หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 190-1 ฉีกหน้ากากแม่เลี้ยงสาว
ตอนที่ 190-1 ฉีกหน้ากากแม่เลี้ยงสาว
คณะขุนนางทูตใกล้จะมาเยือนแล้ว ขุนนางทั้งราชสำนักจึงยุ่งกันขึ้นมาในทันใด สี่คนพ่อแม่ลูกกินมื้อเย็นกันได้ครึ่งทางจีหมิงซิวก็ถูกเรียกตัวเขาวังเพื่อหารือเรื่องทูตหนานฉู่
เมื่อเทียบกับแคว้นข้างเคียงที่ความสัมพันธ์กำลังตึงเครียดอย่างซยงหนีว์แล้ว หนานฉู่ถึงแม้จะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับต้าเหลียง แต่เพราะปัจจัยในด้านต่างๆ ทั้งอาณาเขต ผู้คนวัฒนธรรมและเศรษฐกิจ ทั้งสองแคว้นจึงต่อสู้กันอย่างลับๆ ซึ่งทำให้ฮ่องเต้ปวดเศียรเวียนเกล้ายิ่งนัก
อีกทั้งหนานฉู่ไม่แต่งงานเพื่อสานสัมพันธ์กับต้าเหลียง ซึ่งทำให้ฮ่องเต้คิดจะใช้แผนหญิงงามก็ยังไม่ได้
จีหมิงซิวออกจากบ้านไป เฉียวเวยกับซาลาเปาน้อยทั้งสองกินข้าวกันต่อ เฉียวเวยถึงได้รู้ว่าแค่ไม่ได้เจอกันไม่กี่วัน การกินอาหารของทั้งสองดูเหมือนจะเก่งขึ้นไปอีกขั้น
ก่อนหน้านี้วั่งซูกินอะไรรวดเร็วราวกับพายุ แต่ตอนนี้กลับกินทีละช้อนเล็ก คำเล็ก ดูท่วงท่าสง่างามราวกับเจ้าลิงแสบนั่น
แน่นอนว่าเฉียวเวยไม่คิดว่าบุตรสาวจะติดเชื้อมาจากจูเอ๋อร์ หากจูเอ๋อร์มีความสามารถขั้นนั้น คงกล่อมเกลาวั่งซูให้กลายเป็นสุภาพสตรีไปแล้ว ต้องเป็นจีหว่านแน่นอน
“ลูกชิ้นเนื้ออร่อยหรือไม่” เฉียวเวยถามยิ้มๆ
วั่งซูตอบว่า “อร่อย!”
เฉียวเวยคีบอีกลูกหนึ่งให้นาง นางกลับบอกว่า “กินไม่ได้แล้ว ท่านป้าบอกว่า กับข้าวอย่างหนึ่งจะกินเกินสามคำไม่ได้” นางพูดพลางกลืนน้ำลายเอื้อก “นอกจาก…นอกจากว่าลูกชิ้นเนื้ออันนี้ไม่เหมือนกับลูกชิ้นเนื้ออันเมื่อกี้ ต้องไม่เหมือนแน่เลย ใช่หรือไม่ท่านแม่”
มาจากจานเดียวกันแท้ๆ จะไม่เหมือนกันได้อย่างไร
เฉียวเวยเห็นท่าทางกลืนน้ำลายไม่หยุดของบุตรสาว จึงเอ่ยอย่างขบขันว่า “ใช่แล้ว ไม่เหมือนกัน ลูกชิ้นเนื้อเมื่อครู่ไม่ได้ใส่ขิงบด ลูกนี้ใส่ขิงบดลงไปด้วย”
วั่งซูเอ่ยเสียงอ่อนเสียงหวานว่า “ท่านแม่หมายถึงอันนี้ หรือหมายถึงสามอันนี้”
เฉียวเวยยิ้มแห้งๆ “สามอันนี้”
“เช่นนั้นอีกสามลูกที่เหลือเล่า” สายตาของวั่งซูดูวิงวอนเป็นพิเศษ
เฉียวเวยบอกว่า “อีกสามลูกที่เหลือใส่ต้นหอมซอย เห็นหรือไม่”
วั่งซูเอ่ยอย่างเคร่งเครียดว่า “ดังนั้นอันที่จริงพวกมันก็ไม่นับเป็นอาหารจานเดียวกัน”
เฉียวเวยหัวเราะ “ก็ใช่น่ะสิ แม่ครัวคงใส่มาผิด เจ้ากินให้สบายใจเถอะ”
เจ้าหม้อข้าวน้อยของแม่
วั่งซูกวาดลูกชิ้นเนื้อทั้งจานลงท้องไปด้วยความดีใจ
“กินปลาหน่อย”
“ข้า…ข้ากินไปสามคำแล้ว”
ปลานี่มาทั้งตัว จะบอกว่าไม่นับเป็นจานเดียวกันไม่ได้แล้ว
วั่งซูอยากกินมาก อยากกินจนใจดวงน้อยๆ ของนางทรมานไปหมด “นอกจาก…นอกจากว่าหากข้าไม่กินท่านแม่จะโกรธ โกรธมากๆ”
“ใช่แล้ว ข้าโกรธมากเลยนะ! ลูกสาวข้ากินน้อยเกินไปแล้ว!” กินแค่ลูกชิ้นเนื้อสิบห้าลูก เกี้ยวนึ่งสามชิ้น วุ้นแห้วสามชิ้น เนื้อวัวสามคำ เนื้อแพะสามคำ เนื้อไก่สามชิ้น แครอทสามอัน เห็ดสามช้อน ผักสามคำ ขาหมูสามชิ้น คนเป็นแม่อย่างนางทุกข์ใจยิ่งนัก
“ท่านป้าบอกว่าคนเรากตัญญูต้องมาก่อน ถึงแม้กฎจะสำคัญนัก แต่ท่านแม่สำคัญกว่า ท่านแม่ท่านอย่าโกรธเลยนะ ข้ากินก็แล้วกัน” วั่งซูยกตะเกียบขึ้นมา จัดการซัดปลาทั้งตัวจนเกลี้ยง!
ตกกลางคืน ซาลาเปาน้อยทั้งสองอาบน้ำจนขาวผ่อง อาบน้ำออกมาเสร็จ วั่งซูอุ้มตุ๊กตาผ้าตัวหนึ่ง จิ่งอวิ๋นอุ้มเสี่ยวไป๋
เฉียวเวยกำลังปูผ้าให้ทั้งสอง “เดี๋ยวก็เสร็จแล้วนะ”
“พวกเราจะกลับไปนอนห้องตัวเอง” จิ่งอวิ๋นบอก
“หือ?” เฉียวเวยคิดว่าตนเองฟังผิดไป
จิ่งอวิ๋นบอกว่า “ท่านป้าบอกว่าจะนอนกับท่านพ่อท่านแม่อีกไม่ได้แล้ว”
“ทำไมกัน” เฉียวเวยมองทั้งสองอย่างไม่เข้าใจ
วั่งซูพูดเสียงอ่อนเสียงหวานว่า “เพราะหากยังนอนกับท่านพ่อท่านแม่ พวกเราก็จะไม่มีน้องสาว ข้าอยากได้น้องสาว น้องเสี่ยวอวี่หัวหลุดง่ายเกินไป ตอนอยู่บ้านท่านป้าก็หลุดไปตั้งหลายครั้ง”
ที่เจ้าอยากได้น้องสาวก็เพราะอยากได้ของเล่นที่คอหักไม่ได้อย่างนั้นหรือ เด็กหนอเด็ก แม่จะบอกให้ เรื่องนั้นเป็นไปไม่ได้หรอก แค่เจ้าจับนิดเดียว ศีรษะของพ่อเจ้ายังหลุดออกมาได้เลย
จิ่งอวิ๋นขมวดคิ้วน้อยๆ ของตน “ข้าไม่อยากได้น้องสาว ข้าอยากได้น้องชาย”
น้องสาวพลังช้างสารทิ้งเงามืดในใจเอาไว้ให้เขาอย่างรุนแรง เขาต้องการน้องชายที่อ่อนแอและผลักล้มง่ายๆ สักคน แล้วเขาจะรังแกน้องทุกวัน เล่นบทพี่ชายผู้แข็งแกร่งทุกวันเลย เพราะหากเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ เขาคงไม่ได้รับรู้ถึงความเป็นพี่ชายที่ยิ่งใหญ่ของตน
เฉียวเวยได้ฟังถึงกับไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เด็กสองคนนี้รู้หรือไม่ว่าการมีน้องชายน้องสาวหมายความว่าอย่างไร มีกันสองคนยังแย่งพ่อแย่งแม่กันไม่พอเลย หากมีคนที่สามก็รอร้องไห้แงๆ ได้เลย!
แต่ไม่ว่าอย่างไร เด็กเมื่อโตขึ้นก็ควรแยกเตียงนอนแล้วจริงๆ
ห้องนอนของเด็กทั้งสองอยู่ข้างๆ นี้เอง มีเตียงสองหลังอยู่พร้อม เตียงหนึ่งเป็นสีทองอร่าม แกะสลักเป็นรูปหงส์รูปมังกร มีกลิ่นอายแห่งความร่ำรวยมหาศาลพุ่งออกมา ซึ่งวั่งซูเรียกว่า “ห้องหญิงงาม” ส่วนอีกหลังหนึ่งรูปแบบดูเรียบง่ายกว่า เป็นเตียงธรรมดาทั่วไป แกะสลักเป็นลวดลายธรรมดา ซึ่งจิ่งอวิ๋นเรียกว่า “ห้องเมฆาวายุ”
ใช่แล้ว เด็กทั้งสองตั้งชื่อให้เตียงของตนอย่างไพเราะเพราะพริ้ง
เฉียวเวยปูที่นอนเสร็จก็ให้เด็กทั้งสองแยกขึ้นไปนอนบนเตียงตนเอง ทุกห้องให้บ้านตระกูลจีทำพื้นให้อบอุ่น ไออุ่นที่ส่งขึ้นมาต่อให้ถีบผ้าห่มออกก็ยังไม่หนาวง่ายๆ
“ราตรีสวัสดิ์” เฉียวเวยหอมหน้าผากลูกทั้งสองแล้วออกจากห้องไปอย่างอาลัยอาวรณ์
ตอนแรกทั้งสองนอนกันอย่างสงบเรียบร้อย น้ำในบ่อไม่ข้ามไปหาน้ำในแม่น้ำ แต่ไม่เท่าไรวั่งซูซึ่งไม่ชินกับการนอนคนเดียวก็เรียกพี่ชายให้ไปหา
จิ่งอวิ๋น “เจ้ามาที่ห้องเมฆาวายุสิ”
วั่งซู “ห้องเมฆาวายุไม่สนุก เจ้ามาที่ห้องหญิงงามดีกว่า”
จิ่งอวิ๋นหลับตา “ข้าเป็นผู้ชายจะไปทำอะไรที่ห้องหญิงงาม เจ้าสิมาที่ห้องเมฆาวายุ”
วั่งซูเพ่งมองไปที่หัวผ้าม่าน “แต่ข้าเป็นกุลสตรี ท่านป้าบอกว่ากุลสตรีจะไม่ออกไปไหน เจ้าจะมาหรือไม่”
จิ่งอวิ๋นพลิกตัว “ไม่ไป”
กุลสตรีวั่งซูกระโดดลงพื้น เดินไปที่เตียงพี่ชาย คว้าตัวพี่ชายขึ้นมาราวกับจับลูกไก่ แล้วลากไปที่รังของตน
…
ซาลาเปาทั้งสองไม่นอนที่ห้องหลักแล้ว คนที่ดีใจที่สุดคงไม่มีใครเกินใต้เท้าอัครเสนาบดีผู้นี้ เขายังจำได้ว่าแต่งงานคืนแรกขาดพิธีสำคัญหนึ่งไป คืนนี้จะได้สำเร็จเสร็จสมบูรณ์เสียที
ใต้เท้าอัครเสนาบดีกลับมาจากในวัง อาบน้ำอาบท่าจนหอมหวน ดับไฟลงนอนบนเตียง เมื่อเห็นว่าเฉียวเวยแช่ตัวเสียหอมยิ่งกว่าตนก็ลอบระเริงใจแล้วดึงผ้าห่มอีกฝ่ายออก
เฉียวเวยเพียงรู้สึกถึงลมเย็นหอบหนึ่งที่พัดเข้ามา
หัวใจของเฉียวเวยเต้นตุบตับๆ ไปหมด
ราตรีไร้แสง จันทราไร้เสียง
จีหมิงซิวก็ไร้ซึ่งความลังเล
แต่กระนั้นสิ่งที่สวรรค์ไม่เห็นใจก็คือ ในช่วงจังหวะสำคัญ ด้านนอกมีเสียงไร้มารยาทของโจวมามาดังขึ้น “ฮูหยินน้อย! ฮูหยินน้อยแย่แล้วเจ้าค่ะ! ท่านรีบออกมาที!”
น้ำเย็นๆ สาดรดลงมา สีหน้าเฉียวเวยกับจีหมิงซิวพลันบูดบึ้ง
จีหมิงซิวกลัวว่าจะทำให้เด็กน้อยที่เพิ่งหลับไปตกใจ ต้องข่มอารมณ์ที่อยากจะสั่งสอนโจวมามาเอาไว้ เขาเอาเสื้อนอกขึ้นมาคลุมแล้วเดินออกไปอย่างดุดัน “ดึกดื่นเช่นนี้ เจ้านายของเจ้าเป็นอะไรขึ้นมาอีกล่ะ”
โจวมามากลั้นใจเอ่ยออกไปว่า “ไม่ใช่เจ้านายของบ่าวที่เป็นอะไรเจ้าค่ะ เป็นเหล่าฮูหยิน เจ้านายของบ่าวกำลังตัดกระดาษเป็นเพื่อนเหล่าฮูหยินอยู่ ตัดไปได้ครึ่งทางเหล่าฮูหยินก็รู้สึกไม่สบายขึ้นมา แน่นหน้าอกไปหมด ฮูหยินเลยให้บ่าวมาเชิญฮูหยินน้อยให้ไปช่วยดูเจ้าค่ะ!”
นี่หากเป็นสวินหลันที่ป่วย จีหมิงซิวคงให้นางไปเชิญหมอคนอื่นโดยไม่ลังเล แต่คนที่ป่วยเป็นเหล่าฮูหยิน ตั้งแต่เหล่าฮูหยินมีปัญหาเกี่ยวกับหลอดเลือด ร่างกายก็แข็งแรงสู้เมื่อก่อนไม่ได้ หมอหลวงกำชับไว้ว่าจะต้องรักษาสภาพร่างกายให้ดี จะให้มีอะไรผิดพลาดอีกไม่ได้
สายตาจีหมิงซิวเย็นยะเยือกราวกับบ่อน้ำแข็ง
โจวมามาถูกลมหายใจเย็นเป็นน้ำแข็งของจีหมิงซิวทำให้ตกใจจนแทบหายใจไม่ออก นางเข้ามาอยู่ในจวนนี้หลายปีแล้ว คุณชายท่านนี้แค่เพียงเงียบงันพูดน้อย เข้าถึงยากไปบ้าง แต่ไม่เคยดูน่ากลัวเช่นนี้มาก่อน นางตกใจจนแทบจะไปพบท่านยายอยู่แล้ว “บ่ะ…บ่าวก็ได้รับคำสั่งมาจากฮูหยิน หากฮูหยินน้อยไม่ไป บ่าว บ่าวไปบอกแก่ฮูหยินตามจริงก็ได้เจ้าค่ะ คุณชายอย่าได้โกรธไป”
“ช้าก่อน”
เฉียวเวยแต่งกายเรียบร้อย เดินออกมาจากในห้อง “ข้าจะไปกับเจ้า”
โจวมามาพลันตาเป็นประกาย สายตาจีหมิงซิวกลับดูเย็นเยียบ “เจ้ากลับห้องไปพักเถอะ ข้าจะให้คนไปเชิญหมอหลวงมาเอง”
ไปเชิญหมอหลวงก็คงพูดได้ไม่สะดวกปาก หากนางไม่รู้วิชาการแพทย์ยังไม่เท่าไร แต่ในเมื่อนางรู้ ก็ไม่มีเหตุให้ไม่ไปดูอาการให้ท่านย่า
เพียงแค่ว่าครั้งก่อนเป็นจีซั่งชิง ครั้งนี้เป็นเหล่าฮูหยิน เจ้านายตระกูลจีร่างกายอ่อนแอกันเกินไปหน่อยแล้วกระมัง!
เฉียวเวยหิ้วกล่องยาตามโจวมามาไปที่เรือนลั่วเหมย
ในเรือนลั่วเหมย จีเหล่าฮูหยินนั่งพิงหัวเตียงอยู่ สวินหลันนั่งอยู่ข้างกายนาง คอยปรนนิบัติเอาชาให้ดื่มด้วยความระมัดระวัง
““ท่านย่า ฮูหยิน” เฉียวเวยเข้าห้องไปทำความเคารพ
สวินหลันยิ้มน้อยๆ “เจ้ามาแล้ว” สายตามองเลยนางไปทางด้านหลัง สีหน้าดูอบอุ่น “หมิงซิวนอนแล้วหรือ”
เป็นห่วงเป็นใยผู้ชายของข้าเพียงนี้ ช่างเป็นแม่เลี้ยงต้าเหลียงที่ดีเหลือเกินนะ! แต่ผู้ชายของข้าได้ยินว่าเจ้าอยู่ที่นี่ เลยไม่อยากมาจะให้ทำอย่างไร
“ก็ใช่น่ะสิ อย่าว่าแต่เขาเลย เจ้าเองก็ไม่ควรมา” จีเหล่าฮูหยินพูดพลางมองไปทางหรงมามากับสวินหลัน “ข้าก็บอกแล้วว่าข้าไม่เป็นอะไร ไม่ต้องไปเรียกนางมา พวกเจ้าก็ไม่ยอมฟัง”
หรงมามา “นี่ก็ไม่ใช่เพราะเป็นห่วงสุขภาพท่านหรอกหรือ”
สำหรับหรงมามาแล้ว การเชิญเฉียเวยมาดูอาการให้เหล่าฮูหยินไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เหล่าฮูหยินเป็นท่านย่า ฮูหยินน้อยที่เป็นหลานสะใภ้ มาดูอาการให้ท่านย่าจะเป็นอะไรไป ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องเหมาะสมอยู่แล้วหรือ ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้ฮูหยินน้อยไม่รู้วิชาแพทย์ การมาเฝ้าไข้เหล่าฮูหยินก็ถือเป็นเรื่องสมควร
จีเหล่าฮูหยินกลับไม่ได้สนใจสุขภาพของตนเพียงนั้น “ข้าเป็นอย่างนี้มานานแล้ว ไม่ตายหรอก”
หรงมามาเบิกตาโต “อยู่ต่อหน้าลูกหลานท่านพูดอะไรเช่นนี้ มาตายไม่ตายอะไรกัน ห้ามพูดเจ้าค่ะ!”
สวินหลันเอ่ยเสียงหวานว่า “ท่านแม่ ให้ดูสักหน่อยเถอะ กันไว้ก่อนจะดีกว่า”
แม่เลี้ยงสาวนี่อบอุ่นใจดีเหมือนที่ผ่านมาทุกครั้งเลยจริงๆ
จึ๊ เหนือชั้นจริงๆ เหนือชั้นจริงๆ!
เฉียวเวยวางกล่องยาลงแล้วเดินเข้าไปหาเหล่าฮูหยิน “ท่านย่า ข้าตรวจชีพจรให้ท่านก็แล้วกัน”
“เอ๋อ เจ้าเด็กนี่ ดึกดื่นค่ำคืนเช่นนี้ ไปรบกวนเจ้ากับหมิงซิวแล้วกระมัง” จีเหล่าฮูหยินยื่นข้อมือออกมา
เฉียวเวยยิ้มแล้วเอาสามนิ้วแต่ลงบนจุดชีพจรของเหล่าฮูหยิน “ไม่กวนเจ้าค่ะ พวกเราก็เพิ่งเข้านอนเหมือนกัน”
“จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูไปเล่นที่บ้านตระกูลจีสนุกหรือไม่” จีเหล่าฮูหยินเอ่ยถามอย่างมีเมตตา
เฉียวเวยบอกว่า “สนุกมากเจ้าค่ะ”
“ยังนอนกับพวกเจ้าอยู่ไหม” จีเหล่าฮูหยินสนใจที่สุดก็คือเรื่องนี้
เฉียวเวยยิ้มพลางส่ายหน้า “ไม่แล้วเจ้าค่ะ วันนี้เริ่มไปนอนกันเองแล้ว”
สวินหลันยกชาขึ้นดื่ม สีหน้าสงบนิ่ง
จีเหล่าฮูหยินพลันยิ้มยินดี “ใจกล้าดีนะ เจ้ากับหมิงซิวรีบใช้โอกาสนี้มีหลานให้ข้าเพิ่มสักคนสิ!”
เฉียวเวยไม่กล้าบอกเหล่าฮูหยินว่า หลานวันนี้ของท่านลงหม้อไปแล้ว
ชีพจรของเหล่าฮูหยินอ่อนแรงอยู่บ้างจริงๆ แต่ก็เป็นอย่างที่เหล่าฮูหยินว่า ไม่ใช่โรคอะไรที่ต้องรักษาเดี๋ยวนี้ ยายังไม่ต้องกินด้วยซ้ำ นอนตื่นหนึ่งก็หายแล้ว
เฉียวเวยเดินไปตรงหน้าต่าง แง้มออกเล็กน้อย “ท่านย่า ในห้องท่านออกจะอุดอู้ไปสักหน่อย อากาศไม่ถ่ายเท ท่านอายุมากแล้ว แน่นหน้าอกได้ง่าย เครื่องกำยานที่จุดใส่เตาอย่าใช้อีกเลย”
หรงมามาบอกว่า “นั่นเป็นกลิ่นสงบใจของเหล่าฮูหยิน ช่วงนี้เหล่าฮูหยินมักนอนหลับยากมาก”
เฉียวเวยบอกกับจีเหล่าฮูหยินว่า “นั่นเพราะท่านออกกำลังไม่พอ ร่างกายไม่เหนื่อยพอ ตอนกลางวันท่านมักจะนอนอยู่บนเก้าอี้เอน ขยับตัวก็ไม่ขยับ อันที่จริงทำเช่นนี้ไม่ดี ท่านควรออกไปเดินที่สวนดอกไม้ให้มาก หนึ่งคือจะได้สูดอากาศบริสุทธิ์ สองคือจะได้ออกกำลังกายไปด้วย”
จีเหล่าฮูหยินคลี่ยิ้ม “ได้ ข้าเชื่อเจ้า ที่ข้านี่ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว เจ้ารีบกลับไปพักเถอะ หากยังไม่กลับไปอีก หมิงซิวคงได้บ่นข้าแย่!”
“ไม่เขียน…ไม่เขียนใบสั่งยาอะไรเลยหรือ” โจวมามาถาม
เฉียวเวยจึงบอกว่า “คนอายุเยอะอย่างท่านย่าไม่ต้องกินยาแล้ว”
โจวมามาเลยบอกว่า “แต่ว่า…ทุกครั้งที่หมอหลูมา เขาจะเขียนใบยาสงบจิตกับใบยาบำรุงร่างกายให้เหล่าฮูหยินทุกครั้งเลยนะเจ้าคะ”
เฉียวเวยหันไปมองโจวมามา “เจ้ากำลังสงสัยในฝีมือการแพทย์ของข้าว่าสู้หมอหลูไม่ได้อย่างนั้นหรือ”
โจวมามากระแอมเบาๆ “บ่าวไม่ได้พูดเช่นนั้น บ่าวแค่รู้สึกว่า สีหน้าเหล่าฮูหยินดูไม่ค่อยดี ทั้งยังแน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก บางทีอาจไม่ได้ป่วยเล็กน้อย ฮูหยินน้อยช่วยดูให้อีกทีก็แล้วกัน”
เฉียวเวยทำเสียงหึทีหนึ่ง “ดังนั้นเจ้าคิดว่าก่อนหน้านี้ข้าไม่ตั้งใจตรวจอาการให้ท่านย่าหรือ”
โจวมามาเอ่ยเสียงหงอว่า “บ่าวไม่ได้หมายความเช่นนั้น…”
“เช่นนั้นเจ้าหมายความว่าอย่างไร” เฉียวเวยยิ้มบางๆ ขณะถาม
โจวมามาเลยเป็นใบ้พูดไม่ออก