หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 223-2 ชาติกำเนิดของเฉียวเวย ความจริงเมื่อในอดีต
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก
- ตอนที่ 223-2 ชาติกำเนิดของเฉียวเวย ความจริงเมื่อในอดีต
ตอนที่ 223-2 ชาติกำเนิดของเฉียวเวย ความจริงเมื่อในอดีต
เฉียวเวยคร้านจะสนใจเจินซื่อ จึงพาปี้เอ๋อร์กลับบ้านชิงเหลียนไป
พูดอย่างไรเจินซื่อก็ไม่ยอมอยู่ที่บ้านตระกูลจีต่อ นางลากบุตรชายขึ้นรถม้าจะกลับกูซูให้ได้ ไม่เพียงแต่เครื่องประดับที่หลี่ซื่อซื้อให้นางเหล่านั้นที่ไม่เอาไปด้วย แต่แม้กระทั่งสวินชิงเหยาก็ถูกนางถีบตกรถลงมา ตอนโดยเฉียวเวยเหยียบ สวินชิงเหยาไม่ได้เป็นอะไรมาก กลับเป็นมารดาแท้ๆ ของตนที่ถีบเสียคนกระดูกซี่โครงหัก
บ่าวไพร่ต่างทำอะไรไม่ถูก พากันไปขอความเห็นจากเหล่าฮูหยิน จากฮูหยินน้อย จากหลี่ซื่อ วุ่นวายกันอยู่จนฟ้ามืดถึงได้ส่งครอบครัวที่โชคร้ายขึ้นรถม้ากลับกูซูกันไปได้
บ้านชิงเหลียนอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมจากดอกเหมย เฉียวเวยนั่งอยู่บนเก้าอี้นอนใต้ชายคา ข้างกายเป็นจีหมิงซิวที่น้อยครั้งนักจะหาเวลาว่างได้เช่นนี้
จีหมิงซิวจับมือภรรยาไว้ มองเจ้าตัวน้อยทั้งสองที่วิ่งเล่นกันอยู่ในลาน นัยน์ตามีแววรักใคร่เอ็นดูที่ซ่อนไว้ไม่มิด
เฉียวเวยเอนหลังพิงพนักอย่างสบายใจเฉิบ “พอไม่มีอะไรให้ขัดลูกหูลูกตาแล้ว อากาศก็ปรอดโปร่งขึ้นจมเลย”
จีหมิงซิวเอ่ยล้อเลียนว่า “อยากฉลองสักหน่อยหรือไม่ หัวหน้าพรรคเฉียว”
“อยาก!” เฉียวเวยรีบตอบ “ท่านพูดเองนะ ห้ามคืนคำด้วย”
จีหมิงซิวเขยิบเข้าไปใกล้ ลมหายใจอุ่นร้อนรินรดลงบนใบหูนาง ติ่งหูนางพลันรู้สึกคล้ายติดไฟ แดงจนแทบจะมีเลือดหยดลงมาได้ “อยู่บ้านจนใกล้จะนั่งไม่ติดแล้วกระมัง”
ใบหูเฉียวเวยร้อนฉ่า ใจอ่อนยวบ นางตอบอื้อทั้งหูแดงๆ นางไม่ได้ออกไปไหนมาหลายวันจนแทบจะลืมไปแล้วว่าความรุ่งเรืองของเมืองหลวงหน้าตาเป็นอย่างไร
จีหมิงซิวดีดหน้าผากภรรยาพลางยิ้มอย่างรักใคร่ “ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเสีย”
“ออกไปจริงๆ หรือ” เฉียวเวยถาม
“ไม่อยากไป?” จีหมิงซิวถามกลับ
เฉียวเวยรีบลุกขึ้น “ไปๆๆ! สองนาที!”
จีหมิงซิวใกล้ชิดกับนางมานานถึงพอเข้าใจว่าคำว่านาทีหมายความว่าอย่างไร เขานั่งนับในใจ แล้วก็เป็นดังคาด ยังไม่ทันนับจบนางก็เปลี่ยนไปอยู่ในเสื้อตัวสั้นสีฟ้าดูสบายตากับกระโปรงยาวสีขาว
เวลานี้ค่อนข้างเย็นแล้ว พวกเขาจึงไม่ได้พาบุตรทั้งสองออกไปด้วย เดินจูงมือกันสองคนออกจากจวนไป
บนถนนใหญ่มีสินค้าสำหรับวันปีใหม่วางเรียงรายอยู่เต็มไปหมด ผู้คนเดินเบียดเสียดเฉียดไหล่กันไปมา คึกคักยิ่งนัก
เฉียวเวยกำลังอารมณ์ดี เห็นอะไรเป็นอยากได้ไปหมด นางเลือกซื้อทั้งป้ายแปะข้างประตู ภาพวาดวันปีใหม่ ตัวอักษรมงคล โคมหลากสี…มาอย่างละหลายอัน เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเดินอยู่ด้านหลัง สองมือหิ้วของพะรุงพะรังไปหมด
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยบ่นกระปอดกระแปดว่า “นี่ เจ้าไม่ซื้อแล้วจะได้หรือไม่ อีกเดี๋ยวหากมีนักฆ่าอะไรมา ข้าจะบอกเจ้าให้นะว่าข้าไม่มีมือสู้กับพวกมันแล้ว!”
ปากพล่อยๆ ของเยี่ยนเฟยเจวี๋ยพูดจบ ก็มี “นักฆ่า” เดินออกมาจากตรอกทันที นักฆ่าผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นบุรุษในอาภรณ์ดำมืดที่ประมือกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยมาแล้วหลายครั้ง
บุรุษในอาภรณ์ดำถูกธนูพิษของจีหมิงซิวทำร้าย เขากินยาแก้พิษลงไปจึงไม่เป็นอะไรมาก เวลานี้กำลังสะกดรอยตามทั้งสามคนอยู่ทางด้านหลัง
เฉียวเวยเดินเลือกของอยู่ด้านหน้า ประสาทสัมผัสที่ว่องไวของจีหมิงซิวรู้สึกได้ว่าด้านหลังเขามีบางอย่างแปลกไป ดวงตาเขาพลันขยับ โอบประคองแผ่นหลังของเฉียวเวยไว้ “ข้าเริ่มหิวแล้ว พวกเราไปหาอะไรกินกันเถอะ”
เฉียวเวยคลี่ยิ้ม “ได้สิ! ท่านอยากกินอะไร”
จีหมิงซิวหันไปเหลือบมองฝั่งตรงข้าม “ภัตตาคารนั้นสันหลังแพะอร่อยใช้ได้ เจ้าเข้าไปรอข้าก่อน เดี๋ยวข้าไปซื้อถังหูลู่แถวนี้เดี๋ยว จะเอากลับไปให้วั่งซูกับจิ่งอวิ๋นสักหน่อย”
“ตกลง!” เฉียวเวยไม่ได้สงสัยเป็นอื่น เดินไปทางภัตตาคารที่อยู่เยื้องไปฝั่งตรงข้ามทันที
จีหมิงซิวพาเยี่ยนเฟยเจวี๋ยเดินเลี้ยวเข้าไปในตรอก ใครจะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ตามเข้ามา แต่กลับเดินเลี้ยวเข้าไปในภัตตาคารแทน
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยอึ้งงัน “นี่อะไรกันน่ะ”
ดวงตาจีหมิงซิวเยือกเย็น “พวกเราเข้าใจผิดมาตลอด คนที่เขาสะกดรอยตามไม่ใช่ข้า แต่เป็นเฉียวเวย”
นอกจากครั้งนั้นที่เขาบังเอิญเจอชายในอาภรณ์สีดำแล้ว ครั้งอื่นๆ ทั้งสามครั้งพวกเขาล้วนอยู่กับเฉียวเวยทั้งสิ้น เขาเคยคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะพุ่งเป้ามาที่คนใดคนหนึ่งในหมู่พวกเขา แต่คนที่คิดว่าเป็นไปได้มากที่สุดคือตัวเขาเอง เพราะถึงอย่างไรเฉียวเวยก็เป็นเพียงคุณหนูตระกูลธรรมดาๆ คนหนึ่ง ไม่มีทางดึงดูดความสนใจพลังอำนาจอย่างชนเผ่าลึกลับได้
บุรุษในอาภรณ์ดำเข้าไปในภัตตาคาร
เฉียวเวยแจ้งความประสงค์ว่าต้องการห้องส่วนตัวบนชั้นสอง หลังจากสั่งหม้อไฟสันหลังแพะเสร็จก็ไปนั่งอยู่ริมหน้าต่าง ชื่นชมทิวทัศน์ริมทางไปเรื่อยๆ
บุรุษในอาภรณ์ดำก้าวขึ้นบันไดทีละขั้น
เสี่ยวเอ้อร์ของที่ร้านส่งยิ้มพลางบอกว่า “ลูกค้าขอรับ เวลานี้ชั้นสองมีแขกจองเต็มแล้ว เชิญท่านลงไปนั่งด้านล่างนะขอรับ!”
บุรุษในอาภรณ์ดำไม่สนใจ เสี่ยวเอ้อร์ของร้านคิดจะดึงเขาไว้ แต่เมื่อสัมผัสได้ถึงไอชั่วร้ายที่แผ่ออกมาจากตัวอีกฝ่าย จึงหดมือกลับไปด้วยความกลัว
บุรุษในอาภรณ์ดำเดินขึ้นชั้นสองแล้วไปที่หน้าประตูห้องของเฉียวเวย
เฉียวเวยยืดเอวบิดขี้เกียจ พริบตานั้นนางเห็นเยี่ยนเฟยเจวี๋ยวยืนอยู่ด้านล่างกำลังโบกมือมาให้นาง
นางจึงโบกมือตอบกลับ “มีอะไรหรือ”
เสียงผู้คนจ๊อกแจ๊กวุ่นวาย ทำให้เสียงนางกลืนหายไป
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยใช้มือซ้ายสับมือขวาด้วยความร้อนใจ
เฉียวเวยไม่เข้าใจ
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเกาศีรษะ ก่อนจะชี้ไปทางด้านขวา
เฉียวเวยหันไปมองทางขวา ก็เห็นลูกแพร์ที่วางอยู่บนโต๊ะ จึงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “เจ้าอยากกินลูกแพร์หรือ ข้าเอาให้!”
เฉียวเวยหันไปจะหยิบลูกแพร์บนโต๊ะ
ทุกอย่างเกิดขึ้นในชั่วพริบตา บุรุษในอาภรณ์ดำมาถึงหน้าประตู ส่วนจีหมิงซิวยืนอยู่ตรงหน้าต่างบนหอนางโลมที่อีกฟากของถนน ในมือถือหน้าไม้พิฆาตเทวา กำลังมองเขาด้วยสายตาดุดัน ปลายนิ้วลั่นไกหน้าไม้
พอได้ยินเสียงฟิ้ว ลูกธนูก็พุ่งทะยานเข้ามาในห้องของเฉียวเวย เฉียดหลังนางทะยานตรงไปทางแผงอกของบุรุษในอาภรณ์ดำ
บุรุษในอาภรณ์ดำเบี่ยงตัวใช้แขนเสื้อปัด ลูกธนูจึงลอยไปถูกโคมไฟที่ห้อยลงมาจากเพดาน โคมไฟขนาดใหญ่หล่นลงมา เทียนไขกลิ้งเกลื่อนพื้น ตรงโถงใหญ่เกิดความโกลาหล
บุรุษในอาภรณ์ดำมองจีหมิงซิวด้วยสายตาดุดัน กัดฟันแล้วสะบัดแขนเสื้อจากไป!
ด้านหลังจีหมิงซิว บุรุษกับสตรีคู่หนึ่งที่เนื้อตัวเปลือยเปล่าขดตัวอยู่ในผ้าห่ม เนื้อตัวสั่นเทา เดิมทีพวกเขากำลังเพลิดเพลินอยู่ในห้วงแห่งราคะ แต่ใครจะรู้ว่าอยู่ๆ จะมีบุรุษคนหนึ่งล่วงล้ำเข้ามา ในมือถือหน้าไม้ที่ในกองทัพเท่านั้นถึงจะมี ทั่วตัวมีไอสังหารอัดแน่น ทำเอาพวกเขาตกใจกลัวจนลืมร้องไปเลยทีเดียว
“ให้ ลูกแพร์ของเจ้า” เฉียวเวยโยนลูกแพร์ลงไปให้เยี่ยนเฟยเจวี๋ย
ใครอยากกินลูกแพร์กัน
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยรับลูกแพร์มากัดคำหนึ่ง อื้อ เนื้อฉ่ำยิ่งนัก!
…
ความโกลาหลในภัตตาคารเกิดขึ้นเพียงชั่วครู่ ไม่นานผู้ดูแลร้านที่เก่งกาจก็ให้คนมาจัดการจนสะอาดเรียบร้อยอย่างรวดเร็ว เยี่ยนเฟยเจวี๋ยอาศัยจังหวะที่คนยังไม่รู้ตัวเก็บธนูดอกนั้นกลับไป แล้วแอบเอาเงินก้อนหนึ่งไปวางไว้ที่โต๊ะสูงด้านหน้าถือเป็นค่าชดเชย
หม้อไฟสันหลังแพะที่นี่เป็นน้ำซุปแดงรสหมาล่า ซึ่งเผ็ดร้อนจนเฉียวเวยเหงื่อออกเต็มหน้าแต่กลับหยุดกินไม่ได้
จีหมิงซิวไม่กินเนื้อแพะ จึงกินเพียงผักเล็กๆ น้อยๆ ไม่นานหม้อไฟสันหลังแพะหม้อใหญ่ก็ลงไปอยู่ในท้องของเฉียวเวยกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยทั้งหมด
เฉียวเวยอิ่มจนเดินไม่ไหว นางเอามือกุมท้องพิงซบอกจีหมิงซิว
จีหมิงซิวโอบเอวนางไว้ กึ่งประคองกึ่งอุ้มนางลงจากชั้นสอง
รถม้ามาถึงบ้านตระกูลจีอย่างรวดเร็ว เฉียวเวยลูบท้องที่กลมดิกของตน เรอด้วยความอิ่ม หน้าผากวางอยู่บนหน้าอกจีหมิงซิว “เดินไม่ไหว”
จีหมิวซิวอุ้มนางลงจากรถม้า
สองแขนนางโอบรอบคอจีหมิงซิวไว้ ศีรษะวางอยู่บนบ่าอีกฝ่าย รอบตัวพวกเขาคล้ายมีกลิ่นอายแห่งความสุขล้อมรอบตัวไว้ สีหน้าแดงระเรื่อ มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว
จีหมิงซิวอุ้มนางกลับไปที่บ้านชิงเหลียน พวกเด็กๆ เข้านอนกันหมดแล้ว ในเรือนเงียบสงัด หญิงรับใช้เฝ้าประตูพอเห็นคุณชายใหญ่อุ้มฮูหยินน้อยกลับมาด้วยตนเอง จึงตกใจจนปากแทบปิดไม่สนิท
เฉียวเวยอยากลงตั้งแต่กลางทางแล้ว ถ้าไม่มีใครอยู่ก็แล้วไปเถอะ แต่นี่อยู่ต่อหน้าคนตั้งมากเพียงนี้ นางยังอยากมีความน่าเกรงขามอย่างหัวหน้าพรรคอยู่นะ!
แต่ก็จนใจที่จีหมิงซิวไม่ยอมคลายมือออก อุ้มนางเข้าไปในห้องแล้ววางลงบนเตียง “เจ้านอนไปก่อนนะ”
“หือ?” เฉียวเวยกะพริบตา “ท่านไม่นอนหรือ”
จีหมิงซิวถอดรองเท้าให้นาง แล้วจับตัวนางซุกเข้าไปในผ้าห่มที่อ่อนนุ่ม “ข้ายังมีธุระอีกนิดหน่อย จะออกไปเดี๋ยวหนึ่ง”
เฉียวเวยพยักหน้า
จีหมิงซิวเหน็บริมผ้าห่มให้คนบนเตียงเสร็จก็ไปดูบุตรทั้งสองที่กำลังนอนฝันหวานอยู่ในห้องด้านข้าง แล้วจึงหมนุตัวออกจากบ้านชิงเหลียนไป
หิมะที่หยุดตกมาสองวันเริ่มกลับมาตกปรอยๆ อีกครั้ง เฉียวเจิงส่งลูกค้าคนสุดท้ายออกจากหอหลิงจือ นวดคอที่เมื่อยล้า ในขณะที่กำลังจะเรียกให้เด็กในร้านปิดประตูนั้น ก็เห็นรถม้าคันหนึ่งมาจอดข้างหน้า
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยนั่งหาวหวอดๆ อยู่บนรถม้า
ม่านรถม้าถูกแหวกเปิด จีหมิงซิวเดินลงมา
เฉียวเจิงอึ้งไปในตอนแรก ก่อนจะมองอีกฝ่ายด้วยสายตาประหลาด “ดึกดื่นป่านนี้แล้ว เหตุใดเจ้าจึงทิ้งลูกสาวข้าแล้วมาที่หอหลิงจือคนเดียวได้ เจ้าใช้ชีวิตกับบุตรสาวของข้าหรือใช้ชีวิตกับข้ากันแน่”
จีหมิงซิวเดินเข้าไปหาพ่อตาเงียบๆ แสงจันทร์ส่องลงมาจากด้านหลังของจีหมิงซิว เงาที่สูงใหญ่ของเขาแผ่กระจายเต็มโถงใหญ่ในทันที บรรยากาศภายในโถงใหญ่จึงชะงักงันไป
“ท่านมีอะไรปิดบังข้าใช่หรือไม่” จีหมิงซิวถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
เฉียวเจิงตอบว่า “อะไรที่บอกว่าข้าปิดบังเจ้า”
น้ำเสียงจีหมิงซิวทุ้มต่ำ “ชาติกำเนิดของเสี่ยวเวย”
เฉียวเจิงสะอึกไป “ชาติ ชาติกำเนิดนาง? เจ้าพูดเรื่องอะไร ข้าฟังไม่เข้าใจ”
จีหมิงซิวจ้องอีกฝ่ายนิ่งๆ “จวนเทพสงครามแห่งหนานฉู่มีองครักษ์ที่เก่งกาจมากคนหนึ่ง องครักษ์ผู้นั้นไม่ใช่คนหนานฉู่และไม่ใช่คนต้าเหลียง เขาสะกดรอยตามเสี่ยวเวยหลายครั้งแล้ว ข้าอยากถามท่านพ่อตาว่า เฉียวเวยที่ไม่เคยออกนอกเมืองหลวง ไม่เคยไปหนานฉู่ นางไปมีเรื่องกับคนที่เก่งกาจเช่นนี้ได้อย่างไร”
สีหน้าเฉียวเจิงพลันเปลี่ยน “เขาไปหาเฉียวเวยหรือ เขาไม่ได้ทำอะไรเฉียวเวยใช่หรือไม่”
จีหมิงซิวหรี่ตา “ท่านรู้จริงๆ เสียด้วย”
เฉียวเจิงรู้ว่าตัวเองพลั้งปากไป จึงรีบกัดริมฝีปาก หันหลังให้อีกฝ่ายคล้ายกำลังไม่พอใจ
จีหมิงซิวมองเด็กในร้านผู้นั้นทีหนึ่ง เด็กในร้านออกไปอย่างรู้งาน เยี่ยนเฟยเจวี๋ยก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามาอย่างเบื่อหน่าย ช่วยปิดประตูจากด้านนอกให้พวกเขา
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เฉียวเจิงจะปิดบังต่อไปก็ไม่มีความหมายอะไรอีก เขานั่งลงบนเก้าอี้ ถอนหายใจเอ่ยว่า “ข้าไม่คิดจริงๆ ว่าวันนี้จะมาถึง ถึงอย่างไรก็ผ่านมาเป็นยี่สิบปีแล้วที่ไม่มีใครมาหาพวกเราเลย ข้ายังคิดว่าชิงหลวนพูดผิดไป คนพวกนั้นบางทีอาจไม่รู้ว่านางมีตัวตนอยู่ตลอดไป”
จีหมิงซิวขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “ท่านแม่ยายรู้ว่าวันนี้จะมาถึงตั้งแต่แรก?”
เฉียวเจิงพยักหน้า
จีหมิงซิวถามว่า “คนพวกนั้นเป็นใครกันแน่”
เฉียวเจิงตอบว่า “เป็นคนจากบ้านเดิมของนาง”
ดวงตาจีหมิงซิวสั่นไหวเล็กน้อย “นางเป็นคนชนเผ่าลึกลับ?”
“ชนเผ่าลึกลับคืออะไร” เฉียวเจิงถาม เขาไม่ใช่คนในยุทธภพ ย่อมไม่เคยได้ยินเรื่องเล่าขานในหมู่จอมยุทธ และไม่เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับชนเผ่าลึกลับมาก่อน
จีหมิงซิวอธิบายให้อีกฝ่ายฟัง “เป็นสถานที่แห่งหนึ่ง ชายในอาภรณ์ดำผู้นั้นคือคนจากชนเผ่าลึกลับ ท่านไม่รู้ประวัติความเป็นมาของภรรยาท่านหรือ”
เฉียวเจิงกระแอมไอ แสร้งทำเป็นสงบนิ่ง “ต้องรู้ด้วยหรือ”
ช่วงที่ผ่านมา จีหมิงซิวสืบหาที่อยู่ของเสิ่นซื่อมาตลอด เขาเดาว่าอีกฝ่ายอาจจะมีประวัติความเป็นมาที่ไม่ธรรมดานัก แต่ไม่เคยคิดว่านางจะมาจากชนเผ่าลึกลับที่คล้ายเป็นมังกรในตำนานที่เห็นแต่หัวไม่เห็นหางเช่นนี้ ช่างน่าตกใจยิ่งนัก
ในความตกใจนั้นมีความรู้สึกตึงมือเล็กน้อย ผ่านมาตั้งหลายปีเพียงนี้ไม่เคยมีคนจากโลกภายนอกเข้าไปในชนเผ่าลึกลับมาก่อน หากยามนั้นเสิ่นซื่อถูกศิษย์จากชนเผ่าลึกลับพาตัวไป เช่นนั้นการคิดจะตามหานางคงไม่ใช่เรื่องง่าย
พอคิดอะไรได้จีหมิงซิวก็ถามว่า “หลายปีนี้ที่ท่านมั่นใจมากว่านางยังมีชีวิตอยู่ เป็นเพราะเหตุใดกัน”
เฉียงเจิงหลุบตาลง ตอบเสียงเบาว่า “นางไม่มีทางตายง่ายเพียงนั้น ครั้งแรกที่ข้าได้พบนาง ตามตัวนางถูกคนฟันมาเจ็ดแปดแผล เลือดไหลจะหมดตัวอยู่แล้ว แต่ด้วยลมหายใจเฮือกนั้นทำให้นางมีชีวิดรอดมาได้ นางเป็นคนที่รอดกลับมาจากตำหนักยิ่นอ๋อง นางจะเอาชีวิตตัวเองไปทิ้งง่ายๆ ได้อย่างไร นางยังตามหาบุตรของตนเองไม่เจอ ยังไม่ทันได้ยินเสี่ยวเวยเรียกนางว่าแม่ นางไม่มีทางยอมตายแน่”
ข้อมูลนี้สำคัญยิ่งนัก เสิ่นซื่อถูกคนตามฆ่า เช่นนั้นชีวิตยามอยู่ในชนเผ่าลึกลับของเสิ่นซื่อจะต้องไม่สงบเรียบร้อยนักเป็นแน่ หลายปีนี้ คนผู้นั้นถูกจัดการไปเรียบร้อยแล้วหรือยัง หากยัง การที่เฉียวเวยกลับไป จะไม่อันตรายมากหรอกหรือ
“นางเคยพูดถึงคู่แค้นของนางหรือไม่” จีหมิงซิวถาม
เฉียวเจิงส่ายหน้า “ไม่เคย นางบอกเพียงว่าต่อไปในภายภาคหน้า พวกเขาอาจมาตามหาเฉียวเวย หากเฉียวเวยแต่งงานเข้าตระกูลจีได้ก็จะดี”
จีหมิงซิวเลิกคิ้วทันที “การแต่งงานเข้าตระกูลจีเป็นสิ่งที่พวกท่านวางแผนไว้จริงๆ หรือ”
เฉียวเจิงเกาศีรษะด้วยความละอายใจ เลี่ยงไปพูดให้เบาลงว่า “อย่าพูดเสียไม่น่าฟังเพียงนั้น ทั้งๆ ที่บุตรสาวข้าไม่อยากแต่งงานกับเจ้าแท้ๆ แต่ไม่รู้ใครที่แย่งเอาหนังสือหมั้นหมายไป แล้วยังใช้วิธีต่างๆ นานามาจูงใจข้าให้พยักหน้าตอบรับ!”
จีหมิงซิวมองอีกฝ่ายด้วยสายตามืดครึ้ม เฉียวเจิงถูกมองจนศีรษะแทบจะระเบิดอยู่แล้ว เขาเอ่ยด้วยความจนใจว่า “เอาล่ะๆ ข้าบอกก็แล้วกัน! เรื่องแต่งงานในตอนนั้น ความจริงแล้วเป็นแม่ของเฉียวเวยนางวางแผนไว้จริงๆ! นางเอากู่ไปใส่ฮองเฮา ฮองเฮาไม่สบาย ทั่วทั้งใต้หล้ามีนางเพียงคนเดียวที่รักษาได้ นางบีบบังคับฮองเฮาว่ารักษาให้ท่านได้ แต่ท่านต้องให้บุตรสาวข้ากับคุณชายตระกูลจีหมั้นหมายกันเสียก่อน”
ช่างใจกล้านัก!
ถึงขั้นบีบบังคับไปถึงฮองเฮาเชียวหรือ!
เฉียวเจิงไม่ได้เล่าว่าเดิมทีแม่ของเฉียวเวยคิดจะบีบบังคับฮ่องเต้ เขากลัวจะไม่สำเร็จจึงเกลี้ยกล่อมจนปากเปียกปากแฉะอยู่เป็นครึ่งค่อนวัน นางถึงได้เปลี่ยนมาบีบบังคับฮองเฮาแทนอย่างไม่สู้จะเต็มใจเท่านัก
จีหมิงซิวสูดหายใจเขาลึกๆ หากไม่ได้ยินกับหู เขาคงไม่เชื่อว่าการแต่งงานครั้งนี้ได้มาเพราะฝีมือของท่านแม่ยาย “ในเมื่อท่านพ่อตามีความสามารถเพียงนี้ เหตุใดถึงไม่ให้ไท่จื่อแต่งงานกับเฉียวเวยเลยเล่า”
เฉียวเจิงตั้งใจใคร่ครวญก่อนตอบว่า “จริงด้วย ข้าก็ไม่เข้าใจเช่นกัน ทั้งๆ ที่แต่งพระชายาไท่จื่อดีกว่าเป็นไหนๆ…”
จีหมิงซิวพลันหน้าบึ้ง แค่พูดให้ฟังดูถ่อมตัวสักหน่อยเท่านั้น ท่านคิดจริงจังเชียวหรือ!
…
พอออกมาจากหอหลิงจือ จีหมิงซิวขึ้นไปนั่งบนรถม้าเพื่อกลับจวน
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถึงแม้จะอยู่ด้านนอก แต่อะไรที่ควรได้ยินก็ไม่มีตกหล่นสักคำ เขาถามด้วยความสงสัย “นายน้อย บุรุษในอาภรณ์ดำเก่งกาจเพียงนั้น เหตุใดถึงไม่ไปจับตัวนางไปจากบ้านตระกูลจีเสียเลยเล่า”
นี่ก็เป็นจุดที่จีหมิงซิวรู้สึกสงสัย ดูจากที่ประมือกับอีกฝ่ายมา เขาคนนั้นมีความสามารถพอที่จะลักพาตัวสตรีนางหนึ่งไปจากบ้านตระกูลจีได้ ถึงแม้เฉียวเวยจะไม่เหมือนสตรีทั่วไป แต่อีกฝ่ายไม่ได้รู้ถึงเรื่องนี้สักหน่อย เหตุใดถึงไม่ลอบเข้าบ้านตระกูลจีไปลองดูสักครั้ง
หรือในบ้านตระกูลจีมีอะไรที่ทำให้เขาต้องหวั่นเกรง
สายตาจีหมิงซิวชะงักค้าง “ส่งจดหมายไปให้อี้เชียนอินกับเฟิ่งชิงเกอรีบกลับมาเมืองหลวงโดยด่วน!”
…
เดือนดับลมพัดโหม เงาคนที่แข็งแรงกำยำเงาหนึ่งปีนข้ามกำแพงเข้ามา ก่อนจะทำทีลับๆ ล่อๆ ลอบเข้าไปในบ้านชิงเหลียนอย่างคล่องแคล่ว
นายผู้ชายไม่อยู่ ดีเยี่ยม
นายผู้หญิงหลับไปแล้ว ดีเยี่ยม
เด็กแสบทั้งสองก็กรนกันแล้ว ยอดเยี่ยมนัก
ใต้เท้าเจ้าสำนักยกมุมปากที่ชั่วร้ายขึ้น หยิบขวดกระเบื้องเล็กๆ ออกมาจากอกเสื้อ พอเปิดฝาออก แมลงกู่ตัวหนึ่งก็บินออกมา แมลงกู่ตัวเล็กบินวนไปรอบห้องทุกห้อง จากนั้นก็กระพือปีกไปบินวนอยู่นอกหน้าต่างห้องวั่งซูกับจิ่งอวิ๋น
ใต้เท้าเจ้าสำนักหรี่ตา “หน้ากากของข้าอยู่ที่นี่?”
ถูกต้อง หลังจากหน้ากากทองของใต้เท้าเจ้าสำนักถูกเฉียวเวยเอากลับมาที่บ้านชิงเหลียน ก็ไปถูกใจวั่งซูเข้า วั่งซูเลยไปขอเอาหน้ากากมากอดยามหลับฝัน
วั่งซูนอนหลับอยู่บนเตียงใหญ่หรูหราสีทองอร่าม ขาข้างหนึ่งก่ายอยู่บนตัวพี่ชาย หายใจเข้าออกสม่ำเสมอ
ใต้เท้าเจ้าสำนักมาที่หน้าประตู เขาแง้มประตูออกเป็นช่องเล็กๆ ในขณะที่กำลังจะก้าวเข้าไปก็เห็นสายตาสองคู่พุ่งตรงมาราวกับสายฟ้า นั่นคือต้าไป๋กับเสี่ยวไป๋
ดวงตาเจ้าเล่ห์ของใต้เท้าเจ้าสำนักหรี่ลง “เพียงพอนเมฆาหรือ…”
ต้าไป๋กับเสี่ยวไป๋มองอีกฝ่ายด้วยความระแวดระวัง แววตาพวกมันดุร้ายยิ่งนัก!
ใต้เท้าเจ้าสำนักหยิบเม็ดยาพิษที่ส่งกลิ่นหอบหวนออกมาโยนลงบนพื้นอย่างต้องการผูกมิตรเต็มที่
เสี่ยวไป๋เอาเม็ดยาพิษใส่ปากทันที!
ว้าว!
อร่อยเหลือเกิน! อร่อยกว่าลูกกวาดที่มันเคยกินเสียอีก!
พี่ชายรูปหล่อผู้นี้เป็นคนดีเหลือเกิน!
ต้าไป๋เห็นเสี่ยวไป๋กินอย่างเอร็ดอร่อย จึงเอาเม็ดยาพิษใส่ปากบ้าง จากนั้นสองตาของต้าไป๋ก็ลอยคว้าง กระอักเลือดออกปากแล้วล้มลงลุกไม่ขึ้นอีกเลย!
เจ้าไป๋ตัวหนึ่งติดสินบนเรียบร้อย เจ้าไป๋อีกตัวหนึ่งถูกวางยาล้มลงไป แผนเป็นไปอย่างราบรื่นยิ่งนัก
ใต้เท้าเจ้าสำนักมองเสี่ยวไป๋ยิ้มๆ เสี่ยวไป๋นั่งอยู่กับที่อย่างว่าง่าย มองอีกฝ่ายอย่างโปร่ยเสน่ห์เต็มที่
ใต้เท้าเจ้าสำนักควักกริชออกมาจากอกเสื้อพลางยิ้มอย่างมาดร้าย “คนตระกูลจีหน้าโง่ พวกเจ้าถึงขั้นกล้าขโมยทองของข้า พวกเจ้าต้องชดใช้ให้กับความโง่เขลานี้ของพวกเจ้า ข้าจะฆ่าพวกเจ้า! แย่งเอาของที่เป็นของข้ากลับคืนมา!”
ในตอนนั้นวั่งซูที่ตื่นเพราะอยากทำธุระกระโดดลงจากเตียงนอน
ทนไม่ไหวแล้ว ทนไม่ไหวแล้ว ฉี่จะแตกแล้ว!
วั่งซูเอามือจับก้น รีบวิ่งไปที่ประตูแล้วเปิดผัวะออกไปทันที!
ใต้เท้าเจ้าสำนักที่ยืนอยู่หลังประตูยังไม่ทันตั้งตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ถูกประตูที่อยู่ดีๆ เปิดผัวะออกมาอัดเข้ากับกำแพง!