หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 193-2 คลี่คลาย ผู้ช่วยชั้นยอด
ตอนที่ 193-2 คลี่คลาย ผู้ช่วยชั้นยอด
ชาวนาสิบกว่าคนนี้ส่วนมากล้วนเป็นคนหนุ่มฉกรรจ์ ไม่มีท่านลุงท่านป้าที่พบเมื่อคืนวาน ทุกคนมองเฉียวเวยอย่างหวาดระแวง เห็นชัดว่าพวกเขาโยนความผิดเรื่องที่หญิงสาวในบ้านถูกบังคับพาตัวไปใส่ศีรษะของเฉียวเวย
พวกเขาจะคิดเช่นนี้ก็มิผิดอันใด ในสายตาพวกเขาไม่ว่าจีซวงก็ดี ฮูหยินน้อยก็ดี ล้วนเป็นเจ้านายตระกูลจี ตระกูลจีล้วนเป็นพวกเดียวกัน เป็นผู้ที่ปล้นชิงหญิงสาวในครอบครัวของพวกเขาไป วันนี้มาที่นี่อีกหนก็คงจะมาเสแสร้งพร่ำพูดทำท่าเมตตาอารีสักหน่อยเท่านั้น
ผู้ดูแลเซี่ยกล่าวขึ้นว่า “พวกเจ้าอย่าเข้าใจฮูหยินน้อยผิด หนนี้ฮูหยินน้อยเป็นคนพาหญิงสาวทั้งหลายกลับมา เพื่อช่วยคน ฮูหยินน้อยพังร้านสุราของผู้อื่นจนราบ”
“ร้านสุรานั่น ผู้ใดเป็นคนเปิด จัดการอย่างไร” เด็กหนุ่มคนหนึ่งถาม
ผู้ดูแลเซี่ยตอบว่า “จัดการเช่นไร พวกเจ้าก็เห็นกันหมดแล้วไม่ใช่หรือ ผู้ดูแลไช่กับภรรยาถูกโบยจนเนื้อเละ ถูกโยนออกจากตระกูลจีไปแล้ว หลังจากนี้พวกเขาเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลจีอีก! พวกเจ้าจงวางใจ ทำไร่ไถนาให้ดี ข้ารับประกันกับพวกเจ้าว่าจะไม่มีเรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นอีกเป็นอันขาด”
ทุกคนมองหน้ากันแล้วต่างพยักหน้าให้กัน
เฉียวเวยเหลือบมองผู้ดูแลเซี่ย ภายนอกเหมือนเป็นคนซื่อ แต่ข้างในมีชั้นเชิงอยู่บ้าง เขาไม่ได้โกหก แต่ตัดจีซวงออกอย่างหมดจด เฉียวเวยรั้งสายตากลับมามองไปยังทุกคน “เมื่อวานข้าไปดูนาของพวกเจ้ามาแล้ว เหตุที่เพาะปลูกได้ไม่ดี มีสาเหตุหลักอยู่สองประการ หนึ่งคือปรับปรุงดินไม่พอ ประการที่สองพืชที่ปลูกไม่เหมาะสม นาทางทิศตะวันออกกับทิศเหนือนั่นเป็นของครอบครัวใด”
ชาวนาเจ็ดแปดคนลุกขึ้นยืน “ของพวกข้าขอรับ”
เฉียวเวยกล่าวต่อ “นาของพวกเจ้า ดินค่อนข้างเป็นกรด ก่อนไถพรวนต้องใส่ปุ๋ยรองพื้นให้เพียงพอ ปรับปรุงความสามารถในการระบายน้ำและอุ้มน้ำของดิน ดีที่สุดหมุนเวียนทำนาเปียกสลับแห้ง ตัวอย่างเช่นหน้าหนึ่งปลูกข้าว หน้าหนึ่งปลูกผักกวางตุ้ง แน่นอนว่าหากพวกเจ้าอยากปลูกพืชชนิดอื่นก็ได้เช่นกัน ที่สำคัญคือดูความต้องการของตัวพวกเจ้าเอง”
ทุกคนพยักหน้าอย่างอึ้งๆ
เฉียวเวยหันไปมองสิบคนที่เหลือ “นาทางทิศใต้กับทิศตะวันตกเป็นของพวกเจ้าสินะ”
“ขอรับ ฮูหยินน้อย” เด็กหนุ่มที่ถามถึงร้านสุราเมื่อครู่เอ่ยตอบ
เฉียวเวยบอกอย่างใจเย็น “นาของพวกเจ้าเป็นดินทราย แม้จะแห้งแล้ง แต่มิจำเป็นต้องแก้มากนัก ก็สามารถปลูกของดีออกมาได้”
ดวงตาของทุกคนเป็นประกาย
เฉียวเวยเอ่ยต่อ “ดินทรายเหมาะกับการปลูกองุ่นอย่างยิ่ง”
“องุ่นหรือ” ทุกคนงุนงง สิ่งที่พวกเขาต้องการปลูกคือธัญพืชต่างหากเล่า องุ่นไม่ใช่ธัญพืชเสียหน่อย!
แม้องุ่นจะไม่ใช่ธัญพืช แต่ตามความคิดของเฉียวเวย มันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ปลูกได้ในตอนนี้
องุ่นชอบดินแห้งแล้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งดินทราย ดินทรายมีความเป็นด่างอยู่เล็กน้อย อากาศไหลผ่านได้ดี มีแคลเซียมอยู่มาก เป็นประโยชน์ในการเจริญเติบโตขององุ่นอย่างยิ่ง
ปลูกรอดเป็นเหตุผลประการแรก เหตุผลประการที่สอง แม้องุ่นจะไม่ใช่ธัญพืช แต่ก็เป็นผลไม้ที่อร่อยอย่างยิ่ง ราคาขายก็ไม่เลว ไม่ด้อยกว่าการปลูกธัญพืช
เฉียวเวยกล่าวต่อว่า “พวกเจ้าสนใจปลูกก็พอ จะขายอย่างไรให้เป็นเรื่องของตระกูลจี พวกเจ้าปลูกได้เท่าใด ตระกูลจีก็ต้องการเท่านั้น ไม่มีทางปล่อยให้องุ่นของพวกเจ้าเน่าคาราวไม้อย่างแน่นอน พวกเจ้าจะขายเอาเงินหรืออยากแลกเป็นธัญพืชก็ล้วนได้ทั้งสิ้น”
พูดกันตามตรง พวกเขาล้วนเป็นชาวนาเช่าที่ดิน ทุกปีต้องส่งมอบผลผลิตครึ่งหนึ่งให้ ส่วนที่เหลือจึงจะเป็นของตนเอง ส่งมอบองุ่นครึ่งหนึ่งกับส่งมอบธัญพืชครึ่งหนึ่งไม่มีสิ่งใดแตกต่างกัน เพียงแต่ว่าธัญพืชส่วนที่เหลืออีกครึ่งหนึ่ง พวกเขายังเก็บเอาไว้กินเอง พอเติมท้องให้อิ่มได้ ส่วนองุ่น องุ่นช่วยให้ท้องอิ่มได้หรือ แต่ตอนนี้ฮูหยินน้อยบอกแล้ว่าจะช่วยพวกเขาขาย ถ้าเช่นนั้นก็ไม่มีสิ่งใดต้องกังวลแล้ว
ทุกคนหันไปมองเฉียวเวยอีกหน เสื้อผ้าอาภรณ์ กิริยาท่าทาง ดูตรงไหนก็เป็นชนชั้นสูงคนหนึ่ง แต่กลับรู้เรื่องการเพาะปลูกมากมายปานนั้น เด็กหนุ่มช่างสงสัยผู้นั้นอดใจไม่ไหวเอ่ยปากถามขึ้นมาว่า “ฮูหยินน้อยเหตุไฉนจึงเพาะปลูกเป็นด้วยเล่าขอรับ”
เฉียวเวยคลี่ยิ้มเล็กน้อย ประดุจดั่งบุปผากลางขุนเขาแย้มกลีบบานสะพรั่งกลางสายลมเย็นฉ่ำของสารทฤดู “เพราะข้าเคยปลูกมาก่อนน่ะสิ”
หา ฮูหยินน้อยก็เคยทำนาด้วยหรือ
ทุกคนตกใจจนคางเกือบจะร่วงลงมา
ฮูหยินน้อยของตระกูลจี คุณหนูใหญ่ผู้บอบบางจะเคยทำไร่ไถนาได้เช่นไร
แต่นางก็พูดถูกต้องมีหลักการ ท่าทางไม่เหมือนกำลังโกหก
เฉียวเวยเอ่ยต่อว่า “ถึงเวลาตระกูลจีจะนำเมล็ดพันธุ์มาส่งให้พวกเจ้า พวกเจ้าจงอย่าเพาะปลูกอย่างมั่วสั่ว ข้าจะเชิญคนที่เคยปลูกสักคนมาสอนพวกเจ้า”
ทุกคนยิ่งตกตะลึง
นำเมล็ดพันธุ์มาส่งให้ หมายความว่า…พวกเขาไม่ต้องซื้อเองหรือ แล้วยังจะเชิญผู้เชี่ยวชาญมาสั่งสอนอีก นี่…นี่มันช่าง…ทำให้พวกเขาไม่รู้จะพูดอะไรดี
เฉียวเวยลุกขึ้นเดินออกมา
ผู้ดูแลเซี่ยเชื้อเชิญเฉียวเวยอยู่ทานอาหาร แต่ถูกเฉียวเวยปฏิเสธอย่างอ้อมๆ
ผู้ดูแลเซี่ยหยอกล้อ “ไม่มีทางปล่อยให้ฮูหยินน้อยกินผักดองหรอกขอรับ”
เฉียวเวยหัวเราะอย่างกลั้นไม่ไหว “ข้าไม่ได้กลัวต้องกินผักดองเสียหน่อย เพียงแต่เย็นแล้ว ที่บ้านยังมีลูกน้อยสองคนรออยู่”
ผู้ดูแลเซี่ยจึงนึกขึ้นได้ ฮูหยินน้อยกับนายน้อยให้กำเนิดเลือดเนื้อเชื้อไขออกมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว
ตั้งครรภ์ตั้งแต่ยังไม่ตบแต่ง ในราชวงศ์ต้าเหลียงไม่ถือเป็นเรื่องสง่าผ่าเผยอันใด ทั้งที่เป็นเช่นนี้นางก็ยังตบแต่งเข้ามาในตระกูลจีได้ แล้วยังรับช่วงงานในตระกูลจีมาได้ในเวลาสั้นๆ เช่นนี้อีก เห็นได้ว่านางไม่ได้เก่งกาจธรรมดา
ในใจผู้ดูแลเซี่ยยิ่งไม่กล้าดูแคลนฮูหยินที่เพิ่งแต่งเข้าตระกูลมาผู้นี้ เขาส่งนางขึ้นรถม้าอย่างนอบน้อม
ปี้เอ๋อร์ก้าวขึ้นรถม้าตามมาด้วย สารถีเก็บแท่นเหยียบ กำลังจะสะบัดแส้ออกเดินทาง ตอนนี้เองชาวนาหลายคนก็วิ่งเข้ามา คนที่นำมาด้านหน้าคือเด็กหนุ่มช่างสงสัยผู้นั้น
เด็กหนุ่มหอบมันเทศหลายหัวอยู่ในอ้อมแขนแล้วยัดพรวดเดียวเข้ามาในรถม้า
เขายัดเสร็จ ชาวนาด้านหลังก็ทยอยนำของขวัญขอบคุณของตนเองยัดเข้ามาในรถม้าด้วย มีมันเทศ มีฟักทอง มีหัวไชเท้า มีมะเขือ แล้วยังมีไข่ไก่อุ่นๆ อีกสองฟอง เพิ่งออกจากก้นแม่ไก่สดๆ ร้อนๆ
เฉียวเวยมองข้าวของที่อยู่บนพื้นแล้วหันไปมองด้านนอก ไม่ไกลนักมีชาวนาหลายคนกำลังหลบอยู่ในบ้านพลางยื่นศีรษะชะเง้อคอมองมาด้านนี้ นางแย้มรอยยิ้มจากหัวใจ “ขอบคุณมาก”
แม้จะไม่ใช่ของมีค่ามีราคา แต่ก็เป็นสิ่งดีที่สุดที่พวกเขานำออกมามอบให้ได้
เฉียวเวยเรียกหาผู้ดูแลเซี่ย ขอตะกร้ามาใบหนึ่ง ใส่ข้าวของจนเรียบร้อยจากนั้นจึงกลับเมืองหลวง
ปี้เอ๋อร์คิดในใจว่าของเท่านี้ ฮูหยินของตนก็ยังยอมนับเป็นของขวัญ หากเปลี่ยนเป็นเจ้านายคนอื่น แม้แต่ชายตาแลก็คงไม่แล ดังนั้นถึงบอกว่าผู้ที่เคยลำบากมาก่อนย่อมแตกต่าง เจ้านายตระกูลจีพวกนั้น ไหนเลยจะเข้าใจความลำบากของลุงๆ ชาวนา ข้าวปลาอาหารที่พวกเขาสิ้นเปลืองแต่ละวันล้วนเพียงพอให้ครอบครัวชาวบ้านธรรมดามีกินมีใช้หนึ่งปี
เฉียวเวยจำคำกำชับของจีซั่งชิงได้ หลังจากไปบ้านชิงเหลียนเก็บข้าวของแล้วจึงถือกล่องอาหารใบหนึ่งมุ่งหน้าไปเรือนถง
หลิวเกอร์ต้องลมตอนกลางคืนจนเป็นหวัด ตอนกลางวันจามอยู่หลายหน ต้องเชิญหมอมาตรวจรักษาจึงชักช้าเสียเวลาอยู่เล็กน้อย เรือนอื่นทานอาหารเย็นกันหมดแล้ว อาหารของเรือนถงเพิ่งยกขึ้นโต๊ะ
สวินหลันยิ้มอย่างสง่างาม “ยังไม่ทานอาหารใช่หรือไม่ โจวมามา เพิ่มชามกับตะเกียบอีกชุด”
“เจ้าค่ะ” โจวมามายิ้มกว้างพลางจัดเรียงถ้วยชาม จากนั้นมองกล่องอาหารในมือนางแล้วถามว่า “ฮูหยินน้อยนำสิ่งใดมาหรือเจ้าคะ”
เฉียวเวยเปิดกล่องอาหารออก หยิบมันเทศที่ต้มเรียบร้อยแล้วออกมา “พวกชาวนาที่เช่าที่มอบมาให้ ข้าต้มเรียบร้อยแล้วจึงนำมามอบให้ท่านพ่อกับฮูหยินชิมดู”
โจวมามาลอบกลอกตา มันเทศในตระกูลจีเอาไว้ใช้เลี้ยงสุกร นางกลับกล้ายกมาวางบนโต๊ะอาหารของนายท่านกับฮูหยิน ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นสาวน้อยจากชนบท ช่างขี้เหนี้ยวจริงๆ!
เฉียวเวยใช้ตะเกียบกลางคีบชิ้นหนึ่งให้จีซั่งชิง “นี่คือมันเทศ ท่านพ่อเคยทานหรือไม่”
จีซั่งชิงชิมคำหนึ่ง หวาน นุ่มละมุน รสชาติไม่แย่ “เพิ่งเคยทานเป็นครั้งแรก”
เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ บอกว่า “มันเทศช่วยบำรุงร่างกายที่อ่อนแอ ช่วยเพิ่มพละกำลัง ทำให้ม้ามกับกระเพาะแข็งแรง เสริมธาตุหยินในไต ทำให้คนอายุยืนยาวไม่เจ็บไข้บ่อย ท่านพ่อทานวันละนิดก็ได้”
โจวมามาพูดหยอกล้อ “นายท่านตระกูลใหญ่คนใดกินสิ่งนี้บ้าง หากต้องการจะบำรุงร่างกายจริงๆ รังนก โสม พวกเราตระกูลจีมีกินได้ไม่หมด”
“รังนก โสมก็เป็นของดีสุดยอดเช่นเดียวกัน”
เฉียวเวยไม่เถียงคำพูดของโจวมามา แต่กลับทำให้เห็นว่าความจู้จี้ของโจวมามาดูร้ายกาจ
โจวมามากระแอมอย่างเก้อกระดาก
สวินหลันคีบขึ้นมาชิ้นหนึ่ง “ข้าเคยกินมาก่อน แต่เหมือนจะไม่หวานเท่าชิ้นนี้”
“ข้าก็จะกินด้วย” หลิวเกอร์พูดขึ้นมา
สวินหลันชะงักวูบหนึ่ง แล้วคีบชิ้นเล็กๆ ชิ้นหนึ่งให้เขา
เด็กน้อยชอบรสชาติของมันเทศยิ่งนัก หลิวเกอร์กินหมดชิ้นหนึ่งก็ยังอยากกินอีก แต่สวินหลันไม่ขยับ จีซั่งชิงจึงคีบชิ้นเล็กๆ ให้เขา “กินมากเข้า รอเจ้าเติบใหญ่ไปอยู่ในที่ดินบรรดาศักดิ์ของพวกเรา ต้องรู้จักความลำบากของชาวนา”
ในหมู่บรรพบุรุษตระกูลจีเคยมีคนได้รับแต่งตั้งบรรดาศักดิ์อ๋องแม้จะมิได้แซ่เดียวกับฮ่องเต้ หลังจากสืบทอดต่อกันสามรุ่น บรรดาศักดิ์อ๋องก็ถูกยกเลิก แต่ที่ดินศักดินายังคงอยู่ ที่ดินศักดินานี้สืบทอดให้แก่ทายาทสายหลักแต่ละรุ่นเท่านั้น เรือนรอง เรือนสามในรุ่นนี้ไม่มีสิทธิสืบทอด แม้จีซวงจะถูกเลี้ยงเหมือนบุตรชายและยังคงอยู่ในตระกูล แต่ไล่เรียงอย่างละเอียดแล้วนางก็ได้รับแบ่งที่นามาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
สามเมืองใหญ่สิบเจ็ดเมืองเล็กในครอบครองของตระกูลจี ทั้งหมดล้วนอยู่ใต้ชื่อของจีซั่งชิง
อนาคตหมิงซิวต้องสืบทอดที่ดินศักดินาส่วนใหญ่ แต่ในฐานะเจ้าตระกูลจี เขายังคงต้องอาศัยอยู่ในเมืองหลวง จีซั่งชิงรอให้หลิวเกอร์เติบใหญ่แล้วจะส่งเขาไปยังที่ดินศักดินาของตนเอง ความหมายของเรื่องนี้ไม่ว่าผู้ใดก็คงเข้าใจว่าหมายความเช่นไร
สวินหลันกินข้าวขาวหนึ่งคำ
…
หลังอาหารเย็น จีซั่งชิงเรียกเฉียวเวยไปที่ห้องหนังสือ
ห้องหนังสือของจีซั่งชิงแทบจะเหมือนกับของจีหมิงซิวทุกประการ พูดให้ดีหน่อยก็คือดูเก่าแก่เรียบง่ายและกว้างขวาง แต่หากพูดให้ไม่น่าฟังน้อยก็คือเก่าคร่ำคร่า แต่ก็สอดพ้องกับมุมมองความงามในสมัยนี้
เฉียวเวยเดินเข้าไปในห้อง
จีซั่งชิงนั่งลงอีกฝั่งของโต๊ะอ่านหนังสือ
บนเตาอุ่นน้ำชาเอาไว้อยู่ เฉียวเวยรินมาหนึ่งถ้วย แล้วประคองสองมือส่งให้เขา
เขารับไปแล้ววางลงบนโต๊ะ “เจ้าทำได้ดีมาก”
เฉียวเวยกะพริบตาอย่างแปลกใจ ทำอะไรได้ดีมาก เรื่องปรับปรุงที่นา เรื่องที่พังร้านสุรา หรือเรื่องที่เปิดโปงจีซวง
จีซั่งชิงกลับไม่ตอบความสงสัยของเฉียวเวย
บิดากับบุตรคู่นี้ ความจริงแล้วก็มีหลายจุดนักที่คล้ายกัน ตัวอย่างเช่นเงียบขรึมพูดน้อย ชอบพูดครึ่งเดียวแต่ไม่ยอมพูดอีกครึ่งหนึ่ง
จีซั่งชิงดึงลิ้นชักแล้วหยิบกล่องออกมาใบหนึ่ง ด้านในมีกุญแจอยู่หนึ่งดอก เขาส่งกุญแจให้เฉียวเวย แล้วเหลือบสายตามองตู้ฝั่งตรงข้าม “ไปเปิด”
เฉียวเวยหยิบกุญแจเดินไปหน้าตู้เหล็กใบใหญ่ ตู้ใบนี้ไม่ได้ทำมาจากเหล็กกล้าธรรมดา มันแข็งแกร่งยิ่งนัก ยิ่งไปกว่านั้นรูปร่างของกลอนก็แปลกประหลาดอย่างยิ่ง พริบตานั้นเฉียวเวยก็นึกไปถึงตู้นิรภัยในสมัยปัจจุบัน แม้หลักการจะแตกต่างกัน แต่หน้าที่เกรงว่าคงจะเหมือนกัน
เฉียวเวยเปิด ‘ตู้นิรภัย’ ของจีซั่งชิง ภายในว่างเปล่า ไม่มีสิ่งใดสักสิ่ง มีเพียงจดหมายอยู่หนึ่งฉบับ
“หยิบมา” จีซั่งชิงสั่ง
เฉียวเวยหยิบจดหมายออกมา จดหมายหนักอยู่เล็กน้อย ดูท่าคงไม่ได้ใส่กระดาษจดหมายไว้
“เปิดออก” จีซั่งชิงสั่งต่อ
เฉียวเวยเปิดซองจดหมาย เทกุญแจทองหนึ่งดอกด้านในออกมา
ตระกูลจีช่างร่ำรวยเสียจริง ถึงขนาดใช้ทองคำมาทำกุญแจ
เฉียวเวยส่งกุญแจให้จีซั่งชิง
จีซั่งชิงกลับไม่รับ แต่บอกว่า “เจ้าถือเอาไว้”
“หืม” เฉียวเวยงุนงง
จีซั่งชิงมิค่อยจะมีรอยยิ้ม ยามปกติสีหน้าจะดูดุอยู่เล็กน้อย คนที่ไม่คุ้นเคยกับเขา จะเข้าใจว่าเขากำลังโมโห “นับจากวันนี้เป็นต้นไป มันเป็นของเจ้าแล้ว ดูแลให้ดี”
เฉียวเวยพิจมองกุญแจทองในมือ แล้วถามอย่างไม่เข้าใจ “นี่คือกุญแจของที่ใดหรือ ท่านพ่อ”
ขนาดกุญแจยังเป็นทองคำ ประตูจะเป็นทองคำด้วยหรือไม่
อาจจะเป็นคลังสมบัติใหญ่สักแห่ง
ที่ซ่อนสมบัติหรือ
ดวงตาของแม่นางเฉียวผู้คลั่งเงินเริ่มวาววับ
จีซั่งชิงตอบว่า “ภายหลังเจ้าก็จะรู้เอง”
เฉียวเวยยังคงเชื่ออย่างแน่วแน่ว่าสิ่งนี้คือกุญแจของคลังสมบัติใหญ่สักแห่ง จึงรับมาอย่างไม่เกรงใจ แล้วตอบอย่างเบิกบานใจ “ท่านพ่อโปรดวางใจ ข้ากลับไปจะหาเชือกแดงมาร้อย พกไว้ทุกวัน รับประกันว่าไม่ทำหาย!”
ยามปกติพ่อสามีดูเป็นคนดุ แต่ความจริงกลับใจกว้างเอาการ ตกรางวัลหนหนึ่งก็ยกคลังสมบัติแห่งหนึ่งให้ นางรวยแล้ว!
จีซั่งชิงพยักหน้า “ไม่มีอะไรแล้ว เจ้ากลับเรือนเถิด”
เฉียวเวยยิ้มแย้มพลางค้อมกายคำนับ จากนั้นหมุนตัวเดินออกมา ทว่าเพิ่งก้าวเท้าข้ามธรณีประตูเพียงก้าวเดียว จีซั่งชิงก็เรียกนางไว้ “หมิงซิวเขา…”
“หืม” เฉียวเวยหันกลับมา มองไปทางจีซั่งชิงอย่างฉงน
จีซั่งชิงชะงัก “ไม่มีสิ่งใด ไปเถิด”
ไม่เสียทีเป็นท่านพ่อ ไม่พูดให้จบสักประโยค!
เฉียวเวยหัวใจคันคะเยอด้วยความอยากรู้ แต่เห็นแก่คลังสมบัติ (ความจริงเป็นเพียงกุญแจทองคำดอกเดียวเท่านั้น) นางจะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับท่านผู้เฒ่า
เฉียวเวยฮัมเพลงเบาๆ เดินมาถึงหน้าเรือน
สวินหลันกำลังถือกรรไกรเล่มหนึ่งตัดดอกหมู่ตานบนกิ่งไม้ แสงจันทราตกต้องร่างของนาง เรือนร่างเพรียวระหงยืนสง่า งดงามดั่งเทพธิดา
เฉียวเวยยิ้มจางๆ “ฮูหยิน ข้าขอตัวก่อน วันพรุ่งจะมาคารวะท่านใหม่”
สวินหลันเบี่ยงกายหลบ หันมามองนาง สายตาหยุดอยู่บนกุญแจของนางครู่หนึ่ง แต่ก็ผละสายตาจากไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงพยักหน้าให้น้อยๆ “ไปเถิด”
เฉียวเวยยืดหน้าอกน้อยๆ เดินจากไปอย่างสบายอกสบายใจ
โจวมามายกน้ำเย็นอ่างหนึ่งเข้ามา ตอนนี้นางปกปิดความชิงชังที่มีต่อเฉียวเวยไว้ไม่ได้มากขึ้นทุกที นางถลึงตาใส่เฉียวเวยอย่างเหี้ยมๆ ตอนที่นางกำลังจะเดินผ่านข้างตัวเฉียวเวย เฉียวเวยก็พลันยื่นเท้าออกมา โจวมามาสะดุด ทั้งคนทั้งอ่างถลาลงไปบนพื้น กินโคลนเข้าไปเต็มปาก อีกทั้งน้ำเย็นยังสาดโครมใส่นางทั้งตัว แม้แต่กางเกงในยังเปียกโชก
บรรดาสาวใช้ปิดปากลอบหัวเราะ
โจวมามาสบถด่า
เฉียวเวยเดินออกจากเรือนถงอย่างอารมณ์ดียิ่งนัก
…
กล่าวถึงโจวมามา หลังจากถูกเฉียวเวยขัดขา นางก็เก็บความแค้นไว้ในใจ นางออกจากจวนไปกลางดึก ลับหลังสวินหลัน บ่าวรับใช้เช่นพวกนาง ยามปกติอยู่อย่างสงบเสงี่ยม แต่ในช่วงเวลาสำคัญก็มีลูกเล่นสกปรกมากมาย
นางใช้เงินซื้องูพิษถุงหนึ่งมาจากอันธพาลคุมถิ่นตัวเล็กๆ คนหนึ่งแล้วหิ้วกลับมาที่จวนตระกูลจี
นางหิ้วงู เดินลัดเลาะทางเส้นน้อยมาถึงบ้านชิงเหลียน นางจำได้ว่าบ้านชิงเหลียนมีสระน้ำแห่งหนึ่ง สระน้ำอยู่ติดกับกำแพงตะวันตก ที่นั่นมีรูสุนัขลอดอยู่หนึ่งรู แม้ด้านหลังจะถูกปิดไปแล้ว แต่ปิดไม่สนิท ยังมีช่องว่างอยู่
นางเพียงต้องปล่อยงูพิษเข้าไป ไม่ต้องกลัดกลุ้มว่าลอดเข้าไปในบ้านไม่ได้
แม่สาวน้อยสมควรตาย กล้าขัดขานางหรือ
ดูซิว่างูจะกัดเจ้าตายหรือไม่!
บนมือของโจวมามาทากำมะถันแดงไว้ งูพิษจึงไม่กัดนาง นางจับงูออกมาจากถุง ยัดผ่านรูสุนัขลอดทีละตัวๆ
เสี่ยวไป๋กำลังหมอบอยู่ในพุ่มไม้เล่นกับสัตว์เลี้ยงแสนรักอยู่ ระหว่างที่เล่นไปเล่นมา งูพิษตัวหนึ่งก็มุดเข้ามา ดวงตาของเสี่ยวไป๋เปล่งประกายทันที!
มันเผ่นแผล็วเข้าไปในห้อง คว้าตะกร้าสะพายหลังใบน้อยของตนขึ้นมา
จากนั้นมันก็จับงูพิษใส่ลงไปในตะกร้าสะพายหลัง
ทว่าไม่นาน งูพิษตัวที่สองก็เข้ามาอีก
ว้าว!
ยังมีอีก!
เสี่ยวไป๋จับเข้าตะกร้าสะพายหลังของตนอีกหน
เสี่ยวไป๋จับซ้ายหนึ่งตัว ขวาหนึ่งตัว ใส่จนตะกร้าสะพายหลังใบน้อยเต็มแน่น แต่ยังเหลืออีกตัวหนึ่ง ใส่ไม่ลงแล้ว
เสี่ยวไป๋ปิดตะกร้าสะพายหลังใบน้อย แล้วจับงูตัวสุดท้าย กระโจนข้ามกำแพงออกไป
โจวมามาเก็บถุงกระสอบเรียบร้อยก็ยิ้มอย่างลำพอง แล้วเดินจากไปโดยไม่หันกลับมาดู
โอ๊ะ ที่แท้ก็ของมนุษย์คนนี้นี่เอง!
คิดว่านางเป็นคนเลวคนหนึ่งเสียอีก คิดไม่ถึงว่าจะเป็นคนดียิ่งนัก!
คนที่ให้งูพิษกับเสี่ยวไป๋ล้วนเป็นคนดีทั้งสิ้น!
เสี่ยวไป๋ไล่ตามไป คิดจะคืนงูพิษตัวสุดท้ายให้โจวมามา
โจวมามาเดินเข้าไปในเรือนถง
สาวใช้เดินเข้ามารับ “มามา เมื่อครู่ท่านไปที่ใด ฮูหยินเรียกหาท่านอยู่เจ้าค่ะ”
โจวมามาแววตาทอประกายวูบหนึ่ง แล้วยิ้มแย้มตอบว่า “ฮูหยินเรียกข้ามีธุระอันใด”
สาวใช้ตอบว่า “บ่าวก็ไม่ทราบแน่ชัด มิเช่นนั้นท่านไปถามเองเถิด ฮูหยินกำลังอาบน้ำอยู่”
“ได้ๆ!” โจวมามากลับห้องก่อน นางตักน้ำล้างกำมะถันแดงบนมือ จากนั้นเปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาดตัวหนึ่ง จากนั้นจึงเดินไปยังห้องของสวินหลัน
เสี่ยวไป๋เข้ามาในเรือนถงก็คลาดกับโจวมามา มันค้นหาทีละห้อง มีห้องหนึ่งอบอุ่นยิ่งนัก แล้วยังมีกลิ่นหอมฉุย ทำให้คนรู้สึกอบอุ่นเหมือนกับกลิ่นบนตัวของเสี่ยวเวย
เสี่ยวไป๋วิ่งฉิวเข้าไป ทันทีที่เห็นยอดพธูโฉมงามกายหอมฉุยในบ่อน้ำ เลือดกำเดาก็ทะลักพรวด!
มันรีบอุดจมูก กรงเล็บจึงคลายออก งูพิษร่วงลงในบ่อน้ำ