หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 202-2 ฝีมือของนายท่านหก
ตอนที่ 202-2 ฝีมือของนายท่านหก
นายท่านหกตกใจจนแทบจะเด้งตัวขึ้นมาจากเก้าอี้ ผลักแม่นางที่หมอบอยู่ตรงหว่างขาของตนเองออก แล้วดึงเสื้อผ้ามาปิดไว้ “เจ้ามาได้อย่างไร!” พูดเสร็จก็หันไปบอกแม่นางผู้เปลื้องผ้าอยู่ครึ่งร่างคนนั้น “ออกไป!”
หญิงสาวหน้าแดงเดินเข้าไปในห้องด้านใน
นายท่านหกดึงกางเกงขึ้นมาสวมให้เรียบร้อย แล้วเอ่ยอย่างกระดากอายผสมกับหงุดหงิด “ข้าคิดว่าเป็นพวกผู้ชายเสียอีก เหตุไฉนเป็นเจ้าเล่า”
เฉียวเวยเลิกคิ้วอย่างมีเลศนัย หยิบส้มสีสดลูกหนึ่งบนถาดผลไม้ขึ้นมา “นายท่านหกทำต่อก็ได้ ข้ามิถือสา”
ทำต่อบ้านเจ้าสิ ข้าตกใจจนหดหมดแล้ว!
ความจริงนายท่านหกก็หน้าตาหล่อเหลาพอสมควร ตอนยังหนุ่มเขาเป็นคุณชายเสเพลผู้มีสตรีพันหมื่นมาหลงใหล เพียงแต่พออายุมากขึ้น รูปร่างก็สูญเสียรูปลักษณ์เดิมไปบ้างเท่านั้น
นายท่านหกผูกสายคาดกางเกงจนเรียบร้อย แล้วมองนางด้วยสีหน้าแดงก่ำ “หนนี้มีเรื่องอะไรอีกเล่า”
เฉียวเวยยกมือขึ้นทำท่าให้เงียบเสียง “ชู่ เบาหน่อย ด้านนอกมีคนรับใช้ของตระกูลจีอยู่”
นายท่านหกกัดฟัน “เจ้ายังจะพาบ่าวรับใช้ของตระกูลจีมาด้วย”
เฉียวเวยแกะเปลือกส้ม กลิ่นเปรี้ยวหวานลอยขึ้นมาแตะจมูก นางใกล้จะน้ำลายสอแล้ว “แม่สามีของข้าจัดการให้ข้าออกมาซื้อของ ข้าคงจะไล่พวกคนที่มาหิ้วของพวกนี้ไปไม่ได้”
นายท่านหกถลึงตาใส่นางอย่างจนปัญญา ตอนแรกเคราะห์หามยามร้ายอันใด เหตุใดเขาจึงไปหาเรื่องดาวข่มตัวน้อยคนนี้
เฉียวเวยกินส้มหนึ่งกลีบ หวานจริง!
กลืนส้มลงไปแล้ว ก็ตะโกนออกไปด้านนอก “ข้าไม่ได้มาซื้อของที่ร้านพวกเจ้าหนแรกเสียหน่อย! แต่ดันส่งให้ข้าผิด! คืน! ข้าไม่เอาแล้ว!”
นายท่านหกมุมปากกระตุก แล้วเอ่ยเสียงดัง “เจ้าบอกไม่เอาก็ไม่เอาได้หรือ มีอย่างที่ไหนซื้อไปแล้วคืนของกลับมา ผู้ใดจะรู้ว่าของที่เจ้าคืนมาเป็นของชุดนั้นที่ข้าส่งไปให้หรือเปล่า”
โครม!
เฉียวเวยเตะม้านั่งตัวหนึ่ง
บ่าวรับใช้ในห้องโถงมองหน้ากัน แล้วหันไปมองผู้ดูแลฉิว ผู้ดูแลฉิวยิ้มอายๆ
เฉียวเวยนั่งลงบนโต๊ะ กระซิบเสียงเบาว่า “หาพบหรือยัง นายท่านหก”
นายท่านหกตอบอย่างไม่สบอารมณ์ “นี่ยังไม่ทันถึงสิบวัน ยังหาได้ไม่ถึงครึ่ง!”
เฉียวเวยกินส้มอีกหนึ่งกลีบ “ข้ารู้ แต่ศิษย์สมาคมกระบี่อยู่ตั้งแต่เหนือจรดใต้ อย่างไรก็คงจะสืบอะไรมาได้บ้างแล้วกระมัง”
นายท่านหกตอบอย่างขุ่นเคือง “ก็ไม่รู้ว่าสาวน้อยเช่นเจ้าพบโชคดีอันใดเข้า ก่อนหน้านี้ข้าเพิ่งบอกข่าวออกไป ตามหลักแล้วยังไม่ถึงสามวันห้าวันคงไม่มีความเคลื่อนไหว แต่บังเอิญว่าศิษย์ของสมาคมกระบี่คนหนึ่งเคยข้องเกี่ยวกับทางฝั่งกูซู มีมิตรไมตรีกับครอบครัวแซ่ซุนครอบครัวนั้นอยู่บ้าง”
ครอบครัวแซ่ซุนก็คือคู่ครองที่หมั้นหมายกันตั้งแต่ในครรภ์ของสวินหลัน หรือก็คือคู่หมั้นคนแรกของสวินหลัน
คู่หมั้นคนนั้นแซ่ซุนนามว่าสวิน เป็นบุตรชายคนรองจากภรรยาเอกของตระกูลซุน ฐานะนับว่าสูงพอสมควร ตั้งแต่เล็กมิชอบตำราอ่านเขียน แต่กลับชอบรำดาบแกว่งหอก น่าเสียดายครอบครัวไม่อนุญาต บังคับให้เขาท่องตำราไปสอบขุนนาง เขาไร้ทางเลือกจึงลอบคบหากับสหายในยุทธภพจำนวนหนึ่งผ่านการประลองฝีมือตอนอยู่นอกบ้าน คนหนึ่งในนั้นต่อมาได้กลายเป็นศิษย์สมาคมกระบี่
ซุนสวินนับว่าเป็นคนมีคุณธรรมพอสมควร เขาไม่เที่ยวเตร่ย่านเริงรมย์ แม้ยามแรกจะไม่ค่อยยินดีกับการสมรสที่ครอบครัวกำหนดให้ แต่หลังจากเห็นหน้าสวินหลันก็ลุ่มหลงรูปโฉมงดงามของสวินหลันหมดใจ อยากแต่งสวินหลันเข้าบ้านจนแทบจะทนรอไม่ไหว
สวินหลันก็เหมือนจะพอใจซุนสวินมาก
“เดี๋ยวก่อน ท่านบอกว่าสวินหลันพอใจเขามาก หมายความว่าพวกเขาสองคนเคยพบหน้ากันมาก่อนหรือ” เฉียวเวยขัดการเล่าของนายท่านหก
นายท่านหกพยักหน้า “ใช่แล้ว ซุนสวินเคยลอบพบคนงามยามค่ำคืน มาเจอหน้าสวินหลันเป็นการส่วนตัว”
ลอบพบคนงามยามค่ำคืนสินะ เฉียวเวยลูบปลายคาง “คนตระกูลสวินกับคนตระกูลซุนทราบหรือไม่”
นายท่านหกตอบว่า “ไม่ทราบ มีแต่สหายในยุทธภพไม่กี่คนนั้นที่ทราบ ซุนสวินตกหลุมรักสวินหลันอย่างจัง ปีนกำแพงเข้าไปในจวนตระกูลสวินแทบทุกวัน จนกระทั่งก่อนงานแต่งหนึ่งเดือนถึงเลิกไป”
มีคำกล่าวกันเช่นนี้ ก่อนวันแต่ง สองฝ่ายพบหน้ากันจะมิเป็นมงคล ตอนนั้นจีหมิงซิวก็อดทนอยู่เดือนกว่าเหมือนกัน ไม่มาเหยียบบนเขาแม้แต่ครึ่งก้าว ซุนสวินทำเช่นนี้ก็เข้าใจได้
เฉียวเวยถามว่า “แล้วโรคฝีดาษของซุนสวินนั่นมันอย่างไรกัน”
“นี่ก็คือเรื่องที่ข้าต้องการจะบอกเจ้า” นายท่านหกมองบานประตู “ก็บอกว่าไม่รับคืน! หากเจ้าโวยวายอีก ข้าจะไปฟ้องทางการแล้ว!”
เฉียวเวยตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “เจ้าไปฟ้องสิ! ข้าก็อยากดูซิว่ากรมไหนกล้าเป็นศัตรูกับตระกูลจี!”
นายท่านหกเพลิงโทสะลุกสามจั้ง “ตระกูลจียอดเยี่ยมนักหรือ แผ่นดินยังมีกฎหมายบ้านเมืองอยู่หรือไม่”
เฉียวเวยเพลิงโทสะลุกท่วมฟ้า “ข้าขอบอกเจ้า ในเมืองหลวง ตระกูลจีก็คือกฎหมายบ้านเมือง!”
“เขวี้ยงถ้วยสิ” นายท่านหกแนะนำ
เฉียวเวยหยิบถ้วยหยกใบหนึ่งขึ้นมา นายท่านหกรีบคว้าไว้ “ไม่เอาใบนี้ ใบนี้แพงเกินไป”
เฉียวเวยหยิบถ้วยหยกสีขาวอีกใบหนึ่งขึ้นมา นายท่านหกก็ฉกถ้วยไปอีก “ใบนี้ก็ไม่ได้”
“อันนี้เล่า” เฉียวเวยหยิบแท่นฝนหมึกชิ้นหนึ่งขึ้นมา
นายท่านหก “เจ้าเตะม้านั่งเถอะ”
เฉียวเวยเตะม้านั่งหนึ่งตัว
แม้แต่ร้านสุราของจีซวง เฉียวเวยก็พังมาแล้ว พังโรงอิฐเล็กๆ อีกแห่งหนึ่งย่อมไม่มีสิงใดน่าแปลกใจ เพียงแต่ว่าเจ้านายป่าเถื่อนเช่นนี้ คนเป็นบ่าวรับใช้ก็อับอายขายหน้าอยู่บ้าง
ใบหน้าของบ่าวรับใช้ทั้งหลายแดงก่ำด้วยความอับาย อยากจะหาซอกหลืบมุดเข้าไปยิ่งนัก
นายท่านหกเล่าต่อ “เดือนสุดท้าย ซุนสวินไม่เพียงไม่ไปพบสวินหลันอีก ผู้อื่นเขาก็ไม่พบเช่นกัน เขาเก็บตัวรออย่างสงบเสงี่ยมอยู่ในจวน ผ่านไปไม่นานก็มีข่าวแพร่ออกมาว่าเขาเป็นฝีดาษ แต่เจ้าเดาสิว่าเกิดอะไรขึ้น สหายในยุทธภพที่เขาคบหาด้วยพวกนั้น ในสี่คนกลับมีสามคนเป็นฝีดาษด้วยเหมือนกัน!”
ฝีดาษเป็นโรคติดต่อร้ายแรงชนิดหนึ่ง ในบางแง่มุมก็คล้ายกับอีสุกอีใส ตัวอย่างเช่นพวกมันทั้งคู่ล้วนติดต่อกันง่ายยิ่งนัก อีกทั้งยังรักษาไม่ง่าย แล้วก็เป็นกันครั้งเดียว หากเป็นแล้วหนหนึ่งก็จะมีภูมิคุ้มกันไปชั่วชีวิต อีกทั้งพวกมันยังล้วนมีเวลาฟักตัวประมาณหนึ่ง ในช่วงเวลาฟักตัวมีโอกาสที่จะแพร่ให้กันได้
หากซุนสวินกับสหายในยุทธภพทั้งหลายล้วนติดโรคฝีดาษ ถ้าเช่นนั้นสวินหลันผู้ใกล้ชิดกับซุนสวินมาตลอดก็น่าจะรอดพ้นได้ยาก แต่สิ่งที่แปลกก็คือสวินหลันกับสาวใช้ข้างตัวนางกลับไม่ติดโรคสักคน เหมือนกับว่า…เตรียมการป้องกันเอาไว้ก่อน
“บางทีพวกนางอาจจะไม่ได้สัมผัสใกล้ชิดกับซุนสวินนักกระมัง” นายท่านหกเอ่ยขึ้นมา
นิ้วมือของเฉียวเวยเคาะผิวโต๊ะเบาๆ “ผู้ชายคนที่สองเล่า เรื่องเขากับแม่นางหอโคมเขียวเป็นมาอย่างไร”
นายท่านหกจิบชาคำหนึ่ง “คุณชายตระกูลหยวนคนนั้นน่ะ ตั้งแต่ก่อนหมั้นหมายกับสวินหลัน เขาก็มอบหัวใจให้นางคณิกาอันดับหนึ่งแห่งหอคณิกาไปแล้ว แต่จนปัญญาที่หญิงงามดูแคลนเขา ไม่ยินยอมต้อนรับเขาเป็นแขกในม่านมุ้งมาโดยตลอด ทว่าอยู่มาวันหนึ่งนางคณิกาคนนั้นก็หวั่นไหวกับความรักอันลึกซึ้งของเขา ยอมรับไมตรีของเขาแล้วมอบตนเองให้”
“หลังจากที่เขาหมั้นกับสวินหลันหรือ” เฉียวเวยถาม
นายท่านหกพยักหน้าพลางวางถ้วยชาลง “ไม่ผิด”
เฉียวเวยเหยียดยิ้ม “เรื่องนี้ก็บังเอิญเกินไปแล้ว คุณชายหยวนผู้นี้ทำเรื่องใหญ่ให้สวรรค์ซาบซึ้งธรณีกันแสงอะไรหรืออย่างไร”
“เพียงทำสิ่งธรรมดาๆ เท่านั้น มอบพวกปิ่นมุกเครื่องประดับศีรษะเป็นของกำนัลเล็กน้อย บางทีอาจเป็นเพราะน้ำหยดลงหินทุกวัน หินจึงกร่อนหรือเปล่า” นายท่านหกย้อนถาม
เฉียวเวยมองเขา
นายท่านหกไม่ล้อนางเล่นแล้ว เล่าต่อว่า “คุณชายหยวนผู้นี้ไม่ได้ทำสิ่งใด แต่ฝั่งนางคณิกาอันดับหนึ่งด้านนั้นเกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อย ก่อนหน้าที่นางจะมอบกายให้เขา เคยพบกับคนผู้หนึ่ง คนผู้นั้นเป็นผู้ใด ตอนนี้ข้ายังสืบไม่พบ แต่สิ่งที่มั่นใจได้ก็คือนางคณิกาคนนั้นไม่ได้หนีตามกันไปกับคุณชายหยวนเพราะหวั่นไหวกับความรักอันลึกซึ้งของคุณชายหยวนเด็ดขาด คนที่สถานะ เบื้องหลังดีกว่าและใช้เงินมือเติบกว่าคุณชายหยวนก็ยังมี หากข้าเป็นนางคณิกาผู้นั้น ข้าคงไม่เสี่ยงล่วงเกินตระกูลจี หนีไปกับคุณชายที่มิได้เรื่องอะไรสักอย่างคนหนึ่งหรอก เส้นทางที่พวกเขาหนีไป แต่เดิมปิดบังอำพรางดียิ่งนัก แล้วเหตุใดยังถูกตระกูลหยวนจับกลับมาได้อีก ระหว่างนี้เกิดสิ่งใดขึ้นก็ชวนให้คนสืบหาอยู่บ้างเหมือนกัน”
เฉียวเวยเอ่ยอย่างขบขัน “เป็นไปได้แปดส่วนว่านางคณิกาคงจะทิ้งร่องรอยไว้น่ะสิ! ดูท่าวาสนามงคลหนที่สองนี้ก็มีคนเล่นลูกไม้เหมือนกัน ผู้ชายคนที่สามเล่า”
“เจ้าคนอายุสั้นนั่นน่ะหรือ!” นายท่านหกหัวเราะ “คนนั้นจู่ๆ ก็ตายจริงๆ”
เฉียวเวยยัดส้มกลีบสุดท้ายเข้าปาก “ก่อนหรือหลังร่วมหอกับสวินหลัน”
“ก่อนร่วมหอ” นายท่านหกตอบเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “เพิ่งดื่มสุรามงคลก็ตายทันที”
“สาเหตุการตายเล่า” เฉียวเวยถาม
นายท่านหกตอบว่า “บนรายงานการตรวจสอบศพบอกว่าหัวใจถูกกระตุ้นอย่างรุนแรง”
เฉียวเวยลูบปลายคางอย่างแปลกใจ “ตกใจตายอย่างนั้นหรือ”
นายท่านหกผายมือ “เรื่องนี้คงมิอาจทราบได้แล้ว ตอนนี้ข้าสืบได้เพียงเท่านี้ หลักฐานก็ยังไม่พรักพร้อมนัก แต่จากประสบการณ์ท่องยุทธภพนานหลายปีของข้า งานมงคลสามหนนี้ล้วนไม่ใช่ความบังเอิญอย่างแน่นอน ไม่ว่านางจะเป็นคนทำ หรือคนอื่นเป็นคนทำ เจ้าล้วนต้องระวังเอาไว้”
เฉียวเวยหรี่ตาลง “นางคนเดียวทำเรื่องมากมายเช่นนี้ไม่ได้ เบื้องหลังจะต้องมีคนอื่นอีก คนผู้นั้นไม่ใช่ศัตรูคู่แค้นของนางก็ต้องเป็นพรรคพวกของนาง”
นายท่านหกพยักหน้า “สตรีอ่อนแอนางหนึ่ง ทำการใดก็คงไม่สำเร็จจริงๆ ข้าจะช่วยเจ้าตามหาคนผู้นั้นออกมา”
“ถอนหัวไชเท้าย่อมมีดินติดมาด้วย ต่อให้ไม่ได้ตั้งใจสืบหาตัวเขา แต่ถ้าขุดคุ้ยเรื่องในอดีตหลายปีของนางออกมาเรื่อยๆ ย่อมต้องมีเบาะแสออกมาบ้าง” เฉียวเวยชะงัก “จริงสินายท่านหก เรื่องที่นางถูกโจรขืนใจนั่น จริงหรือไม่”
นายท่านหกตบกะโหลก “เจ้าไม่พูดถึงเรื่องนี้ ข้าก็เกือบลืมไปแล้ว! เรื่องนั้นเป็นเรื่องจริง นางถูกคนย่ำยี”
เฉียวเวยมุ่นคิ้ว “แปลกนะ นายท่านหก”
“มีสิ่งใดแปลกหรือ” นายท่านหกถาม
เฉียวเวยทำท่าเหมือนกำลังขบคิด “นางหลบเลี่ยงงานแต่งมาได้มากมายปานนั้น เหตุไฉนโจรกลุ่มเดียวกลับจัดการไม่ได้ พ่อตาของข้าก็ไม่เหมือนคนไร้ความสามารถเสียหน่อย”
นายท่านหกจึงตอบว่า “โจรกลุ่มนั้นวรยุทธ์สูงส่ง จับตัวใต้เท้าจีเอาไว้ก่อน จากนั้นจึงบังคับให้นางยอม”
เฉียวเวยเท้าคาง “ข้าก็ยังรู้สึกว่าแปลก”
นายท่านหกถาม “แปลกตรงไหนเล่า”
เฉียวเวยเลิกคิ้ว “บอกไม่ถูก”
นายท่านหกตอบว่า “เจ้าวางใจเถิด ข้าจะสืบต่อ หากก่อนหน้านี้มีที่ใดสืบมาผิดก็จะบอกเจ้าด้วย”
เฉียวเวยยิ้มหวาน “ถ้าเช่นนั้นก็ฝากนายท่านหกแล้ว ไม้ ข้าไม่คืนแล้ว”
นายท่านหกกล่าวอย่างขบขัน “เจ้ารีบไปเถิดฮูหยินของข้า คืนเข้าหอมีค่าพันตำลึงทอง เลิกก่อกวนเรื่องดีงามของข้าได้แล้ว!”
เฉียวเวยยิ้มตาหยี เดินไปทางประตู ตัวเดินพ้นออกไปแล้วทว่าจู่ๆ ก็โผล่หน้ากลับมา “เมื่อครู่นางกำลังทำอะไรให้ท่านหรือ”
หนังตาของนายท่านหกกระตุกแรงๆ “เจ้าสตรีนางหนึ่ง ถามเรื่องนี้จะดีจริงหรือ!”
เฉียวเวยกวาดสายตามองบางตำแหน่งของเขาอย่างมีเลศนัย “ไม่บอกก็ช่าง ถึงอย่างไรข้าก็เห็นแล้ว”
นายท่านหกเกือบจะหน้าคว่ำตกจากเก้าอี้! มีสตรีไร้ยางอายเช่นนี้อยู่ได้อย่างไรกัน!
ในที่สุดเฉียวเวยก็ยอมรับการประนีประนอมจากเถ้าแก่ ยอมรับไม้จำนวนหนึ่งที่มอบให้เปล่าเอาไว้ จากนั้นพาบ่าวรับใช้ตระกูลจีทั้งหลายเดินทางไปยังตลาด ซื้อหาข้าวของที่สวินหลันสั่งมาต่อ
เดินทางไปได้ครึ่งทางก็พบหลินซูเยี่ยนอย่างบังเอิญยิ่งนัก
“พี่เขย!” เฉียวเวยยิ้มแย้มกล่าวทักทาย
หลินซูเยี่ยนกำลังซื้อเค้กเกาลัดให้จีหว่าน เมื่อเห็นเฉียวเวยก็คลี่รอยยิ้มกว้างทันที “เสี่ยวเวย!”
เฉียวเวยมองขนมในมือเขา “ซื้อให้พี่ใหญ่กินสินะ เหตุใดจึงไม่ให้พ่อครัวในจวนทำเล่า”
หลินซูเยี่ยนตอบว่า “ในจวนไม่มีเกาลัดแล้ว”
เฉียวเวยมองรายการข้าวของในมือ บนนั้นเขียนว่าเกาลัดห้าสิบชั่ง “ท่านไม่ได้พูดถึงจวนของพวกเราใช่หรือไม่”
หลินซูเยี่ยนพยักหน้า “ใช่แล้ว! นางอยู่ที่ตระกูลจี! เท่าไร” ประโยคสุดท้ายเอ่ยกับเถ้าแก่
เถ้าแก่ยิ้ม “สามสิบอีแปะ”
หลินซูเยี่ยนส่งก้อนเงินก้อนหนึ่งกับเขา “ไม่ต้องทอน เจ้าเอาขนมเปี๊ยะปูให้ข้าอีกสองชิ้นก็แล้วกัน”
เฉียวเวยกล่าวจากใจจริง “ท่านดีต่อพี่ใหญ่จริงๆ”
หลินซูเยี่ยนแย้มรอยยิ้ม “ขนมเปี๊ยะปูให้หลิวเกอร์ต่างหากเล่า”
เฉียวเวยชะงักวูบหนึ่ง “พี่ใหญ่อยู่ที่เรือนถงหรือ”
เถ้าแก่ห่อขนมเปี๊ยะปูเสร็จแล้ว หลินซูเยี่ยนรับมาแล้วตอบว่า “ใช่แล้ว”
แววตาของเฉียวเวยเย็นเยียบขึ้นเล็กน้อย “ท่านวางใจปล่อยให้พี่ใหญ่อยู่เรือนถงคนเดียวได้เช่นไร”
หลินซูเยี่ยนเห็นสีหน้าที่เย็นชาลงอย่างฉับพลันของนางก็ถามอย่างฉงน “มีอะไรหรือ”
เฉียวเวยอยากพูดแต่ก็หยุด นิ่งไปครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “ท่านไม่กลัวแม่สามีของข้าชักสีหน้าใส่นางหรือ”
หลินซูเยี่ยนหัวเราะ “จะเป็นไปได้อย่างไรเล่า ฮูหยินใหญ่นิสัยดีทีเดียว เมื่อวานหวานหว่านรู้สึกไม่สบายในวัง ข้าไปเรียกเกี้ยวมาให้ แต่ไปนานมาก ได้ฮูหยินใหญ่ให้หวานหว่านนั่งเกี้ยวของนางไปยังตำหนักผิงชุน”
เฉียวเวยสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย “พี่ใหญ่นั่งเกี้ยวของนางมาหรือ นางทราบว่าพี่ใหญ่ไม่สบายหรือ”
หลินซูเยี่ยนตอบว่า “ใช่แล้ว เมื่อวานหวานหว่านคลื่นไส้อยู่ตลอด”
เฉียวเวยครุ่นคิด “ถ้าเช่นนั้นไยมิใช่นางเดาได้แล้วว่าพี่ใหญ่ตั้งครรภ์”
หลินซูเยี่ยนนึก “คงไม่กระมัง…”
คิ้วเรียวของเฉียวเวยมุ่นเข้าหากัน “เหตุใดจะไม่ได้ นางเป็นคนที่เคยคลอดลูกมาแล้ว!”
กล่าวจบ เฉียวเวยก็ตบรายการข้าวของลงบนหน้าอกของหลินซูเยี่ยน ฉวยสายบังเหียนในมือเด็กรับใช้มาแล้วพลิกกายขึ้นม้า
อาชาห้อตะบึงทิ้งไว้แต่ฝุ่น หลินซูเยี่ยนสำลักฝุ่นจนเต็มปาก “อ้าว! เจ้าจะไปไหนเล่า! เจ้าขี่ม้าของข้าไปแล้ว! แล้วข้าจะกลับอย่างไร! เสี่ยวเวย! เสี่ยวเวย!”