หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 229-1 ท่านแม่กับท่านตา
ตอนที่ 229-1 ท่านแม่กับท่านตา
ปราสาทเก่าแก่แห่งนี้มีชื่อว่าปราสาทไซน่า เป็นที่พักส่วนตัวของตระกูลไซน่า รอบด้านล้วนก่อขึ้นจากหินก้อนใหญ่ แข็งแรงมั่นคงประหนึ่งหินผา ภายในมีสมาชิกในตระกูลและทหารของตระกูลไซน่าพักอยู่ บ้านตระกูลไซน่ามีทหารรักษาการอยู่ทั้งหมดสองร้อยนาย สำหรับชนเผ่าลึกลับที่ประชากรไม่มากอยู่แล้วนั้น กองพลขนาดนี้นับว่ายิ่งใหญ่มากแล้ว
ระหว่างทางที่มา ไซน่าอิงไม่ได้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับชนเผ่าให้ทุกคนรู้มากนัก แต่เมื่อเข้ามาอยู่ในปราสาทแล้ว เขาบอกเล่าสถานการณ์ภายในชนเผ่าลึกลับให้ฟังเล็กน้อย
อันที่จริงชนเผ่าลึกลับไม่ได้มีชื่อว่าชนเผ่าลึกลับ แต่มีชื่อว่าชนเผ่าถ่าน่า
ชนเผ่าถ่าน่าเป็นชนเผ่าที่หายไปจากประวัติศาสตร์ฉางเหอแล้ว เมื่อหนึ่งพันปีก่อนสมัยที่ราชวงศ์เทียนฉี่แผ่นดินยังไม่แตกออกเป็นสี่ห้าส่วนนั้น คนจากชนเผ่าถ่าน่าทำหน้าที่เป็นโหราจารย์ให้กับราชวงศ์ ในยุครุ่งเรือง โหราจารย์ทุกรุ่นของราชวงศ์ล้วนมาจากชนเผ่าถ่าน่าทั้งสิ้น ว่ากันว่าโหราจารย์จากชนเผ่าถ่าน่าสามารถอ่านดวงดาว เขย่ากระดองเต่าทำนายอนาคต สืบรู้เรื่องในอดีตได้ รัชทายาทของราชวงศ์เทียนฉี่ ฮ่องเต้ไม่ได้เป็นคนตัดสินใจ แต่โหราจารย์จากชนเผ่าถ่าน่าจะเป็นผู้เสนอชื่อขึ้นไป เมื่อมีอำนาจในการตัดสินชะตาชีวิตของคนในราชวงศ์ ชนเผ่าถ่าน่าจึงเป็นที่หวั่นเกรงของเชื้อพระวงศ์ทุกคนและในเวลาเดียวกันยังทำให้ทุกคนบันเทิงใจจากการเห็นเชื้อพระวงศ์คนอื่นหมดอนาคตอีกด้วย
เพียงแต่ชนเผ่าถ่าน่าเป็นที่รักและเคารพของประชาชน ซ้ำยังทุ่มเทเพื่อแคว้น ฮ่องเต้หลายพระองค์คิดอยากกำจัดพวกเขาแต่หาข้ออ้างไม่ได้ จวบจนกระทั่งวันหนึ่ง โหราจารย์จากชนเผ่าถ่าน่าบอกคำทำนายแก่ฮ่องเต้ว่าอายุขัยของราชวงศ์เทียนฉี่มาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว
ในที่สุดฮ่องเต้ก็ทนต่อไปไม่ไหว ไม่สนใจคำทัดทานของบรรดาขุนนาง ตัดสินใจจัดการกวาดล้างชนเผ่าถ่าน่าให้สิ้นซาก ชั่วเวลาเพียงหนึ่งคืน คนชนเผ่าถ่าน่านับหมื่นถูกไล่สังหาร เลือดของชนเผ่าถ่าน่าไหลอาบแผ่นดินเป็นสีแดงฉาน ท้องฟ้ายังกลายเป็นสีแดงด้วย
ตั้งแต่นั้นมาราชวงศ์ก็ไม่มีโหราจารย์อีกเลยและชนเผ่าถ่าน่าก็หายไปจากโลกหล้านี้
การกระทำอันโหดร้ายของฮ่องเต้สร้างแรงกระเพื่อมในหมู่ประชาชน ท้ายที่สุดราชสำนักไม่อาจกดแรงกระเพื่อมนี้ไว้ได้ ฮ่องเต้ป่วยตายอยู่บนยอดเขา บุตรชายของเขาตายอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายของการสู้รบ ราชวงศ์ไร้ผู้สืบทอด แผ่นดินจึงเป็นอันแตกแยกด้วยประการฉะนี้
ถึงแม้ชนเผ่าถ่าน่าจะมีบทบาทในหน้าประวัติศาสตร์ที่ไม่อาจมีผู้ใดทดแทนได้ แต่ข้อมูลที่จดบันทึกอยู่ในหนังสือประวัติศาสตร์กลับมีเกี่ยวกับพวกเขาไม่มากนัก บอกเพียงว่าพวกเขาเป็นชนเผ่าที่เก่าแก่และลึกลับ และชนเผ่านี้ได้ถูกฆ่าล้างชนเผ่าไปจนหมดสิ้นแล้ว
ใครกันจะคาดคิดว่าบนเกาะนิรนามแห่งหนึ่ง ดอกไม้แห่งชีวิตของชนเผ่าที่เก่าแก่นี้ได้กลับมาผลิบานขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์อีกครั้ง
เฉียวเวยพอคิดว่าตนถึงขั้นได้มายังชนเผ่าที่สุดยอดเช่นนี้ จึงรู้สึกว่าตนยิ่งใหญ่ขึ้นโดยพลัน!
รถม้าหยุดลงตรงหน้าประตูใหญ่บานหนึ่ง ไซน่าอิงกระโดดลงจากรถม้าแล้วเลิกผ้าม่านขึ้น เฉียวเวยก้มตัวเดินลงมา ชั่วขณะที่นางเดินลงมานั้น จู่ๆ ไซน่าอิงก็ทำท่าทางประหลาดด้วยการใช้มือขวาแตะที่หัวไหล่ซ้าย แล้วโค้งตัวให้เฉียวเวย
เฉียวเวยถึงกับอึ้งงัน
ตลอดทางที่มานี้ ไซน่าอิงดีกับนางไม่น้อย นอกจากดูแลเรื่องอาหารการกินที่พักและช่วยนางถือของแล้ว เรื่องอื่นนับว่าอยู่ในมาตรฐานเดียวกันมาตลอด แต่จู่ๆ เขากลับมาคารวะให้นาง นี่เขาคิดจะทำอะไร หรือว่านี่เป็นวิธีการต้อนรับแขกของพวกเขา
ดังนั้นเฉียวเวยจึงกระโดดลงจากรถม้า หลังจากนั้นจีหมิงซิวก็ตามลงมา แต่ไซน่าอิงไม่ได้ทำความเคารพอีก เขายืนตัวตรงนิ่ง จนกระทั่งจีอู๋ซวงที่เป็นคนสุดท้ายลงจากรถม้า ไซน่าอิงถึงได้พาทุกคนเดินเข้าไปด้านใน
บ้านเรือนที่นี่สร้างขึ้นจากหินทั้งหมด การจัดวางต่างๆ ก็ติดไปทางโบราณ เพียงแต่กลิ่นอายแห่งความเก่าแก่และเรียบง่ายที่ปรากฏให้เห็น กลับทำให้คนรู้สึกเกรงขาม
ไซน่าอิงพาทุกคนเข้าไปยังห้องที่ค่อนข้างหรูหราห้องหนึ่ง ที่พื้นปูพรมขนแกะผืนหนา ทั้งสองด้านมีโต๊ะกับเก้าอี้ไม้วางอยู่ บนโต๊ะเป็นผลไม้ประจำฤดูซึ่งมีหลายอย่างที่เฉียวเวยไม่รู้จักชื่อ
“พวกเจ้านั่งกันตามสบาย ข้าจะไปบอกท่านแม่ก่อน”
ไซน่าอิงพูดจบก็หมุนตัวเดินออกจากห้องไป
ไม่นาน สตรีวัยกลางคนในอาภรณ์และเครื่องประดับของชนต่างเผ่าก็เดินเข้ามา หลังจากเดินเข้ามาแล้วนางไม่สนใจมองใครทั้งสิ้น เดินปรี่เข้าไปหาเฉียวเวยแล้วจับแขนนางไว้ทันที แรงของนางเล่นเอาเฉียวเวยรู้สึกเจ็บเล็กน้อย “ใช่จริงด้วย…ใช่จริงด้วย…ใช่จริงด้วย…”
พอพูดว่าใช่จริงด้วยสามครั้งจบ สองตานางพลันลอยคว้าง ไม่รับรู้เรื่องใดอีกเลย
เฉียวเวยคว้าตัวนางไว้ นางจึงไม่ถึงกับล้มพับลงกับพื้น ทุกคนอดหันมองหน้ากันไม่ได้ อี้เชียนอินอายุยังน้อย อดไม่ได้ที่จะนึกสงสัยในใจ จึงหันไปดึงแขนเสื้อจีหมิงซิว
จีหมิงซิวกลับไม่พูดอะไร เพียงมองไซน่าฮูหยินเงียบๆ เท่านั้น
เฉียวเวยกับไซน่าอิงประคองนางเข้าไปยังห้องเล็กด้านใน เฉียวเวยบีบตรงร่องเหนือริมฝีปากนาง แล้วกดจุดชีพจรให้นางอีกหลายจุด นางถึงค่อยๆ ฟื้นคืนสติ แต่ยังพูดไม่ทันถึงสองประโยคก็เป็นลมไปอีกครั้ง
หลังจากเฉียวเวย “ช่วยรักษา” นางเป็นครั้งที่สาม ในที่สุดนางก็สามารถพูดจาปกติได้เสียที นางคว้ามือเฉียวเวยไปจับ น้ำตานองหน้าด้วยความตื่นเต้น “เจ้าคือลูกของชิงเอ๋อร์… เจ้าคือลูกของชิงเอ๋อร์!”
เฉียวเวยอ้าปาก “ชิงเอ๋อร์… ท่านแม่? ท่านแม่ข้านางไม่ได้ชื่อเสิ่นชิงเหยาหรือ”
“เสิ่นชิงเหยาเป็นนามแฝงของนาง ชื่อนางจริงๆ คือเฮ่อหลันชิง” สตรีนางนั้นลูบใบหน้าเฉียวเวย แล้วพูดตะกุกตะกักว่า “เด็กน้อยเอ๋ย เจ้ากลับมาเสียที…เจ้าช่าง…คล้ายแม่เจ้านัก…ไม่ เจ้าเหมือนกับแม่เจ้าตอนสาวๆ ราวกับแกะ…”
บนมือของสตรีนางนั้นมีตุ่มด้านเล็กๆ อยู่ ตอนลูบหน้านางจึงรู้สึกสากเล็กน้อย แต่กลับอบอุ่นยิ่งนัก เฉียวเวยออกจะชอบอยู่เหมือนกัน
ไซน่าฮูหยินพูดต่อว่า “ข้ากับแม่เจ้าโตมาด้วยกันตั้งแต่เล็กๆ เจ้าเรียกข้าว่าป้าหลิงก็ได้”
เฉียวเวยเรียกอีกฝ่ายว่าป้าหลิงอย่างว่าง่าย ไซน่าฮูหยินดีใจแทบแย่ ท่าทางประหนึ่งได้พบบุตรสาวในอุทรของตนอย่างไรอย่างนั้น นางจับมือเฉียวเวยไว้แน่น “ระหว่างทางมานี้อาอิงคงไม่ได้ทำให้เจ้าตกใจกระมัง เขาเป็นทหารหาญที่เก่งกาจที่สุดในตระกูลไซน่าของพวกเรา แต่นิสัยของเขารักสันโดษมาก ไม่มีใครชอบสมาคมกับเขา หากไม่ใช่เพราะกลัวว่าคนอื่นจะปฏิบัติภารกิจไม่สำเร็จ ข้าไม่มีทางส่งเขาไปแน่”
เฉียวเวยคิด มีแม่คนใดกล่าววาจาว่าร้ายบุตรชายตนเช่นนี้บ้างหนอ