หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 199-2 เสน่ห์แห่งผืนป่า ไล่จับเพียงพอนเมฆา
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก
- ตอนที่ 199-2 เสน่ห์แห่งผืนป่า ไล่จับเพียงพอนเมฆา
ตอนที่ 199-2 เสน่ห์แห่งผืนป่า ไล่จับเพียงพอนเมฆา
จีหมิงซิวผละจากริมฝีปากที่ถูกดูดจนบวมแดงของนาง นางหอบน้อยๆ ดวงตามีม่านน้ำบางๆ ปกคลุมราวกับเพิ่งถูกรัก ความเย้ายวนอย่างไม่ได้ตั้งใจนั่นทำให้คนมองหัวใจอ่อนระทวย
จีหมิงซิวข่มกลั้นความต้องการที่จะถอดเสื้อผ้าแล้วกินนางให้หนำใจ มือข้างหนึ่งปิดดวงตาของนางไว้ จากนั้นแตะบนริมฝีปากของนางเบาๆ “ไปล่าสัตว์ ดีหรือไม่”
เฉียวเวยส่ายหน้า ขนตายาวปัดป่ายฝ่ามือของเขา
จีหมิงซิวเอามือออก ก้มลงจุมพิตอีกหน
เฉียวเวยหลับตาลงอย่างเชื่องช้า ขณะที่ดวงตากำลังจะปิดลงนั่นเอง ทันใดนั้นก็เห็นแสงสีขาวเส้นหนึ่งกระโจนผ่านไป นางลืมตาโตทันที “เสี่ยวไป๋? เสี่ยวไป๋ตัวโต?”
เพียงพอนเมฆากระโจนมาหาทั้งสองคน ทว่าตอนที่ใกล้จะกระโจนมาถึงตัวนั่นเอง ลูกศรหลายดอกก็พุ่งดัง ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว! เข้ามาหาบีบให้เพียงพอนเมฆาต้องผลุบเข้าไปในป่า
จุมพิตของจีหมิงซิวประทับลงมา แต่ยังไม่ทันสัมผัสโดนก็ถูกภรรยาตัวน้อยผู้บอบบางแต่พละกำลังมากพอจะยกขุนเขาผลักออก ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีผู้ไม่ทันตั้งตัวแม้แต่น้อยเซเสียหลัก พลัดร่วงจากหลังม้า!
“ข้าจะไปล่าสัตว์แล้ว! ท่านรีบตามมาให้ติดๆ ล่ะ!” เฉียวเวยกระโดดขึ้นม้าของตนเอง แล้วสะบัดแส้ม้าไล่ตามเพียงพอนเมฆาไป!
เห็นชัดว่าเพียงพอนเมฆากลายเป็นเหยื่อที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในการล่าสัตว์หนนี้ สิงโต เสือร้ายล้วนไม่มีผู้ใดตามล่า ทุกคนล้วนวิ่งไล่ตามเพียงพอนเมฆา แม้แต่ทูตจากหนานฉู่ก็เข้าร่วมการไล่ล่าด้วย อย่างไรเสียฮ่องเต้ต้าเหลียงก็ตรัสแล้วว่าผู้ใดล่าได้จะเป็นของผู้นั้น ผู้ใดที่ว่านี้ไม่จำกัดว่าต้องเป็นคนต้าเหลียง
แม่ทัพน้อยมู่ฝึกฝนเพียงพอนมาหนึ่งเดือนกว่า ย่อมมีความผูกพันกับเพียงพอนเมฆาอยู่แล้ว เขาจึงต้องการอาศัยโอกาสนี้ล่าเพียงพอนเมฆากลับมา
เพียงพอนเมฆาถูกตามไล่ล่าครั้งใหญ่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ มันวิ่งจนขาเพียงพอนจะหักอยู่แล้ว!
ศรของแม่ทัพน้อยมู่เล็งไปที่เพียงพอนเมฆา เขาฝึกฝนเพียงพอนมานานเช่นนี้ ความจริงย่อมมีหนทางควบคุมมัน แต่รอบด้านล้วนมีแต่คนตามล่าเหยื่ออยู่ หากปล่อยให้ผู้อื่นจับได้ว่าเขาเล่นโกงคงไม่ดี ดังนั้นเขาจึงเลือกใช้วิธีที่ยุติธรรมที่สุด ทว่าในตอนที่เขากำลังจะยิงศรดอกนี้ออกมานั่นเอง เงาสีแดงร่างหนึ่งก็โฉบเข้ามาในสายตาของเขา
นางเองหรือ
แม่ทัพน้อยมู่เบนลูกศรออก ฟิ้ว! แล้วยิงใส่ผู้ที่โผล่มา!
เฉียวเวยเลิกคิ้ว ผู้ใดกล้ายิงศรส่งเดช!
เฉียวเวยเบี่ยงกายหลบ ลูกศรพุ่งผ่านอกเสื้อของนาง แล้วไปปักลงบนต้นไม้จนเป็นรูใหญ่!
เฉียวเวยมองไปยังทิศทางที่ลูกศรถูกยิงมาอย่างแปลกใจ หากบอกว่าวินาทีก่อนหน้านางคิดว่าคงมีผู้ใดยิงศรมั่วซั่วอย่างไม่เจตนา ถ้าเช่นนั้นหลังจากมองเห็นความเป็นอริในดวงตาของอีกฝ่ายชัดเจน นางก็ทราบแล้วว่าอีกฝ่ายจงใจ
นางหน้าดำทะมึน เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าเป็นผู้ใด เอาศรมายิงข้าทำอะไร”
แม่ทัพน้อยมู่ไม่ตอบ แต่พาดศรอีกดอกขึ้นสาย เล็งมาทางเฉียวเวย
เฉียวเวยโมโหแล้ว คนบ้าจากที่ใดกัน มาถึงก็จะยิงนาง!
พยัคฆ์มิแสดงกำลังก็คิดว่านางเป็นแมวป่วยสินะ!
เฉียวเวยง้างคันศรบ้าง นางเล็งไปที่เขาแล้วยิงออกไปอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย!
ศรสองดอกปะทะกันกลางอากาศ เปรี๊ยะ! ลูกศรแหลกสลายกลายเป็นเศษไม้
แม่ทัพน้อยมู่ดึงลูกศรออกมาจากกระบอกลูกศรอีกหน ก่อนจะยิงสองดอกออกมาพร้อมกัน!
เฉียวเวยยิงออกมาหนึ่งดอก ขวางลูกศรดอกหนึ่งของเขาไว้ได้ แต่ลูกศรอีกดอกหนึ่งกลับไม่ได้ยิงมาที่ตัวของเฉียวเวย มันยิงถูกกระบอกลูกศรข้างกายเฉียวเวยจนกระบอกลูกศรร่วงตกพื้น
เฉียวเวยหน้าถอดสี เจ้าเล่ห์นัก ทำให้นางไร้อาวุธแล้วนางจะใช้สิ่งใดยิงกันเล่า!
แม่ทัพน้อยมู่ยิงศรสามดอกออกมาพร้อมกัน ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว! ลูกศรพุ่งเข้ามาโจมตีเฉียวเวย ยามเล่าคล้ายยาวนานแต่ความจริงเพียงชั่วพริบตา ลูกศรห้าดอกฉับพลันพุ่งมืดฟ้ามัวดินจากด้านหลังของเฉียวเวย ไม่เพียงขวางการโจมตีของแม่ทัพน้อยมู่เอาไว้ได้ แต่ยังยิงถูกกระบอกศรและกวานบนศีรษะของแม่ทัพน้อยมู่อีกด้วย
กระบอกศรร่วงหล่น เส้นผมของแม่ทัพน้อยมู่แผ่สยาย เส้นผมดำขลับดุจม่านน้ำตกปลิวสยายท่ามกลางสายลมหนาว เส้นผมที่ขาดหลายเส้นค่อยๆ หล่นร่วงลงบนอานม้า จากนั้นลื่นไถลตกลงบนพื้นดิน
คนโบราณถือว่าเส้นผมสำคัญ เส้นผมขาดเท่ากับศีรษะขาด ลูกศรดอกนั้นเมื่อครู่ หากพูดให้เกินจริงสักหน่อยก็เท่ากับแม่ทัพน้อยมู่ถูกคนเด็ดศีรษะไปแล้ว
เฉียวเวยเอี้ยวตัวกลับมา อยากดูว่าผู้ใดฝีมือร้ายกาจจนเด็ดศีรษะเจ้าคนบ้าผู้นี้ได้ แล้วนางก็เห็นจีหมิงซิวขี่ม้าออกมาอย่างสบายอารมณ์
จีหมิงซิวเอ่ยเสียงราบเรียบ “แม่ทัพน้อยมู่ อาศัยจังหวะที่ข้าไม่อยู่ ข่มเหงภรรยาของข้า ทำเกินไปหน่อยหรือไม่”
“ภรรยาของท่านหรือ” แม่ทัพน้อยมู่ขมวดคิ้วอย่างประหลาดใจ
เฉียวเวยบังคับม้าเยาะย่างมาอยู่ข้างกายจีหมิงซิว “เขาเป็นผู้ใดกัน เหตุไฉนมาถึงก็จะยิงข้า”
จีหมิงซิวลูบเส้นผมที่ยุ่งเหยิงเล็กน้อยของนาง “เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”
เฉียวเวยส่ายหน้า “ข้าไม่เป็นอะไร”
จีหมิงซิวบอก “เขาคือแม่ทัพน้อยมู่แห่งจวนเทพสงครามหนานฉู่ แล้วก็เป็นพี่ชายของศิษย์น้องรองที่สำนักซู่ซินจง”
เฉียวเวยเข้าใจในทันใด “พี่ชายของผู้หญิงคนนั้น นางเป็นคุณหนูจวนเทพสงครามแห่งหนานฉู่หรือ”
นางกับศิษย์พี่รองนับว่าผูกแค้นกันใหญ่โตพอควร ศิษย์พี่รองทำร้ายนางบาดเจ็บ นางแทงมือของศิษย์พี่รองจนทะลุ แล้วยังยิงศรตรึงศิษย์พี่รองไว้กับต้นไม้ ไม่แน่ตอนนี้ศิษย์พี่รองอาจจะยังรักษาตัวอยู่ในบ้านอยู่เลย เหตุไฉนจึงโชคร้ายเช่นนี้ นางดันมาพบพี่ชายของอีกฝ่ายเสียได้
เฉียวเวยเหล่มองแม่ทัพน้อยมู่ “ข้าว่านะท่านแม่ทัพน้อยมู่อะไรสักอย่าง พวกท่านคนตระกูลมู่ล้วนไม่มีเหตุผลเช่นนี้กันหมดเลยหรือ ท่านจะแก้แค้นแทนน้องสาวก็ต้องถามน้องสาวของท่านก่อนว่าทำอะไรข้าไว้ ท่านไม่แบ่งแยกถูกผิด ไม่สมกับเป็นแม่ทัพอย่างยิ่ง!”
หลังจากน้องสาวถูกผู้อื่นทำร้าย ชีวิตก็แทบจะสูญไปครึ่งหนึ่ง แม่ทัพน้อยมู่โกรธจัดยิ่งนัก ยามเห็นภาพเหมือนของเฉียวเวยก็สาบานไว้ว่าขอเพียงได้พบสตรีนางนี้ จะต้องสังหารนางกับมือ ล้างแค้นให้น้องสาวให้จงได้!
“เหตุใดเจ้าจึงแต่งงานกับศัตรูคู่แค้นของน้องสาวข้า น้องสาวข้าคือศิษย์น้องของเจ้านะ” แม่ทัพน้อยมู่ถามอย่างไม่เข้าใจ
จีหมิงซิวตอบ “ก่อนที่น้องสาวของท่านจะกลายเป็นศิษย์น้องของข้า ข้าก็มีสัญญาหมั้นหมายกับภรรยาของข้าอยู่ก่อนแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นน้องสาวของท่านไม่มีเหตุผลเกินไปแล้วจริงๆ”
แม่ทัพน้อยมู่โมโห “น้องสาวข้าเพียงแค่หวดแส้ใส่นางเพียงหนเดียวเท่านั้น!”
เฉียวเวยไม่อยากจะเชื่อ “เพียงแค่หรือ ท่านรู้หรือไม่ว่าแส้นั่นหนักเท่าใด ข้าร่างกายแข็งแรงจึงทนรับไหว หากเปลี่ยนเป็นแม่นางผู้ไม่เคยฝึกวรยุทธ์คนอื่น คงถูกหนึ่งแส้นั่นของนางตีจนตายแล้ว! แล้วนางยังยิงเสี่ยวไป๋ของบ้านข้าบาดเจ็บ! ข้าไม่ยิงนางตายก็เห็นแก่หน้าศิษย์พี่ของนางแล้ว!”
แม่ทัพน้อยมู่กำมีดสั้นในแขนเสื้อแน่น
หน้าไม้พิฆาตเทวาของจีหมิงซิวเล็งไปที่หัวใจของเขา
ไม่ว่าฝั่งใดก็ไม่เอ่ยวาจา บรรยากาศอัดแน่นไปด้วยกลิ่นอายของสนามรบอันเข้มข้น
แรงกดข่มจากจีหมิงซิวโถมทับแม่ทัพน้อยมู่ประหนึ่งคลื่นสมุทร
หน้าผากของแม่ทัพน้อยมู่มีเหงื่อเย็นซึมออกมา
“รัชทายาท! รัชทายาทท่านเป็นอันใดพ่ะย่ะค่ะ ใครก็ได้! รัชทายาทตกม้า!”
เสียงขันทีตะโกนเรียกดังขึ้นไม่ไกล จีหมิงซิวมองแม่ทัพน้อยมู่ด้วยสายตาเย็นชาหนหนึ่ง แล้วจับสายบังเหียนม้าของเฉียวเวย พาเฉียวเวยออกไปจากตรงนั้น
กลางฝ่ามือของแม่ทัพน้อยมู่ชุ่มเหงื่อ ปลายหางตาเหลือบมองต้นไม้ใหญ่ใกล้ๆ บุรุษผู้สวมผ้าคลุมสีดำคนหนึ่งก้าวออกมาจากด้านหลังต้นไม้
ใบหน้าของเขาซ่อนอยู่ใต้เงาของผ้าคลุม เห็นเพียงปลายคางเกลี้ยงเกลาเท่านั้น
แม่ทัพน้อยมู่ถามเสียงเย็นชา “เหตุใดเมื่อครู่เจ้าจึงไม่ลงมือ”
เขาตอบอย่างเฉยเมย “เจ้าก็ไม่เป็นอะไรไม่ใช่หรือ”
แม่ทัพน้อยมู่กำสายบังเหียนแน่น “เมื่อครู่แก้แค้นแทนน้องสาวข้าได้แท้ๆ!”
บุรุษผู้นั้นไม่ตอบคำ เขามองแผ่นหลังของคนสองคนที่ขี่อาชาจากไป เท้าหยุดชะงักวูบหนึ่ง ก่อนจะยกเท้าเดินไปด้านหน้าต่อ
“เจ้าจะไปที่ใด” แม่ทัพน้อยมู่ถาม
“ตามหาเพียงพอนเมฆา” คนผู้นั้นตอบ
แม่ทัพน้อยมู่แค่นเสียงหยัน “เจ้าไม่ได้ให้ข้าถวายเพียงพอนเมฆาไปหรอกหรือ ตอนนี้เจ้าเสียใจแล้วหรือไร ข้าขอบอกเจ้า ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าหรอก! เจ้ารอข้าด้วย!”
แม่ทัพน้อยมู่พูดพลางก็พลิกกายลงจากอาชา เก็บกระบอกลูกศรบนพื้นขึ้นมาแขวนไว้กับอานม้า ทว่าเพียงชั่วพริบตาเดียว เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมามองหาบุรุษอาภรณ์สีดำอีกหนก็ไม่เห็นเงาคนแล้ว