หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 210-3 หมิงซิวลงมือ
ตอนที่ 210-3 หมิงซิวลงมือ
วันต่อมา จีหมิงซิวไม่ได้กลับตระกูลจี แต่ค้างที่เรือนสี่ประสาน
โคมในห้องของเฉียวเวยจุดไฟสว่างทั้งคืน เช้าขึ้นมาดวงตาก็บวม
บ่าวรับใช้ทั้งหลายได้กลิ่นเรื่องผิดปกติ ก่อนหน้านี้ตอนนายน้อยยังไม่แต่งงาน เขาก็ไม่ชอบกลับตระกูลจี เหตุผลคืออะไร ทุกคนรู้อยู่แก่ใจดี ทว่าตั้งแต่มีฮูหยินน้อย นายน้อยก็กลับบ้านทุกคืน เว้นแต่หลายวันก่อนที่ออกจากวังหลวงไม่ได้เพราะเรื่องงาน แต่วันนี้เขาออกจากวังหลวงมาแล้ว กลับไปค้างที่เรือนสี่ประสาน นี่บ่งบอกอะไร ทุกคนไม่กล้าคิด
ปี้เอ๋อร์ขอบตาแดงระเรื่อ “หากรู้ก่อน…หากรู้ก่อนบ่าวคงไม่กล่อมให้ฮูหยินบอกความจริงกับนายน้อยแล้ว ไหนเลยจะรู้ว่านายน้อยถามก็ไม่ถามสักคำกลับคิดว่าฮูหยินเล่นไสยศาสตร์มนตร์ดำใส่สวินซื่อ นายน้อยทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ!”
“ไม่เป็นไร” เฉียวเวยวางช้อนลงอย่างนิ่งสงบ “ส่งจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูไปหาจีหว่านฝั่งนั้น ข้าไม่อยากให้พวกเขาเห็นเรื่องพวกนี้”
“เจ้าค่ะ” ปี้เอ๋อร์สูดจมูก เดินไปที่ห้องของฉานเอ๋อร์ เรียกฉานเอ๋อร์ให้เก็บข้าวของของเจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองคน แล้วให้ฉานเอ๋อร์พาเจ้าซาลาเปาน้อยสองคนไปจวนกั๋วกง
จีหมิงซิวค้างที่เรือนสี่ประสานสามวันติดกัน
รอยยิ้มบนใบหน้าของเฉียวเวยมลายหายไปหมดสิ้น
บ่าวรับใช้ทั้งหลายต่างระมัดระวัง กลัวว่าหากไม่ทันระวังไปแตะถูกอารมณ์ของฮูหยินน้อยแล้วจะเคราะห์ร้าย
ภายในจวนย่อมปิดบังเรื่องใดไม่ได้ ข่าวที่จีหมิงซิวเย็นชาใส่เฉียวเวยลอยไปถึงหูจีเหล่าฮูหยินกับจีซั่งชิงอย่างรวดเร็วยิ่งนัก
จีซั่งชิงเรียกจีหมิงซิวมายังเรือนถง “เจ้าเป็นอะไร พักนี้เหตุใดจึงไม่กลับบ้าน ทิ้งภรรยาที่เพิ่งแต่งงานอยู่ในจวนคนเดียว เจ้าคิดว่าเหมาะสมหรือ”
จีหมิงซิวหนังตาไม่กระตุกสักนิดตอบว่า “ท่านมีสิทธิอะไรมาสั่งสอนข้า ตอนที่ท่านทำผิดต่อท่านแม่ของข้า เคยคิดเรื่องเหมาะไม่เหมาะสมหรือไม่”
จีซั่งชิงถูกบุตรชายต่อว่าจนสะอึกหน้าแดงหูแดง เขาถลึงตาใส่บุตรชายอย่างกรุ่นโกรธ “ท่านย่าของเจ้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้า!”
จีหมิงซิวลุกขึ้นยืนอย่างเย็นชาแล้วเดินไปยังเรือนลั่วเหมย
เพิ่งก้าวเข้าเรือน ก็เผชิญหน้ากับสวินหลันที่เดินออกมาจากในห้อง
สวินหลันชะงักเท้า หันไปมองเขานิดๆ เขาก็หันไปมองสวินหลัน ทั้งสองคนไม่มีผู้ใดเอ่ยวาจา แต่ก็ไม่มีผู้ใดเดินออกไป มองอีกฝ่ายอย่างนิ่งเงียบอยู่เช่นนั้น
เฉียวเวยเปิดม่านออกมาเห็นภาพนี้ ขนตากระพือไหว ถอยกลับไปในห้องอย่างเงียบๆ
จีเหล่าฮูหยินจับมือเฉียวเวยแล้วบอกอย่างละอายและปวดใจ “หมิงซิวเด็กคนนี้น่ะ นิสัยประหลาดอยู่บ้าง ไม่มีผู้ใดรู้ว่าในใจเขากำลังคิดอะไรอยู่ มารดาของเขาจากไปเร็ว เขากับบิดาก็ดันเป็นเหมือนศัตรูคู่แค้น ไม่มีใครคอยใส่ใจดูแล พอเขาเคยชินกับการเป็นแบบนั้น มีสิ่งใดจึงไม่พูดกับผู้ใดทั้งสิ้น ข้าคิดว่าสถานการณ์ในราชสำนักฝั่งนั้นอาจจะหนักหน่วง เขาจึงอารมณ์ไม่ดี คิดจะไปสงบใจที่เรือนสี่ประสานเสียหน่อย เจ้าอย่าเก็บไปใส่ใจเลย”
“เจ้าค่ะ” เฉียวเวยก้มหน้าตอบรับ ผู้ใดก็สัมผัสได้ว่านางกำลังเป็นทุกข์
คนผู้นี้คือผู้มีพระคุณช่วยชีวิตทั้งยังมอบหลานคนสำคัญสองคนให้กับตน ตนจะตัดใจให้นางเป็นทุกข์เช่นนี้ได้อย่างไรเล่า
“เหล่าฮูหยิน ข้ากลับไปอาศัยที่บ้านมารดาสักสองสามวันจะได้หรือไม่เจ้าคะ” เฉียวเวยถามเสียงเบา
เด็กน้อยที่น่าสงสาร อยู่บ้านสามีแล้วทุกข์ใจก็คิดจะกลับไปบ้านมารดาเสียแล้วหรือ อย่างไรเสียหลานชายของตนก็เป็นฝ่ายเย็นชากับผู้อื่นก่อน จีเหล่าฮูหยินจึงมิอาจไม่ตอบรับ นางพยักหน้าให้เฉียวเวยกลับไป
หลังจากเฉียวเวยออกไป จีเหล่าฮูหยินก็เรียกจีหมิงซิวเข้ามาต่อว่าในห้องหนึ่งยก “เจ้าเด็กสมควรตาย! เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ คนที่ตอนนั้นจะเป็นจะตายจะแต่งเข้าบ้านให้ได้ เพิ่งผ่านมานานเท่าใดก็ไม่ถนอมเสียแล้ว”
จีหมิงซิวตอบว่า “นี่เป็นเรื่องของข้า ท่านย่าอย่าสนใจเลย”
จีเหล่าฮูหยินขมวดคิ้วขาวโพลนของนาง “เจ้ารังเกียจที่ข้ายุ่งไม่เข้าเรื่องเช่นนั้นสินะ”
“ไม่ใช่ขอรับ” สีหน้าของจีหมิงซิวเย็นชา
จีเหล่าฮูหยินโกรธเขาแต่ทำอันใดเขาไม่ได้ จึงด่าหลายประโยคแล้วให้เขาออกไป
จีหมิงซิวออกจากเรือนลั่วเหมยแล้วก็ยังไม่ได้กลับบ้านชิงเหลียน แต่ตรงไปที่ประตูจวนชั้นใน นี่หมายความว่าจะออกไปนอกจวนอีกแล้ว
ตอนเดินผ่านสวนดอกไม้ จีหมิงซิวก็เห็นสวินหลัน
สวินหลันยืนนิ่งอยู่กลางพุ่มบุผปา นางไม่ได้ทำสิ่งใดทั้งสิ้น ทว่ากลับงามจนมิมีสิ่งใดเทียบเทียมได้
นางหมุนตัวเบาๆ รวบรวมความกล้าแล้วเรียกชื่อของเขา “หมิงซิว”
จีหมิงซิวมองนางแต่มิเอ่ยคำใด เพียงก้าวเท้าหมุนตัวเดินไปยังศาลาริมทะเลสาบ
ศาลาแห่งนี้ตั้งอยู่ใต้ต้นไม้ที่กำลังผลิดอก คนไม่ค่อยมาเยือน บนม้านั่งจึงมีใบไม้ร่วงอยู่เต็มไปหมด
จีหมิงซิวนั่งลงอย่างเฉยชา
สวินหลันตามเข้ามานั่งลงข้างกายเขา แล้วส่งส้มให้หนึ่งผล “เพิ่งเด็ดมา กินหรือไม่”
จีหมิงซิวลังเลครู่หนึ่ง แล้วรับผลส้มมา
สวินหลันลังเล “เจ้ากับเสี่ยวเวย…”
“อืม” จีหมิงซิวพิงราวกั้นด้านหลังอย่างเกียจคร้าน ท่าทางเหมือนมิอยากจะพูดมาก แสงตะวันส่องบนผิวประหนึ่งหยกของเขา ใบหน้าที่กำลังแสดงท่าทีเกียจคร้านเอาแต่ใจกลับเผยความสง่างามออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ
สวินหลันมองเขานิ่งๆ ละสายตาไม่ได้อยู่เล็กน้อย ไม่นานนางก็ยิ้มบางๆ มองผิวทะเลสาบที่ถูกฉาบด้วยริ้วระลอกคลื่นสีคราม “นานแล้วที่ไม่ได้คุยกับเจ้าเช่นนี้”
จีหมิงซิวยังคงเงียบงัน เขาแกะเปลือกส้ม กลิ่นเปรี้ยมอมหวานลอยอวลอยู่ในอากาศ
สวินหลันยิ้ม “ข้าจำได้ว่าตอนเจ้ายังเล็กชอบกินส้มที่สุด แต่เจ้าตัวเล็กเด็ดไม่ถึง ข้าเป็นคนปีนต้นไม้ขึ้นไปเด็ดให้เจ้าตลอด”
มือของจีหมิงซิวที่แกะส้มอยู่หยุดชะงัก
สวินหลันหลุบตาลง ยิ้มอย่างขมขื่น “เจ้ายังจำได้หรือไม่ปีนั้นตอนอายุเก้าขวบ พวกเราสามคนหนีออกไปเที่ยวนอกจวนด้วยกัน ผลปรากฏว่าถูกเหล่าฮูหยินจับได้ ลงโทษให้คัด ‘หลุนอวี่[1]’ คืนนั้น แม้จะไม่สบายนัก แต่ข้าชอบมาก ข้ามักจะคิดว่าหากหยุดเวลาอยู่ในห้วงเวลานั้นตลอดไป…”
จีหมิงซิวกินส้มหนึ่งกลีบ
“เหมือนกับรสชาติที่คิดไว้หรือไม่” นางแย้มยิ้มถาม บนใบหน้ามีสีหน้าที่ไม่เคยเผยให้ผู้ใดเห็นมาก่อน ราวกับเด็กสาวที่เพิ่งเข้าสู่วัยแรกแย้ม
จีหมิงซิวขานอืมเบาๆ
สวินหลันมองน้ำจากผลส้มที่เปื้อนบนมือของเขา แล้วเอื้อมมือออกมาประคองมือของเขาไว้ นางสัมผัสได้ว่าหลังมือของเขาแข็งเล็กน้อย นางใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดอย่างละเมียดละไม ราวกับกำลังเช็ดสมบัติล้ำค่าแห่งโลกหล้า “หมิงซิว…”
“เจ้ายังใส่ไว้อีกหรือ” จีหมิงซิวขัดคำพูดของนาง
สวินหลันมองตามสายตาของเขา แล้วยกมือขึ้นแตะเครื่องประดับรูปดอกไม้ที่ทำจากมุกสีชมพูบนเรือนผม บุปผามุกดอกนี้มีอายุพอประมาณแล้ว ไม่เข้ากับฐานะนายหญิงของตระกูลของนางนัก แต่นางมักจะประดับไว้เสมอ มันถูกเครื่องประดับศีรษะชิ้นอื่นบดบังรัศมีจึงมิสะดุดตา นางถอดมันออกมาแล้วบอกว่า “เป็นของที่เจ้ามอบให้ ข้าย่อมต้องประดับไว้”
“สิบกว่าปีแล้ว” จีหมิงซิวเอ่ยขึ้นมา
“ยี่สิบปีกับอีกหนึ่งเดือนต่างหาก” สวินหลันแย้ง
จีหมิงซิวมองบุปผามุกที่สีซีดแล้วดอกนั้น มือข้างหนึ่งของเขาถูกนางกุมเอาไว้ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งคว้าบุปผามุกไป
สวินหลันกุมมือของเขา น้ำตาร่วงลงมาอย่างไม่มีวี่แววบอกก่อนสักนิด
รอคอยยี่สิบสองปี จนกระทั่งวันนี้จึงได้กอบกุมมือของเขา
“หมิงซิว…”
นางเอ่ยปาก
จีหมิงซิวประดับบุปผามุกกลับไปบนศีรษะของนางแล้วชักมือกลับ ลุกขึ้นเดินออกไปจากตรงนั้นโดยไม่หันหลังกลับมา
สวินหลันมองส้มครึ่งผลบนม้านั่ง แล้วหยิบขึ้นมากินเข้าปากทีละกลีบ ลึกลงไปในดวงตารอยยิ้มค่อยๆ ปรากฏ
…
คราวเคราะห์มักจะมาพร้อมกัน ฝั่งนี้สองสามีภรรยาทะเลาะกันอย่างไม่มีสาเหตุ อีกด้านหนึ่งร่างกายของจีซั่งชิงก็เริ่มไม่ค่อยดีอีกหน เฉียวเวยไม่อยู่ จีเหล่าฮูหยินจึงเชิญหมอหลูมา หมอหลูก็บอกว่าเขาเพียงติดหวัด มีไข้ต่ำๆ อ่อนแรงเท่านั้น
หมอหลูออกเทียบยาให้ แต่กินยาสองหนแล้วก็ยังไม่ดีขึ้น จีเหล่าฮูหยินจึงส่งคนไปเชิญเฉียวเจิง
เฉียวเจิงกลับบอกว่าร่างกายของตนไม่ค่อยดีเท่าใดนัก เกรงว่าจะนำโรคไปติดญาติที่รักได้จึงขอให้เหล่าฮูหยินเชิญผู้มีฝีมือสูงส่งคนอื่น
จีเหล่าฮูหยินเข้าใจว่าเฉียวเจิงโกรธ คิดดูก็ไม่แปลกอันใด ผู้อื่นอยู่มาครึ่งค่อนชีวิต ภรรยาก็จากไปแล้ว เหลือเพียงเลือดเนื้อเชื้อไขสุดที่รักคนหนึ่งเท่านี้ เขาตัดใจส่งเลือดเนื้ออันเป็นที่รักเข้ามาในตระกูลจีประหนึ่งเฉือนเนื้อออกจากตัว แต่ตระกูลจีกลับทำให้นางขุ่นเคืองใจ หากนางเป็นเฉียวเจิง นางก็โกรธ!
“โธ่ ระยะนี้เหตุใดจึงมีเรื่องราวมากมาย ทุกอย่างไม่ราบรื่นเช่นนี้นะ!” จีเหล่าฮูหยินคิดหาหนทางไม่ออก
หรงมามายกชาถ้วยหนึ่งเข้ามา “ท่านไปจุดธูปไหว้พระที่วัดหน่อยดีหรือไม่เจ้าคะ”
จีเหล่าฮูหยินนึกดูก็พบว่าไม่ได้ไปจุดธูปไหว้พระที่วัดมาหลายวันแล้วจริงๆ พักนี้มีเรื่องมากมาย สมควรไปกราบไหว้สักหน่อยจึงจะดี
หลังอาหารเที่ยง จีเหล่าฮูหยินจึงนั่งรถม้าเดินทางไปยังวัดผู่ถัว
จีเหล่าฮูหยินเป็นแขกคนสำคัญที่สุดของวัดผู่ถัว พระทั้งวัดต่างรู้จักนาง พวกเขาทักทายนางอย่างมีมารยาท นางก็ตอบกลับอย่างจริงใจยิ่งนัก หลังจากนั้นนางก็มุ่งไปห้องโถงพระโพธิสัตว์กวนอิม ทำตามอย่างที่ทำประจำ เสี่ยงเซียมซีออกมาหนึ่งแท่ง
นางนำเซียมซีไปมอบให้พระชรารูปหนึ่ง “ต้าซือ ท่านช่วยข้าดูสักหน่อย เซียมซีชิ้นนี้หมายความว่าอย่างไร”
พระชรารับเซียมซีจากมือนางแล้วเพ่งพิจอย่างถี่ถ้วน จากนั้นจึงกล่าวว่า “หนึ่งพบสายน้ำ หนึ่งพบภูเขา ผู้ใดล่วงรู้เดินทางครานี้หนทางยากลำบาก มิว่าเปลี่ยนอย่างไรก็มิอาจเปลี่ยนได้ ความผิดพลาดตามติดพัวพันมิให้ได้สงบสุข ประสก นี่เป็นเซียมซีร้ายนะ”
“เซียม เซียมซีร้ายหรือ” จีเหล่าฮูหยินตกตะลึงไปแล้ว
“ขอถามประสกตั้งใจถามถึงสิ่งใด” พระชราถาม
จีเหล่าฮูหยินหน้าซีด “ข้าตั้งใจถามถึงอาการป่วยของลูกชายข้ากับเรื่องครอบครัวของหลานชายข้า”
พระชราตอบว่า “ล้วนเป็นเรื่องในครอบครัว ครอบครัวของประสกไม่สงบสุข เคราะห์ร้ายย่อมมีสาเหตุ”
“ต้าซือ คำพูดนี้หมายความเช่นไร” จีเหล่าฮูหยินถาม
พระชราหันไปมองจีเหล่าฮูหยิน “อาตมาดูจากใบหน้าของประสกแล้ว ชะตาชีวิตต้องเผชิญคราวเคราะห์ครั้งนี้ ในครอบครัวของประสก มีสตรีชะตาชีวิตลำเค็ญหรือไม่”
ชะตาชีวิตลำเค็ญหรือ จีเหล่าฮูหยินคิดอยู่ครู่หนึ่ง “หลานสะใภ้ของข้า อายุห้าขวบสูญเสียบิดามารดา อายุสิบห้าปีเสียพรหมจรรย์ชื่อเสียงย่อยยับถูกขับไล่ออกจากตระกูล ระเหเร่ร่อนอยู่ข้างนอกมานานหกปี มิทราบว่าต้าซือหมายถึงนางหรือไม่”
พระชราลูบเคราสีขาว “หากใช่นาง ถ้าเช่นนั้นประสกก็ต้องระวังแล้ว คนผู้นี้เกิดใต้ดาวกำพร้าดวงชะตานำพาเคราะห์ร้าย จะทำให้ครอบครัวมิสงบสุข หากประสกต้องการให้ทุกสิ่งราบรื่น ต้องขับไล่ดาวกำพร้าแห่งเคราะห์ร้ายออกไปจากบ้านจึงจะดี”
มือของจีเหล่าฮูหยินขนลุก “หาก หากเข้าใจผิดไปจะทำเช่นไรเล่า”
พระชราดึงลิ้นชักแล้วหยิบไข่มุกสีขาวขนาดเท่าไข่นกระทาออกมา “นี่คือมุกขจัดมารของวัดเรา หากคนที่มีชะตานำพาเคราะห์ร้ายแตะถูกไข่มุก ไข่มุกเม็ดนี้ก็จะมีปฏิกิริยา ประสกมิสู้นำไข่มุกเม็ดนี้กลับไปบ้าน ทดสอบดูให้รู้แน่ชัด”
จีเหล่าฮูหยินนำไข่มุกกลับมาในจวน แล้วเรียกทุกคนมาชื่นชมมุกขจัดมารจากวัดผู่ถัว แน่นอนนางไม่บอกว่าว่ามันเอาไว้ใช้ตรวจสอบผู้ที่เกิดใต้ดาวกำพร้ามีดวงชะตานำพาเคราะห์ร้าย เพียงบอกว่าขับไล่สิ่งชั่วร้ายได้เท่านั้น
นางรับเฉียวเวยกลับมาด้วย
จีซวง หลี่ซื่อต่างถือมุกขจัดมารแล้ว มุกขจัดมารล้วนไม่มีปฏิกิริยา พวกนางไม่ใช่ผู้ที่เกิดใต้ดาวกำพร้าชะตานำพาเคราะห์ร้ายอยู่แล้วย่อมไม่มีปฏิกิริยา จีเหล่าฮูหยินไม่รู้สึกแปลกใจ ทว่าเมื่อผลัดถึงตาเฉียวเวย มุกขจัดมารก็ยังไร้ปฏิกิริยา จีเหล่าฮูหยินฉงนแล้ว ไม่ใช่เสี่ยวเวยอย่างนั้นหรือ
ไม่ใช่ก็ดี ไม่ใช่ก็ดีแล้ว!
“เหล่าฮูหยิน ฮูหยินมาคารวะท่านเจ้าค่ะ” ตงเหมยรายงานมาจากนอกประตู
จีเหล่าฮูหยินพยักหน้า “ให้นางเข้ามาเถิด”
สวินหลันก้าวเข้ามาในห้องอย่างสง่างาม เมื่อเห็นเฉียวเวยที่อยู่ข้างกายเหล่าฮูหยิน แววตาก็สั่นไหวเล็กน้อย
เฉียวเวยคลี่ยิ้ม “ฮูหยินมาแล้วหรือ มาได้พอดี พระชราในวัดมอบมุกขจัดมารให้ท่านย่ามาเม็ดหนึ่ง ท่านย่ากำลังให้พวกเราชื่นชมอยู่พอดี ฮูหยินต้องการดูด้วยหรือไม่”
“ไข่มุกอันใดหรือ ข้าดูหน่อย” สวินหลันยื่นมือออกมา รับไข่มุกที่เฉียวเวยส่งให้
ในตอนนี้เอง สีของไข่มุกก็คล้ำลงอย่างฉับพลัน
“เอ๊ะ” จีซวงตกตะลึง “มันเปลี่ยนสีได้ด้วยหรือ”
[1]หลุนอวี่ คัมภีร์เล่มสำคัญของลัทธิขงจื่อ