หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 198-2 ล่าสัตว์ เจ้าขนสีขาวตัวน้อย
ตอนที่ 198-2 ล่าสัตว์ เจ้าขนสีขาวตัวน้อย
ในตำหนักหลัก ยิ่นอ๋องจามออกมาหนึ่งหน
หนานเทียนหลีองค์ชายแปดและทูตแห่งหนานฉู่กำลังถวายส้มโอแด่ฮ่องเต้ แต่แล้วก็ตกใจสะดุ้งเพราะเสียงจามครั้งนี้มาขัด ตำหนักหลังใหญ่เงียบกริบ
ฮ่องเต้เหลือบมองยิ่นอ๋องอย่างไม่เผยร่องรอย
หนานเทียนหลีตั้งสติ แล้วเอ่ยต่อว่า “นี่คือราชาส้มโอของปีนี้จากหนานฉู่ น้อมถวายแด่ฝ่าบาทแห่งต้าเหลียง ขอให้ฝ่าบาทแห่งต้าเหลียงทรงพระเจริญยิ่งยืนนานนับหมื่นปี”
ฮ่องเต้มองราชาส้มโอที่ใหญ่เป็นสองเท่าของส้มโอปกติแล้วสรวลอย่างอบอุ่น “ขอบใจองค์ชายแปดยิ่งนัก”
ทุกปีล้วนถวายราชาส้มโอ ไม่มีสิ่งใดรู้สึกแปลกใหม่แล้ว
หนานเทียนหลีก็เข้าใจเรื่องนี้ จึงหันไปทางประตูแล้วปรบมือ องครักษ์ผู้หนึ่งถือกรงน้อยใบหนึ่งเดินเข้ามา กรงถูกผ้าคลุมปิดเอาไว้ มองไม่ชัดว่าด้านในมีสิ่งใด แต่ดูจากสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องขององค์ชายแปด ก็เดาได้ไม่ยากว่ามันบรรจุของดีบางอย่างอยู่
ฮ่องเต้สนพระทัยอย่างห้ามใจไม่ได้ ลุกขึ้นนั่งตัวตรงแล้วถามว่า “องค์ชายแปด นี่คือสิ่งใดหรือ”
หนานเทียนหลีตอบอย่างภาคภูมิใจพอสมควร “นี่คือสัตว์ล้ำค่าที่จวนเทพสงครามแห่งหนานฉู่ของข้านำกลับมาจากชนเผ่าลึกลับ”
ชนเผ่าลึกลับหรือ
ทุกคนประหลาดใจ
ชนเผ่าลึกลับที่เล่าลือกันว่าเป็นประหนึ่งมังกรเห็นหัวไม่เห็นหาง ไม่เคยข้องเกี่ยวกับโลกภายนอกแห่งนั้นน่ะหรือ
หนานฉู่…หนานฉู่มีคนเดินทางไปที่แห่งนั้นด้วยหรือ
แม้ไม่เคยมีผู้ใดกล่าวทำนองว่าการได้ครองชนเผ่าลึกลับเท่ากับได้ครองใต้หล้าอะไรแบบนั้น แต่คนทั้งหลายต่างก็อยากเดินทางไปสำรวจชนเผ่าลึกลับแห่งนี้ เล่าลือกันว่าจวนเทพสงครามเคยได้รับการชี้แนะจากคนของชนเผ่าลึกลับผู้หนึ่ง จึงเปลี่ยนสถานะจากสามัญชนกลายมาเป็นเทพสงครามแห่งหนานฉู่ได้ในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี
หรือว่าตำนานที่เล่าจะเป็นเรื่องจริง ชนเผ่าลึกลับมีอยู่จริง เรื่องที่จวนเทพสงครามแห่งหนานฉู่มีความเกี่ยวพันกับชนเผ่าลึกลับก็ไม่ใช่เรื่องโกหกสินะ
สายตาของฮ่องเต้เลื่อนมาจับบนร่างชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาคนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังองค์ชายแปดอย่างไม่ได้ตั้งใจ บุรุษผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่น เขาก็คือมู่สวินเฟิงแม่ทัพน้อยแห่งจวนเทพสงครามแห่งหนานฉู่
แววตาของฮ่องเต้วูบไหว พระสุรเสียงกลับตรัสถามด้วยอาการปกติ “แม่ทัพน้อยมู่เดินทางไปเยือนชนเผ่าลึกลับมาหรือ”
แม่ทัพน้อยมู่ตอบอย่างนิ่งสงบ “พ่ะย่ะค่ะ”
ทุกคนตกตะลึงจนอ้าปากกว้าง พวกเขามีชีวิตอยู่จนอายุปูนนี้ แม้แต่ขนสักเส้นของชนเผ่าลึกลับก็ยังไม่เคยเห็น แต่เด็กหนุ่มผู้นี้อายุยังน้อยก็ทำเรื่องยอดเยี่ยมเช่นนี้สำเร็จแล้ว อนาคตข้างหน้าย่อมไม่อาจประมาณได้!
ยิ่นอ๋องกำถ้วยในมือแน่น บอกไม่ถูกว่าอิจฉาหรือริษยา เขามักจะรู้สึกว่าเจ้าหนูคนนี้โชคดีเกินไปหน่อย
จีหมิงซิวจิบชาโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าสักนิด ใบหน้าของเขานิ่งสงบ
รัชทายาทหาวหวอด คิดในใจว่าช่างน่าเบื่ออย่างยิ่ง
เจาอ๋องแค่นเสียงดังเหอะออกมาคำหนึ่ง “เจ้าบอกว่าเคยไปก็เท่ากับว่าเคยไปแล้วหรือ ชนเผ่าลึกลับอะไรนั่นก็แค่เรื่องอุปโลกน์ที่ผู้คนแต่งขึ้นมาก็เท่านั้น มีสถานที่พรรค์นั้นอยู่จริงเสียที่ไหน ข้าไม่เชื่อ!”
แม่ทัพน้อยมู่ตอบว่า “เคยไปหรือไม่เคยไปก็เป็นเรื่องของข้า เชื่อหรือไม่เชื่อเป็นเรื่องของผู้อื่น”
เจาอ๋องกลอกตา “ชิ!”
ฮ่องเต้ตรัสถาม “เจ้าบอกว่าสิ่งที่อยู่ภายในกรงคือสัตว์ล้ำค่าของชนเผ่าลึกลับ ไม่ทราบว่าคือตัวอะไร”
แม่ทัพน้อยมู่เปิดผ้าคลุมกรงออก
ทุกคนเพ่งสายตามอง จากนั้นก็เบิกตาค้างอย่างห้ามตนเองไม่ได้
สัตว์ล้ำค่าอะไรกันเล่า ไม่ใช่สุนัขขนปุยสีขาวตัวหนึ่งเท่านั้นหรือ
เอ๋
ไม่ถูกสิ ไม่ใช่สุนัข แต่เป็นเพียงพอน!
เจาอ๋องจ้องอยู่พักใหญ่ แล้วจู่ๆ ก็หัวเราะออกมาดังพรืด กล่าวเสียดสีว่า “ข้าก็คิดว่าเป็นตัวอะไร ก็แค่เพียงพอนตัวหนึ่งเท่านั้น! เพียงพอนเช่นนี้ราชวงศ์ต้าเหลียงของพวกเรามีมากไป ต้องการเท่าใดก็มีเท่านั้น ตัวใหญ่กว่ามัน ตัวเล็กกว่ามัน ขนสีขาว ขนหลากสี ขนสีดำ มีหมดทุกแบบ แม่ทัพน้อยมู่คิดจะหลอกลวงผู้คนก็หาของที่หายากกว่านี้มาสักหน่อยเถิด อย่าเห็นพวกข้าเป็นพวกบ้านนอกคอกนาที่ไม่เคยเห็นโลก!”
แม่ทัพน้อยมู่ไม่ตอบแต่เปิดกรงออก เพียงพอนสีขาวตัวนั้นกระโจนใส่เจาอ๋องประหนึ่งสายฟ้าแลบ รวดเร็วจนทำใหคนตาโตอ้าปากค้าง เจาอ๋องตอบโต้ประการใดไม่ทันอย่างสิ้นเชิง เขาถูกเพียงพอนขนาดเท่าลูกสุนัขบ้านทั่วไปตัวนั้นโถมใส่จนร่วงลงไปบนพื้น
เจาอ๋องเป็นผู้ฝึกยุทธ์ พยัคฆ์ตัวหนึ่งก็ไม่แน่ว่าจะกระโจนใส่เขาจนล้มเช่นนี้ได้ ทว่าเพียงพอนตัวหนึ่งกลับทำได้
ชั่วพริบตานั้นเหงื่อกาฬเย็นเฉียบผุดออกมาบนร่างของเจาอ๋อง ดวงตาเบิกกว้างอย่างหวาดกลัว พูดไม่ออกสักคำ
จีหมิงซิวมองเพียงพอนตัวนั้นหนหนึ่งแล้วบอกว่า “เพียงพอนดี”
ยิ่นอ๋องมุ่นคิ้ว เขารู้สึกว่าเพียงพอนตัวนี้คุ้นตาอยู่บ้างเหมือนเคยเห็นที่ใดมาก่อน
หนานเทียนหลีหัวเราะตอบว่า “หากไม่ใช่เพียงพอนดี หนานฉู่คงไม่กล้านำมาถวายให้ขายหน้า” กล่าวจบก็หันไปมองแม่ทัพน้อยมู่ที่อยู่ด้านข้าง
แม่ทัพน้อยมู่ผิวปากหนึ่งหน เพียงพอนสีขาวตัวนั้นปล่อยเจาอ๋อง แล้วมุดกลับเข้ามาในกรง
ขุนนางบุ๋นบู๊นับร้อยตกใจจนเหงื่อเย็นเฉียบหลั่งทั่วร่าง
หนานเทียนหลีประสานมือให้ฮ่องเต้กราบทูลว่า “หนานฉู่กับต้าเหลียงเป็นมิตรกันมาเนิ่นนาน ของขวัญเล็กน้อยเท่านี้ ไม่พอแสดงความเคารพ แต่หวังว่าฝ่าบาทแห่งต้าเหลียงจะไม่รังเกียจ”
ฮ่องเต้ตรัสตอบอย่างเกรงพระทัย “องค์ชายแปดพูดอันใดกัน ของล้ำค่าที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ ข้าอยากได้ยิ่งนัก จะรังเกียจได้เช่นไรกัน เพียงแต่มันนิสัยดุร้าย น่ากลัวว่าคงจะฝึกให้เชื่องยาก”
“ไม่ผิด เพียงพอนเมฆามีนิสัยดุร้าย ฝึกให้เชื่องไม่ง่ายจริงๆ ตอนแรกที่แม่ทัพน้อยมู่ได้เพียงพอนเมฆามาก็เสียแรงไปมากมายนักกว่าจะฝึกฝนจนเชื่อฟังเช่นนี้ได้”
“ถ้าเช่นนั้นข้าคงแย่งชิงของรักของผู้อื่นไม่ได้แล้ว” คำที่ฮ่องเต้ตรัสมิใช่คำพูดตามมารยาท ล้อเล่นอะไรกัน เดรัจฉานน้อยดุร้ายเช่นนี้ รับมาแล้วจะเอาไปขังไว้ในอุทยานสรรพสัตว์ หรือจะพระราชทานให้พระโอรส ขุนนางได้หรือ หากขังไว้ก็สูญเสียคุณค่าดั้งเดิมของตัวมัน มอบให้ผู้อื่นก็เกรงว่ามันจะไปคร่าชีวิตผู้ใดเข้า เมื่อครู่ที่มันกระโจนใส่คน พระองค์เห็นอยู่ชัดๆ กับตา หากไม่ใช่ว่าแม่ทัพน้อยมู่อยู่ตรงนี้ด้วย เพียงพอนตัวนั้นคงจะขย้ำโอรสของพระองค์แล้ว
หนานเทียนหลีตอบว่า “จะเป็นการแย่งชิงของรักของผู้อื่นได้เช่นไรเล่า ข้าต้องการถวายของล้ำค่าแด่ฝ่าบาทแห่งต้าเหลียงด้วยความจริงใจ ฝ่าบาทแห่งต้าเหลียงหาผู้ที่เลี้ยงดูเป็นมาสักคน ข้าจะให้แม่ทัพน้อยมู่สั่งสอนพวกเขา เท่านี้ก็ใช้ได้แล้ว”
แค่คนที่เลี้ยงดูเป็นน่ากลัวว่าจะไม่พอกระมัง เดรัจฉานน้อยตัวนี้แม้แต่ลูกของข้ายังกระโจนใส่จนคว่ำ บ่าวที่ไม่เป็นวรยุทธ์พวกนั้นจะรับกรงเล็บของมันไหวหรือ
เพียงแต่ว่าความจริงใจของอีกฝ่ายยากจะปฏิเสธอย่างแท้จริง
ฮ่องเต้นิ่งไปครู่หนึ่งก็ตรัสตอบ “ของขวัญของเจ้า ข้ารับไว้แล้ว ข้าจะพระราชทานมันให้แก่ผู้กล้าแห่งราชวงศ์ต้าเหลียง อีกประเดี๋ยวยามล่าสัตว์ ปล่อยเพียงพอนเมฆาตัวนี้เข้าไปด้วย ผู้ใดล่ามันได้ ผู้นั้นก็จะเป็นเจ้าของใหม่ของมัน”
…
“พระสนม ฝ่าบาทจะเริ่มการล่าสัตว์แล้วเพคะ” ภายในตำหนักข้าง นางกำนัลคนหนึ่งรายงานกุ้ยเฟยเสียงเบา
กุ้ยเฟยฉงนเล็กน้อย “ตอนนี้ก็จะเริ่มแล้วหรือ”
นางกำนัลทูลตอบ “เพคะพระสนม”
“ไม่ได้บอกไว้ว่าตอนบ่ายหรอกหรือ” กุ้ยเฟยถามเสียงเบา
นางกำนัลทูลว่า “ฝ่าบาทออกพระบัญชาให้เริ่ม เหมือนจะเป็นเพราะได้สัตว์ล้ำค่าอันใดมา จึงอดรนทนรอไม่ไหวต้องการจะล่าสัตว์แล้วเพคะ”
กุ้ยเฟยโบกพระหัตถ์ “ข้าเข้าใจแล้ว”
นางกำนัลถอยออกไป
กุ้ยเฟยมองผู้คนทั้งหลายแล้วคลี่ยิ้ม “พวกเขาจะล่าสัตว์กันแล้ว พวกเราก็ไปร่วมชมความครึกครื้นกันเถิด!”
พระราชวังของราชวงศ์ต้าเหลียงใหญ่โตกว่าที่เฉียวเวยจินตนาการไว้มากนัก นอกจากเขตพระราชฐานชั้นนอกกับเขตพระราชฐานชั้นใน ยังมีสนามล่าสัตว์ที่คนสร้างขึ้นอีกหนึ่งแห่ง สนามล่าสัตว์มีขนาดใหญ่ประมาณครึ่งหนึ่งของหมู่บ้าน ป่าเขียวชะอุ่มหนาทึบ ภูเขาหินเรียงรายซ้อนกัน รอบด้านมีรั้วล้อมไว้ ทางทิศเหนือคืออุทยานสรรพสัตว์ที่เลี้ยงสัตว์ชนิดต่างๆ ปะรำพิธีนั่งชมอยู่ทางทิศใต้ ตอนกุ้ยเฟยพาภริยาทั้งหลายมาถึงที่นั่งชม การล่าสัตว์ก็เริ่มต้นขึ้นแล้ว
ฮ่องเต้นั่งอยู่บนตำแหน่งประธาน ตำแหน่งถัดมาคือจีหมิงซิวกับรัชทายาท จีหมิงซิวไม่เข้าไปในสนามล่าสัตว์ก็แล้วไปเถิด แต่รัชทายาทก็ไม่ยอมไปด้วย
ฮ่องเต้ถีบก้นของเขา ส่งเขาเข้าไปในป่า
ขันทีทั้งหลายแห่กันตามเข้าไป เพราะกลัวว่าบรรพบุรุษน้อยคนนี้ล่าสัตว์ไปได้ครึ่งทางแล้วจะหลับอยู่บนหลังม้า
ทูตทั้งหลายจากหนานฉู่ส่วนมากก็ไปล่าสัตว์แล้ว เหลืออยู่เพียงน้อยนิดไม่กี่คน
นางกำนัลทั้งหลายจัดที่นั่งเสร็จก็เชิญพระสนมกับภรรยาขุนนางทั้งหลายเข้ามายังที่นั่ง
กุ้ยเฟยนั่งอยู่ข้างพระวรกายของฮ่องเต้
หลินซูเยี่ยนก็ไปล่าสัตว์แล้ว จีหว่านเบื่อหน่าย แต่คร้านจะร่วมโต๊ะกับหลีซื่จึงนั่งอยู่ตรงที่นั่งของตระกูลจี ด้านซ้ายคือสวินหลันกับจีซวง ด้านขวาคือเฉียวเวย
เจ้าซาลาเปาน้อยทั้งหลายเล่นกันอย่างเบิกบานใจอยู่ที่ตำหนักผิงชุน
เฉียวเวยอยากล่าสัตว์ นางจ้องผืนป่าตาเป็นมัน อยากจะงอกปีกสักคู่บินเข้าไปยิ่งนัก
กุ้ยเฟยทอดพระเนตรมองนางแวบหนึ่งก็แย้มสรวล “จีฮูหยินเคยล่าสัตว์หรือ”
เฉียวเวยทูลตอบว่า “เคยเพคะ ตอนข้าอยู่บนเขา ขึ้นไปล่าสัตว์อยู่ทุกวัน”
กุ้ยเฟยชี้ไปทางผืนป่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ จีฮูหยินก็ไปเถิด”
เฉียวเวยงุนงง “หม่อมฉันเข้าร่วมได้หรือเพคะ”
กุ้ยเฟยยิ้ม “ได้สิ วันนี้คุณหนูตัวหลัวไม่มา หากนางมาล่ะก็ จะต้องไปล่าสัตว์ด้วยแน่”
นางกำนัลจูงม้าตัวหนึ่งมาให้เฉียวเวย เฉียวเวยเห็นม้าตัวสูงใหญ่กำยำก็ยิ้มอย่างขัดเขิน นางขี่ม้าไม่เป็น…
จีหมิงซิวลุกขึ้นยืน สะบัดแขนเสื้อกว้าง “กระหม่อมจะไปล่าสัตว์พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้มองจีหมิงซิว แล้วมองเฉียวเวยที่กำลังถูกขันทีประคองขึ้นม้าอยู่ไม่ไกล จากนั้นแย้มสรวลอย่างเข้าพระทัย “ไปเถิด”
“ข้า ข้า ข้า…ข้าขึ้นเองได้!”
เฉียวเวยดันขันทีผู้กำลังกอดขาของนางอยู่ออก จากนั้นเหยียบเท้าข้างหนึ่งบนแท่นเหยียบ ขณะที่กำลังจะพลิกกายขึ้นไป จู่ๆ ก็ถูกคนผู้หนึ่งอุ้มจนตัวลอย ยกขึ้นไปวางบนหลังม้าอย่างว่องไว
บนเอวยังหลงเหลือความอบอุ่นจากฝ่ามือของเขา เฉียวเวยหน้าแดงระเรื่อ
สวินหลันจิบชาหนึ่งคำ แววตานิ่งสงบ
หลังจากนั้นจีหมิงซิวก็พลิกกายขึ้นม้าอีกตัว จับบังเหียนม้าของเฉียวเวยไว้ในมือแล้วพานางเข้าไปในป่าอย่างช้าๆ