่งพิงได้นอกจากจีซั่งชิงแล้ว ก็มีเพียงชื่อเสียงอันดีงามที่ทุกคนสรรเสริญเยินยอนางเท่านั้น
ทั้งหมดนี้ก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปตั้งแต่วันที่นางก้าวเข้าบ้านหลังนี้มา
เริ่มจากของขวัญเข้าเรือนในฐานะสะใภ้คนใหม่ ตนข่มสวินซื่อไปทีหนึ่งแล้ว แน่นอนว่าเรื่องนี้ในความเป็นจริงนางไม่ได้ทำอะไรเลย นางไม่ได้ตั้งใจจะเกทับของขวัญกับสวินซื่อ แต่ด้วยท่านป้าที่ใจร้ายใจดำผู้นั้นไม่ถูกชะตากับสวินซื่อ จึงเอานางมาเป็นเครื่องมือ อาศัยไข่เยี่ยวม้าที่นางให้เป็นของขวัญเหล่านั้นมาเหยียบหัวแม่นางผู้มากสามารถจากกูซูอย่างสวินซื่อ
ความโกรธเกลียดนี้พูดได้ว่าท่านป้าที่ไร้สมองผู้นั้นเป็นคนนำมาให้นาง
หลังจากนั้นก็เป็นเรื่องตรวจโรค
นางไม่รู้จริงๆ ว่าในโลกจะมีคนที่ไร้ซึ่งความเห็นแก่ตัวเช่นนี้ ในข้อนี้แม้แต่เฉียวเจิงก็ยังสู้นางไม่ได้ เฉียวเจิงได้พบคนป่วยแล้วละทิ้งไปไม่ได้ นั่นไม่ได้เกิดจากใจที่นึกสงสารของเขา แต่เพราะตัวเขาหลงใหลในวิชาการแพทย์ เช่นเดียวกับคนรักสะอาดที่เห็นโต๊ะรกๆ ก็อยากจะเข้าไปเก็บให้เรียบร้อย แต่ระหว่างทางเจอคนขอทานมาขอเงิน เฉียวเจิงไม่เคยควักเงินของตนให้สักครั้ง
แน่นอนว่าสวินหลันก็ไม่ใช่คนที่ไร้ความเห็นแก่ตัวโดยแท้จริง ไม่อย่างนั้นนางก็คงไม่โกรธเคืองด้วยเรื่องเท่านี้
จะผิดก็ผิดที่ต่อให้นางไม่คิดว่าสวินหลันจะไร้ความเห็นแก่ตัวมากเพียงใด แต่นางกลับไม่เคยคิดว่าสวินหลันจะเห็นแก่ตัวเพียงนี้
เห็นแก่ตัวถึงขั้นว่าแค่ชื่อเสียงเล็กๆ น้อย ก็ไม่ลังเลที่จะยื่นมือมาทำร้ายนาง
ไม่อย่างนั้นจะพูดกันว่าใจสตรียากแท้หยั่งถึงได้อย่างไร
นางเป็นสตรีนางยังไม่เข้าใจสตรีด้วยกันเลย
ปี้เอ๋อร์พูดต่อว่า “อีกอย่างนะเจ้าคะฮูหยิน ข้ายังได้ยินว่านางไม่เคยเอาทรัพย์สินของตระกูลจีไปจุนเจือตระกูลเดิมของนางเลย ที่ชื่อเสียงนางดีมากไม่ใช่เพราะนางเชิญหมอมารักษาคนให้โดยไม่คิดเงินเพียงอย่างเดียว ทุกปีนางยังเอาเงินทองของตนเข้ามาให้ตระกูลจีอีกด้วย นางกตัญญูต่อเหล่าไท่ไท่ นายท่านกับคนในจวนตะวันออกจวนตะวันตกล้วนทำโดยไม่ลังเลสักนิด นางบอกว่า นางมีวันนี้ได้ก็เพราะตระกูลจี การตอบแทนตระกูลจีจึงถือเป็นเรื่องสมควร”
นางทุ่มเทกายใจเพื่อตระกูลจี ทุกคนในตระกูลจีต่างรักใคร่นาง
เหนือชั้นเพียงนี้ จึ๊ๆ สตรีในเรือนหลังคนใดจะสู้ได้
ห่างชั้นจากอาสะใภ้ผู้แสนดีของนางอย่างสวีซื่อไปไกลเป็นถนนยาวต่อกันสิบแปดเส้นทีเดียว
หากสวีซื่อมีความคิดอ่านได้สักครึ่งหนึ่งของสวินหลัน ไม่ขับนางออกจากตระกูลเฉียว ไม่ละโมบในกิจการทรัพย์สินของเรือนใหญ่ เมื่อถึงคราวเฉียวเจิงกลับมา ด้วยนิสัยที่เพิกเฉยต่อชื่อเสียงและผลประโยชน์ของเฉียวเจิง หอหลิงจือจะต้องเป็นของสวีซื่อแน่ ตำแหน่งประมุขตระกูลก็เป็นไปได้มากที่จะตกเป็นของบุตรชายของสวีซื่อ
สวีซื่อไม่ได้พ่ายแพ้เพราะเรื่องเลวร้ายที่ตนได้ก่อไว้ แต่พ่ายแพ้เพราะเรื่องโง่เขลาที่นางเคยทำไว้ต่างหาก
เมื่อเทียบกันแล้วสวินหลันฉลาดกว่ามากนัก
ไม่เพียงฉลาดในที่แจ้ง แต่ยังฉลาดในรายละเอียด รวมถึงการซื้อใจคน สวินซื่อนับเป็นตัวฉกาจทั้งสิ้น
คืนนั้นสวินซื่อตั้งใจเปลี่ยนเครื่องแต่งงานต่อหน้านาง ก็เพราะมั่นใจว่านางจะไม่กล้าจับจ้องไปที่ตน ตอนที่นางหันไปมองทางอื่น สวินซื่อใช้ตัวบังเอาไว้ แล้วโปรยผงห้าทิวาสราญลงไปในเตา ทำได้แนบเนียนเหลือเกิน
เวลานี้นางเริ่มสงสัยแล้วว่าเรื่องของสือหลิวกับชุ่ยปี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
เฉียวเวยออกเดินไปทางตะวันออก
ปี้เอ๋อร์เบิกตาถามว่า “ฮูหยิน ท่านจะไปไหนหรือ บ้านชิงเหลียนไม่ได้อยู่ทางนั้นนะเจ้าคะ!”
เฉียวเวยบอกเรียบๆ ว่า “ไปจวนตะวันออก”
หลี่ซื่อเพิ่งส่งเฉียวเวยกลับไป ไม่เท่าไหรเฉียวเวยก็กลับมาอีกครั้ง ทำให้นางอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ “ใช่ว่าลืมอะไรไว้ที่นี่หรือไม่”
นายท่านรองเป็นบุตรสายรอง จึงไม่สนิทชิดเชื้อกับเรือนใหญ่มากนัก ต่อให้หลี่ซื่อถูกใจที่เฉียวเวยตรวจโรคให้นางมาก แต่การที่เฉียวเวยมาหานางถึงสองครั้งภายในหนึ่งชั่วยาม มากน้อยอย่างไรก็ทำให้นางรู้สึกขนลุกอยู่ดี
เฉียวเวยเอ่ยยิ้มแย้มโดยไม่แสดงสีหน้าอะไร “ไม่มีเรื่องใหญ่อะไรหรอก แค่จู่ๆ ข้านึกได้ว่าวันนั้นสือหลิวไปที่สวนฉุยหลิ่ว พอดีว่าผ้าเช็ดหน้าข้าผืนหนึ่งหล่นอยู่ที่นั้น เลยอยากถามสือหลิวสักนิดว่านางเก็บได้หรือไม่”
หลี่ซื่อลอบระบายลมหายใจ “เดี๋ยวข้าเรียกนางมาให้เจ้าถามนะ”
สือหลิวตกน้ำ ขวัญเสียอย่างมาก แต่ไม่ได้ป่วยไข้เป็นอะไรหนัก นางเข้ามาในห้องแล้วทำความเคารพเฉียวเวย