หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 195-2 สารภาพ ความลับของสวินหลัน
ตอนที่ 195-2 สารภาพ ความลับของสวินหลัน
วั่งซูเกาะอยู่บนร่างของเขา มือน้อยอวบอ้วนกอดลำคอของเขาแล้วจุ๊บบนใบหน้าเขาหนึ่งที “ท่านพ่อ!”
จีหมิงซิวเห็นเจ้าตัวน้อยผู้เหงื่อโชกศีรษะ ชั่วพริบตาหัวใจก็อ่อนยวบ ลูบศีรษะน้อยๆ ของนางอย่างรักใคร่ “พ่อกลับมาแล้ว คิดถึงพ่อหรือไม่”
วั่งซูกะพริบดวงตาที่เปล่งประกายระยิบระยับ แล้วพยักหน้าประหนึ่งตำกระเทียม
จีหมิงซิวยกมุมปากขึ้นน้อยๆ “พ่อก็คิดถึงเจ้า”
วั่งซูกอดเขา ศีรษะน้อยๆ ถูไถในอ้อมแขนเขา
จีหมิงซิวอุ้มนางขึ้นมาแล้วจับผ้าคลุมกันลมโอบนางเข้ามาในอ้อมอก
“รองเท้าก็ไม่สวม ข้าขอบอกเจ้า เจ้าจะต้อง…” เฉียวเวยดึงม่านเปิดออก พอดีกับที่จีหมิงซิวอุ้มวั่งซูออกมา วั่งซูซุกอยู่ในอ้อมกอดของเขาทั้งตัว ถูกเสื้อคลุมกันลมของเขาห่อไว้อย่างแน่นหนา โผล่ออกมาเพียงศีรษะน้อยกลมดิก
เฉียวเวยเลื่อนสายตาไปสบกับดวงตาล้ำลึกของเขา
เขามองเฉียวเวยนิ่งๆ เฉียวเวยก็มองเขานิ่งๆ การเดินทางหลายวันนี้คงไม่สะดวกสบายนัก ดวงตาเขาจึงยากจะปกปิดความเหนื่อยล้า รอบริมฝีปากมีเสียงเขียวจางๆ วั่งซูยื่นมือน้อยอวบอ้วนข้างหนึ่งออกมาจากในเสื้อคลุมกันลมแล้วลูบไรหนวดของเขา
ฉากนี้ทำให้คนรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างน่าประหลาด
เฉียวเวยแววตาวูบไหว “ท่านกลับมาแล้ว”
“อืม กลับมาแล้ว” จีหมิงซิวอุ้มวั่งซูก้าวลงจากรถม้า
ในที่สุดจิ่งอวิ๋นก็วิ่งมาถึง เขาหอบแฮ่กๆ เห็นน้องสาวถูกท่านพ่อหมิงอุ้มอยู่ในอ้อมแขน หัวใจก็รู้สึกถึงความริษยา
สู้แพ้น้องสาวก็ช่างเถิด เหตุไฉนวิ่งแข่งก็ยังสู้ไม่ได้อีกเล่า
จีหมิงซิวลูบศีรษะเล็กๆ ของบุตรชาย ดวงหน้าน้อยของจิ่งอวิ๋นแดงระเรื่อ เห็นว่ามืออีกข้างของท่านพ่อหมิงยังว่างอยู่จึงยื่นมือน้อยออกไป
ไม่ได้อุ้ม จับมือก็ยังดี
แต่ตอนที่เขากำลังจะจับมือของท่านพ่อหมิงได้แล้วนั่นเอง ท่านพ่อหมิงกลับไปจับมือของท่านแม่
ท่านพ่อหมิงจับมือท่านแม่ อุ้มน้องสาว เดินกะหนุงกะหนิงเข้าไปในจวน
จิ่งอวิ๋นมองแผ่นหลังของทั้งสามคนที่กำลังเดินจากไป แล้วคำรามอยู่ในใจ พวกท่านลืมอะไรไปหรือไม่!
…
ขบวนคนเดินเข้ามาในบ้านชิงเหลียน ดวงหน้าน้อยของจิ่งอวิ๋นบูดบึ้ง เขาโมโหแล้ว ต่อให้ท่านพ่อหมิงพูดกับเขา เขาก็จะไม่สนใจอีกแล้ว!
จีหมิงซิวเข้ามาในห้อง “จิ่งอวิ๋น มื้อดึกเจ้าอยากกินอะไร”
จิ่งอวิ๋น “ซาลาเปา!”
ครอบครัวสี่คนทานอาหารมื้อดึกเล็กน้อย เด็กๆ ก็หาวหวอด เอนตัวพิงกันและกันหลับไป สองสามีภรรยาอุ้มคนละคนกลับไปในห้อง
“นอนเองแล้วหรือ” จีหมิงซิวคิดไม่ถึงเล็กน้อย
“ใช่แล้ว” เฉียวเวยดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้ทั้งสองคนทีละคน
เสี่ยวไป๋นอนหงายท้อง ตบหน้าท้องน้อยๆ ของตนเอง
เฉียวเวยจับผ้าห่มผืนจิ๋วที่เย็บจากผ้าเช็ดหน้ามาห่มบนหน้าท้องของเสี่ยวไป๋
เจ้าตัวน้อยทั้งสามหลับสนิท
เฉียวเวยมองดูพวกเขา แม้แต่หัวใจก็ยังรู้สึกอบอุ่น
เฉียวเวยหันกลับมา ประตูงับปิด จีหมิงซิวไม่อยู่แล้ว เฉียวเวยเบ้ปาก ยังโกรธอยู่จริงหรือ แล้วเมื่อครู่นั่นจะจับมือนางทำอะไร ทำให้เด็กๆ ดูหรือ
คนสารเลว!
เฉียวเวยกระทืบเท้า กลับเข้าไปห้อง
จีหมิงซิวนั่งอยู่ภายในห้องคล้ายกำลังรอนางอยู่ เฉียวเวยแสร้งทำเป็นไม่เห็น เดินผ่านหน้าเขาไปเปิดตู้เสื้อผ้า เริ่มเลือกชุดนอน
จีหมิงซิวเอ่ยปากว่า “เจ้ายังไม่มีสิ่งใดจะเอ่ยกับข้าหรือ”
“ไม่มี!” เฉียวเวยโมโหฮึดฮัด จู่ๆ ไม่มีต้นสายปลายเหตุก็โมโหนาง มีอะไรให้พูดกันเล่า
“ข้ามี” จีหมิงซิวเอ่ย
เฉียวเวยชะงัก เกือบจะหมุนตัวกลับไปแล้ว แต่ห้ามตนเองเอาไว้ได้ จากนั้นก็ได้ยินเสียงทุ่มเข้มของเขาดังขึ้นจากด้านหลัง “ข้าจำได้ว่าข้าเคยบอกเจ้าแล้ว ข้ากับสวินหลันไม่ได้มีความสัมพันธ์เช่นนั้นอย่างที่เจ้าคิด”
เฉียวเวยตอบอย่างฉุนๆ “ข้าคิดว่าความสัมพันธ์แบบไหนกัน อาหารกินส่งเดชได้ แต่วาจามิอาจพูดส่งเดชได้ ข้าไม่เคยสงสัยมิตรภาพอันบริสุทธิ์ระหว่างพวกท่านสองคนเสียหน่อย ท่านเพื่อนสมัยเด็กของฮูหยิน!”
แววตาของจีหมิงซิวฉายแววซับซ้อน “มีเรื่องบางอย่าง ไม่รู้ว่าสมควรอธิบายกับเจ้าอย่างไร”
เฉียวเวยถือชุดนอนชุดหนึ่งของตัวเอง “ไม่ต้องอธิบายแล้ว ข้ารู้หมดแล้ว”
“เจ้ารู้แล้วหรือ” หนนี้จีหมิงซิวเปลี่ยนเป็นฝ่ายงุนงง
เฉียวเวยหยิบอีกชุดหนึ่งของเขาออกมาแล้วหมุนตัวมาหา “อืม ท่านย่าบอกข้าแล้ว
จีหมิงซิวขมวดคิ้วอย่างสงสัย “นางบอก…เรื่องของสวินหลันกับเจ้าแล้ว”
เฉียวเวยพยักหน้า
“บอกถึงไหน” จีหมิงซิวถาม
เฉียวเวยหอบเสื้อผ้าไปยังห้องอาบน้ำ เสียงดังออกมาจากในห้องอาบน้ำ “ทั้งหมด แล้วยังบอกว่าเรือนรอง เรือนสามฝั่นนั้นไม่รู้ความจริง ให้ข้าปิดปากเรื่องฮูหยินให้สนิท ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องน่าโอ้อวดนัก หากปล่อยให้ผู้อื่นล่วงรู้ เกรงว่าทั้งชีวิตนี้ของนางคงเงยหน้ามองผู้คนไม่ได้แล้ว”
จีหมิงซิวเหมือนกำลังนึกถึงอะไรบางอย่าง “เป็นเรื่องที่ไม่น่าพูดถึงเรื่องหนึ่งจริงๆ”
“ไม่น่าพูดถึงหรือ นายน้อยหมิง ท่านพูดเบาเกินไปหน่อยหรือไม่” เฉียวเวยเดินออกมาจากห้องอาบน้ำแล้วมองเขา “หากปล่อยให้ผู้อาวุโสของตระกูลจีทั้งหลายรู้เข้า ชีวิตนี้ของนางคงย่อยยับ นางอย่าคิดจะเหยียบเข้าตระกูลจีอีกเลย แล้วนางก็อย่าคิดจะได้พบหน้าลูกชายของนาง สามีของนางอีก นางยังจะถูกส่งไปศาลบรรพบุรุษ!”
“ตระกูลจีไม่มีศาลบรรพบุรุษ” จีหมิงซิวแก้
“วัด!” เฉียวเวยถลึงตาจนกลมบ๊อก “ชีวิตที่เหลือของนางจะถูกเยาะเย้ยถากถาง สิ่งเหล่านี้ในสายตาท่านเป็นเพียงเรื่องที่ไม่น่าเอ่ยถึงหรือ”
จีหมิงซิวครุ่นคิด หากความลับถูกเปิดเผย สวินหลันก็คงจะประสบกับสถานการณ์เช่นนั้นจริงๆ
จีหมิงซิวมองเฉียวเวยนิ่งๆ อยู่สองชั่วพริบตา ทันใดนั้นก็อดกลั้นไม่ไหวคลี่รอยยิ้มออกมา “เจ้ากลายเป็นพระโพธิสัตว์เช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด ช่วยพูดแทนนางเสียด้วย”
เฉียวเวยมองโคมแปดเปลี่ยมวิจิตรงดงามที่ห้อยอยู่ใต้หลังคา แล้วถอนหายใจแผ่วเบา “เพราะข้ากำลังพยายามที่จะเป็นคนตระกูลจีอย่างไรเล่า! พวกท่านคนตระกูลจี ไม่ได้รักสวินหลันมากกันหมดทุกคนหรือ”
จีหมิงซิวตอบอย่างนิ่งสงบ “เพียงสงสารเท่านั้น”
เฉียวเวยหรี่ตาลงอย่างอันตราย “พูดเช่นนี้ ท่านก็สงสารนางด้วยหรือ”
“ผู้ที่ข้าสงสารไม่ใช่นาง แต่เป็นคนผู้นั้นที่ห่วงใยนาง” จีหมิงซิวตอบ แล้วชะงักวูบหนึ่ง “ถึงอย่างไรก็เป็นครอบครัวใกล้ชิดของข้า”
รู้แล้ว ก็บิดาแท้ๆ ใช่หรือไม่เล่า เลือดข้นกว่าน้ำ ไม่ถูกกันอีกเท่าใด ในใจก็ยังห่วงใยกันและกัน หากไม่ใช่เช่นนั้น จีซั่งชิงจะมอบกุญแจทองที่สำคัญถึงเพียงนี้ให้นางได้อย่างไร จะบอกว่ามอบให้นางก็ไม่เชิง หากไม่ใช่เพราะหมิงซิว จีซั่งชิงจะยกให้นางหรือ เขาเพียงวางศักดิ์ศรีไม่ลง เกรงว่าหมิงซิวจะปฏิเสธ จึงมอบไว้ในมือนางชั่วคราวก็เท่านั้น
“จริงสิ ท่านพ่อมอบของดีสิ่งหนึ่งให้ข้าด้วย” เฉียวเวยปลดกุญแจทองที่คล้องอยู่บนลำคอออกมา “ท่านพ่อให้ข้าดูแลรักษาให้ดี อย่าทำหายเด็ดขาด นี่คือกุญแจสำหรับเปิดสิ่งใดหรือ เหมือนจะล้ำค่ายิ่งนัก”
จีหมิงซิวมองกุญแจในมือนาง แววตาชะงักกึก ผ่านไปครู่หนึ่งจึงสวมกลับไปบนลำคอให้เฉียวเวย ถึงเวลาเจ้าก็จะทราบเอง“
ประโยคนี้อีกแล้ว จะบอกนางตรงๆ ไม่ได้เลยใช่หรือไม่
เฉียวเวยถลึงตาใส่เขาอย่างขุ่นเคือง จากนั้นเก็บกุญแจไว้ดีๆ “ลืมบอกท่านไปเลย ท่านพ่อได้รับบาดเจ็บ ท่านจะไปเยี่ยมเขาหน่อยหรือไม่”
จีหมิงซิวสีหน้านิ่งสงบ “ดึกป่านนี้แล้ว วันพรุ่งก็แล้วกัน”
จะไม่ถามสักหน่อยหรือว่าบาดเจ็บได้อย่างไร
เมื่อครู่ยังบอกว่าเป็นครอบครัวใกล้ชิดที่ตนห่วงใยอยู่เลยแหนะ พริบตาเดียวก็กลับมาเย็นชาเช่นนี้แล้ว
เฉียวเวยเบ้ปากกระจุ๋มกระจิ๋มของตน แล้วเดินไปยังบ่ออาบน้ำ เพิ่งจะเลิกม่านขึ้น จีหมิงซิวก็เอ่ยปากว่า “ยังมีอีกเรื่องลืมบอกเจ้า”
“เรื่องใด” เฉียวเวยหันกลับมา
จีหมิงซิวมองนางนิ่งๆ ลังเลอยู่หลายหน ในที่สุดก็ยังเอ่ยออกมา “ไม่มีผู้ใดสำคัญกว่าเจ้า”
มุมปากของเฉียวเวยยกโค้งขึ้นมาอย่างห้ามตนเองไม่ได้ เสแสร้งทำท่าทางนิ่งสงบเดินเข้าไปในบ่ออาบน้ำ แต่ใบหน้าแดงซ่านไปทั้งดวง
…
เฉียวเวยอาบน้ำเสร็จเดินออกมา จีหมิงซิวก็ไม่อยู่แล้ว ชุดนอนบนเตียงก็หายไปด้วย น่าจะไปอาบน้ำ
บ่ออาบน้ำของบ้านชิงเหลียนไม่ได้มีเพียงหนึ่งแห่ง เพียงแต่บ่อนี้เชื่อมต่อกับห้องนอนจึงค่อนข้างสะดวก
เฉียวเวยเช็ดเส้นผม เปิดหีบของเขาแล้วหยิบสัมภาระออกมาทีละชิ้น ปิ่นกล้วยไม้หยกขาวเล่มหนึ่งร่วงลงบนพื้น
ปิ่นเล่มนี้เป็นของที่มารดาของเขามอบให้เขา เขามอบให้นางเป็นของแทนใจ ทว่าตอนอยู่บนเรือนางโมโหพวกสำนักซู่ซินจงจึงโยนมันทิ้ง
หลังจากนั้นก็ลืมไปเก็บกลับมา เขาเองก็ไม่ได้เอ่ยถึงอีก นางคิดว่าคงหายไปแล้ว คิดไม่ถึงว่าเขาจะพกอยู่ข้างกายตลอด
น่าจะเป็นของที่สำคัญยิ่งนักจริงๆ จึงทำเช่นนี้กระมัง
…
จีหมิงซิวอาบน้ำเสร็จ โกนหนวดเคราเสร็จแล้วก็เดินกลับมาในห้องอย่างสบายตัว เมื่อเดินเข้ามาในห้องก็เห็นเฉียวเวยนั่งอยู่ตรงหัวเตียง ในมือถือตำราวิชาแพทย์เล่มหนึ่ง เปิดอ่านอยู่อย่างเงียบๆ เส้นผมของนางเกล้าขึ้นไปหลวมๆ เป็นมวยผมลูกหนึ่งแล้ว ใช้ปิ่นกล้วยไม้หยกขาวเล่มหนึ่งปักไว้
สายตาของจีหมิงซิวหยุดนิ่งอยู่บนปิ่นเนิ่นนาน หลังจากนั้นจึงปิดประตู เดินมาหน้าเตียง
เฉียวเวยขยับไปด้านใน
เขาเปิดผ้าห่มลงไปนั่งติดกับนาง
เฉียวเวยคลำปิ่นบนศีรษะ “ไม่ได้ตั้งใจแตะของของท่าน หากท่านไม่ชอบ ข้า…”
นางพูดพลางก็ทำท่าจะปลดปิ่นลงมา
จีหมิงซิวจับมือของนางไว้ “แต่เดิมก็เป็นของที่มอบให้เจ้า เจ้ายอมประดับมัน ข้าดีใจยิ่งนัก”
“ปิ่นเล่มนี้…” นางอยากถามความเป็นมาของปิ่นเล่มนี้ แต่เมื่อคำพูดมาถึงริมฝีปากก็กลืนกลับไป
วันเวลายังอีกยาวนาน สิ่งที่นางควรรู้ นางก็คงจะค่อยๆ ได้รู้เอง
…
หนึ่งเค่อหลังจากนั้น
“จะให้เรียกคนยกน้ำมาให้หรือไม่” จีหมิงซิวถามอย่างจริงจัง
เฉียวเวยก็พยักหน้าอย่างจริงจังยิ่งนัก “อืม” ชะงักครู่หนึ่ง “มีปี้เอ๋อร์อยู่”
จีหมิงซิวสวมอาภรณ์จนเรียบร้อย แล้วเปิดประตูออกไปด้วยสีหน้าสุขุม
ปี้เอ๋อร์ยกน้ำร้อนมาอย่างเริงร่า พอเห็นเฉียวเวยผู้อยู่ใต้ผ้าห่มแต่เห็นชัดว่าไม่สวมเสื้อผ้าก็หัวเราะหึๆ “ในที่สุดก็ได้ร่วมหอแล้ว!”
เฉียวเวยยิ้มแต่ไม่พูดอะไร
ปี้เอ๋อร์มองนาฬิกาทรายบนกำแพง รอยยิ้มหุบลงเล็กน้อย “ท่านเขยใช้เวลาสั้นไปหน่อยนะเจ้าคะ”
เฉียวเวยถลึงตา นี่เจ้านั่งนับเวลาอยูข้างนอกหรอกหรือ!
ปี้เอ๋อร์เลิกผ้าห่มขึ้น แล้วโพล่งออกมาอย่างตกใจระคนยินดี “โอ๊ะ เลือดพรหมจรรย์!”
เฉียวเวยยังคงยิ้มไม่พูดไม่จา
ปี้เอ๋อร์ดึงผ้าปูเตียงออกมามาอย่างตื่นเต้น กำลังจะถามเฉียวเวยว่าเจ็บมากหรือไม่ แต่แล้วฉับพลันก็ตระหนักได้ถึงบางสิ่ง “ฮูหยินท่านคลอดลูกออกมาแล้ว เลือดพรหมจรรย์มาจากที่ใดเล่า”
เฉียวเวยเหล่มองนาง “ไม่ใช่เลือดพรหมจรรย์ ระดูต่างหาก!”
…
วันต่อมา ท้องฟ้าทอแสงสลัว จีซั่งชิงถูกเสียงเอะอะปลุกให้ตื่น พอถามบ่าวรับใช้จึงทราบว่าเฉียวเจิงมาแล้ว
ไม่เคยเห็นหมอผู้ใดมาเช้าเช่นนี้
จีซั่งชิงลุกขึ้นมานั่งอย่างยากลำบาก สั่งคนให้เชิญเฉียวเจิงเข้ามา
เฉียวเจิงเดินเข้ามาด้านในแล้ววางล่วมยาลงบนโต๊ะ หลังจากนั้นจึงขนม้านั่งมาตัวหนึ่ง นั่งลงตรงหน้าจีซั่งชิง
จีซั่งชิงยื่นข้อมือออกมา
เฉียวเจิงมองแวบหนึ่งแต่กลับไม่จับชีพจรให้เขา แต่ชูนิ้วชี้ข้างซ้ายของตนเองออกมา “นี่คือสิ่งใด”
จีซั่งชิงตอบอย่างแปลกใจ “นิ้วหรือ”
“ไม่ผิด” เฉียวเจิงชูนิ้วชี้ข้างขวาของตนออกมาอีก สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ ไม่รู้ว่านิ้วข้างนี้บาดเจ็บหรือไม่ จึงบวมจนแทบดูไม่ได้ “แล้วนี่เล่า”
“มือของท่านเป็นอะไร” จีซั่งชิงถาม
เฉียวเจิงตอบ “ถูกงูกัดเข้า งูตัวนั้นที่กัดท่านนั่นแหละ กัดนิ้วของข้า! นิ้วมือเหมือนกัน ถูกงูกัดเหมือนกัน ท่านดู นิ้วนี้ที่ถูกกัดใหญ่กว่ามากใช่หรือไม่!”
“ท่านอยากจะพูดอะไร…” จีซั่งชิงพูดไปได้ครึ่งหนึ่ง ทันใดนั้นก็เข้าใจจุดประสงค์ของเขา “ท่านจงใจให้งูกัดหรือ เพียงเพื่อ…เพื่อ…”
เฉียวเจิงเสตามองท้องฟ้า
จีซั่งชิงทั้งอายทั้งโมโหจนพูดไม่ออก นี่เขามีญาติเช่นนี้ได้อย่างไรกัน!