หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 237-1 การแสดงอันยอดเยี่ยม ของในถุง
ตอนที่ 237-1 การแสดงอันยอดเยี่ยม ของในถุง
เสียงจากสวนดอกไม้ดังเกินไป จึงได้ยินไปถึงตำหนักใหญ่ในเวลาอันรวดเร็ว ในตอนนั้นสาวใช้รายงานว่าสัตว์เลี้ยงสามตัวนั่นเกิดคลุ้มคลั่งขึ้นมา เลยเกิดการตะลุมบอนสัตว์เลี้ยงของจั๋วหม่าน้อยกันยกใหญ่ พวกเด็กๆ ก็ตกใจกันยิ่งนัก เหอจั๋วกับผู้อาวุโสทั้งหลายจึงหยุดเรื่องตรงหน้าแล้วเร่งรุดไปที่สวนดอกไม้ทันที
บนพื้นโล่งในสวนดอกไม้ ไซน่าฮูหยินกับสาวใช้หลายคนแบ่งกันเป็นสองพวก ข้างไซน่าฮูหยินมีวั่งซูกับจิ่งอวิ๋นยืนอยู่ ส่วนสาวใช้คนอื่นๆ ดึงเด็กทั้งสองไปคอยกันไว้ด้านหลัง ท่าทางราวกับว่ามีคนจิตใจชั่วช้าคิดจะปองร้ายเด็กๆ อย่างไรอย่างนั้น
“เกิดอะไรขึ้น” เหอจั๋วถาม
เด็กทั้งสองพอได้ยินเสียงเหอจั๋วก็คล้ายได้เห็นดาวช่วยชีวิต ร้องไห้จ้าพลางวิ่งเข้าไปหาเหอจั๋วเป็นการใหญ่
“ท่านตาทวด พวกเขาใช้ความรุนแรง!” เด็กหญิงกล่าวฟ้องทั้งน้ำตาร่วงเผาะๆ
ขอบตาเด็กชายก็แดงไปด้วย เด็กผู้หญิงร้องไห้ก็แล้วไปเถอะ แต่นี่เด็กผู้ชายก็ร้องกับเขาด้วย อันที่จริงออกจะขายหน้าอยู่สักหน่อย
เด็กหญิงส่งสายตาไปให้เขา แต่กระนั้นเขาก็ดันไม่เห็นเสียได้ มัวแต่เอาอย่างน้องสาวร้องไห้พลางกล่าวฟ้องว่า “พวกเขาตีต้าไป๋เสี่ยวไป๋แล้วก็จูเอ๋อร์ให้เจ็บๆ! ท่านตาทวด ท่านดูสิ!”
ทุกคนหันไปมองทางที่เด็กน้อยชี้กันเป็นตาเดียว จึงได้เห็นว่าบนหญ้าที่เขียวชอุ่มมีสัตว์เลี้ยงตัวน้อยทั้งสามนอนตัวบิดตัวงอกันอยู่ หางของต้าไป๋กับเสี่ยวไป๋ตัวปลอมถูกฟัดจนกุดไปหมด ขนเพียงพอนร่วงเต็มพื้น หน้าของจูเอ๋อร์ตัวปลอมบวมปูดเป็นซาลาเปา ตรงขาก็ไม่รู้ว่าหักหรือไม่ เดินกระง่อนกระแง่นไปทางท่านพ่อเฉียวตัวปลอม โผเข้าไปซบอกพร้อมตัวที่สั่นระริก
เด็กทั้งสองก็ขวัญกระเจิง หนีไปหลบอยู่ด้านหลังสตรีนางนั้น เดิมทีพวกเขาอยากสั่งสอนเจ้าสัตว์น้อยสามตัวนี้สักหน่อย แต่พวกมันดุร้ายเกินไป พวกเขาจึงขวัญหนีดีฝ่อแทน!
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่” เหอจั๋วถาม
เด็กหญิงเดินเข้าไปกอดแขนเขา ร้องไห้กระซิกๆ “เพียงพอนกับลิงของพวกเขาทำร้ายสัตว์เลี้ยงของพวกเรา! พวกสัตว์สามตัวนั่นดุร้ายมาก!”
สัตว์น้อยทั้งสามที่แสนดุร้ายไม่รู้ตัวสักนิดว่าตนก่อเรื่องขึ้นเสียแล้ว ยังคงยืนเต๊ะท่าว่าข้าแน่อยู่ตรงนั้น สีหน้าดูเย่อหยิ่งอย่างผู้ชนะย่อมเหนือกว่า
เฉียวเวยถลึงตาดุๆ ใส่เจ้าสัตว์น้อยทั้งสาม
เจ้าสัตว์น้อยทั้งสาม: ทำไม?
เฉียวเวย: หมอบลง!
ต้าไป๋กับเสี่ยวไป๋พลันตาลอยคว้าง ล้มลงไปอย่างสง่างาม
จูเอ๋อร์ไม่ได้ล้มลงในทันทีแต่ดึงผ้าเช็ดหน้าที่เพิ่งลักมาได้ใหม่ขึ้นมา มือหนึ่งถือผ้าเช็ดหน้าเช็ดที่มุมปากเบาๆ อีกมือหนึ่งวางอยู่ตรงหน้าอกพร้อมทำท่า เสียใจ เจ็บปวด รวดร้าว โดนรังแก ไม่ยินยอม ต่อว่าต่อขาน ไม่รู้เหตุใดมันถึงได้เปลี่ยนสีหน้าได้รวดเร็วเพียงนี้ รอบตัวถูกโอบล้อมไปด้วยความเศร้าโศกอย่างรุนแรง
“มันบาดเจ็บหนัก!” สาวใช้คนหนึ่งพูดขึ้น
“เหมือนมันจะกระอักเลือดด้วย…” สาวใช้อีกคนหนึ่งบอก
“มันอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว…” สาวใช้คนที่สามพูด
“มันเป็นผู้ถูกกระทำ…”
“มันน่าสงสารเหลือเกิน…”
พวกสาวใช้พูดกันคนละคำสองคำ จนใกล้จะพูดต่อไปไม่ได้เต็มที
เจ้าลิงน้อยช่างน่าสงสารนัก เพิ่งมาถึงปราสาทเฮ่อหลัน ไม่คุ้นที่ทางไม่รู้จักใคร ก็ถูกพวกเลวทรามรังแกถึงขั้นนี้แล้ว
จูเอ๋อร์ค่อยๆ ล้มลงกับพื้นท่ามกลางสายตาทนดูไม่ได้ของทุกคน มันอยากลุกขึ้น แต่ลุกขึ้นไม่ไหวอีก…
มันหลับตาลง…
“ฮือๆ… น่าสงสารเหลือเกิน…” เหล่าสาวใช้ร้องไห้อย่างทนไม่ไหว
พวกบุรุษพากันอึ้งงัน
ไซน่าฮูหยินก็อยากร้องไห้ นางเลื่อนมือจะไปดึงผ้าเช็ดหน้าของตนมาซับน้ำตา แต่หาอยู่นานก็หาไม่เจอ เอ๊ะ? ผ้าเช็ดหน้าข้าเล่า
จูเอ๋อร์ที่หลับตาไปแล้วเอาผ้าเช็ดหน้าไปเก็บไว้ใต้ก้นโดยไม่ทันมีใครเห็น
“นี่…นี่มันเรื่องอะไรกัน” สตรีนางนั้นถามด้วยความงงงวยเหลือแสน
เฉียวเวยยิ้มบางๆ “เรื่องนี้ข้าต้องถามเจ้าถึงจะถูก พวกเราเพิ่งมาถึงที่นี่ ไม่คุ้นชินกับปราสาทเฮ่อหลันแห่งนี้ แค่เพียงออกมาเดินเล่นในสวนก็เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นแล้ว ลูกสาวเจ้าเอาแต่พูดปาวๆ ว่าสัตว์เลี้ยงบ้านข้ารังแกสัตว์เลี้ยงของพวกเจ้า แต่เจ้าลองเบิกตาดูที เวลานี้คนที่บาดเจ็บหนักที่สุดเป็นใคร!”
สตรีนางนั้นขมวดคิ้วเอ่ยว่า “เป็นไปไม่ได้ พวกเสี่ยวไป๋ไม่เคยทำร้ายใครมาก่อน!”
เฉียวเวยทำหน้าบึ้ง “เช่นนั้นที่พวกมันสภาพเป็นเช่นนี้เพราะผีทำงั้นหรือ”
เด็กชายร้องไห้สะอึกสะอื้นไปแล้ว แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะฟ้องต่อไป “ท่านแม่ สัตว์เลี้ยงของพวกเขาทำร้ายข้ากับน้องสาว!”
จิ่งอวิ๋นหน้าไม่แดงใจไม่เต้น “สัตว์เลี้ยงของเจ้าก็แค่ขนร่วงไม่กี่เส้นเท่านั้น ยังกระโดดเหยงๆ ได้อยู่เลย แต่ไป๋ไป๋กับจูเอ๋อร์ของพวกเราขยับตัวกันไม่ไหวแล้ว”
ถึงแม้ดูจากสภาพแล้วเจ้าตัวปลอมทั้งสามจะดูอาการหนักมาก แต่เจ้าตัวจริงทั้งสามดูเหมือนเจ็บหนักยิ่งกว่า คนฝึกวรยุทธ์ล้วนรู้ดีว่า อาการบาดเจ็บที่ไม่มีปากแผลนั้นน่ากลัวที่สุดแล้ว อย่างที่บอกกันไว้ว่าแผลภายนอกรักษาง่าย แผลภายในรักษายาก เจ้าสามตัวนี้ดูจะถูกทำร้ายจนบาดเจ็บภายในอย่างรุนแรงชัดๆ!
ทำร้ายสัตว์เลี้ยงคนอื่นถึงขนาดนี้แล้วยังมีหน้าไปให้ร้ายคนอื่นอีก คิดว่าผู้อาวุโสอย่างพวกเขาตาบอดหรืออย่างไร จะดูไม่ออกกระทั่งบาดเจ็บภายในเชียวหรือ!
ผู้อาวุโสมองไปทางเด็กทั้งสอง พลันรู้สึกไม่ดีขึ้นมาทันที เด็กที่ไม่ซื่อสัตย์เช่นนี้เป็นทายาทของจั๋วหม่าจริงๆ น่ะหรือ
ผู้อาวุโสทั้งหลายมองไปทางจิ่งอวิ๋นกับวั่งซู สัตว์เลี้ยงบาดเจ็บเหมือนกัน เหตุใดเด็กสองคนนั่นถึงได้สงบนิ่งเพียงนี้ เหตุใดเด็กทั้งสองถึงไม่โผเข้าหาผู้ใหญ่ กล่าวฟ้องพลางร้องไห้กระซิกๆ บ้าง
วั่งซูบิดนิ้ว: สัตว์เลี้ยงของตนไปซ้อมคนอื่นเขา กลัวผู้ใหญ่รู้จังเลย ทำอย่างไรดี
เด็กชายร้องไห้ “พวกเจ้านั่นแหละๆๆ…”
จิ่งอวิ๋นเลื่อนสายตาเยือกเย็นไปมอง “หุบปากเลยนะ!”
เด็กชายพลันสะอึกแล้วเงียบไปจริงๆ
เมื่อครู่ จิ่งอวิ๋นแผ่รังสีแห่งความยิ่งใหญ่ออกมาชั่วขณะ ทำให้ผู้อาวุโสใหญ่เหลือบตาไปมองโดยไม่รู้ตัว ผู้อาวุโสใหญ่มองเด็กทั้งสองด้วยสายตาซับซ้อน “เรื่องของจั๋วหม่าน้อย วันหน้าค่อยหารือกันก็แล้วกัน!”
สตรีนางนั้นจึงอึ้งไป “ผู้อาวุโสใหญ่!”
“ถึงแม้นายท่านเฉียวผู้นี้จะรู้จักจั๋วหม่าไม่รอบด้านนัก” ไม่รอบด้านนักบ้าอะไร ไม่รู้จักเลยเสียมากกว่า! ผู้อาวุโสใหญ่พยายามฝืนมุมปากที่อยากจะยกขึ้น เอ่ยด้วยน้ำเสียงปกติว่า “แต่ถึงอย่างไรนี่ก็เกี่ยวข้องถึงเรื่องสำคัญอย่างการสืบทอดตำแหน่งของชนเผ่าถ่าน่าเรา ละเอียดรอบคอบไว้ก่อนย่อมดีกว่า”
ที่ผู้อาวุโสใหญ่ไม่ได้พูดก็คือ ประมุขต้องมีรัศมีแห่งความเป็นประมุข เด็กทั้งสองคนนี้ไร้ซึ่งมาดของเลือดเนื้อแห่งขัตติยะโดยสิ้นเชิง กลับเป็นเจ้าเด็กน้อยผู้นั้นที่ไม่หวาดหวั่นแม้ในสถานการณ์อันตราย ดวงหน้าสงบนิ่ง ทำให้ตนคิดถึงเหอจั๋วเมื่อยามยังเด็กขึ้นมาโดยพลัน
เหอจั๋วหาใช่บุตรคนแรกของเหอจั๋วคนก่อน เหนือเขาขึ้นไปเคยมีพี่ชายอยู่สองคนซึ่งล้วนเป็นเลิศด้วยกันทั้งคู่ แต่สุดท้ายแล้วเหอจั๋วคนก่อนไม่ได้เลือกบุตรชายคนโตหรือคนรอง กลับส่งต่อตำแหน่งเหอจั๋วให้กับบุตรชายคนที่สาม เหอจั๋วคนก่อนตั้งความหวังกับบุตรชายคนที่สามไว้มาก บุตรชายคนที่สามก็ไม่ทำให้เขาผิดหวัง
เหอจั๋วบริหารปกครองชนเผ่าถ่าน่าได้ดีเลิศ ทุกคนรักและเคารพเขาด้วยกันทั้งสิ้น มีเพียงข้อเดียวที่ไม่ถูกใจนัก นั่นคือมีเลือดเนื้อเชื้อไขน้อยเกินไป ทั้งชีวิตมีบุตรสาวอยู่เพียงคนเดียว หนำซ้ำบุตรสาวคนนี้ยังเก่งแต่สร้างเรื่องวุ่นวายเสียด้วย
ทว่า ถึงแม้จั๋วหม่าของพวกเขาจะสร้างความวุ่นวายไม่มีหยุดหย่อน แต่นางกลับเป็นสตรีที่อาจหาญไร้ความเกรงกลัวที่สุดของชนเผ่า ตั้งแต่เล็กจนโตเคยแต่เสียเลือด ไม่เคยหลั่งน้ำตา เข้มแข็งกว่าเด็กผู้ชายเป็นร้อยเท่า เลือดเนื้อเชื้อไขของนางก็ควรเป็นเช่นเดียวกับนาง กระดูกเหล็กไม่กลัวใคร เข้มแข็งกล้าหาญ
สายตาของเหล่าผู้อาวุโสกวาดมองดวงหน้าของจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูรอบหนึ่ง ทุกคนล้วนเห็นพ้องต้องกัน นายท่านเฉียวผู้นั้นเป็นที่น่าผิดหวัง แต่เด็กสองคนนี้กลับเป็นที่น่าเอ็นดูยิ่งนัก
ผู้อาวุโสใหญ่เอ่ยว่า “เหอจั๋ว เรื่องจั๋วหม่าน้อยตัวจริงหรือตัวปลอม ข้ากับผู้อาวุโสคนอื่นๆ ยังต้องหารือกันโดยละเอียด เมื่อหารือจนได้วิธีการที่สมบูรณ์แล้ว จะมารายงานท่านอีกครั้ง”
เหอจั๋วพยักหน้า
สตรีนางนั้นประคองแขนเหอจั๋วไว้ มองอีกฝ่ายตาแป๋ว “ท่านตา”
เหอจั๋วมองเด็กน้อยที่ร้องไห้จนน้ำหูน้ำตาเต็มหน้าแล้วตบไหล่นาง “เด็กๆ ตกใจกันแย่แล้ว รีบกลับไปปลอบเถิด”
สตรีนางนั้นดูอึ้งไป หลุบตาลงแล้วทำความเคารพ “เจ้าค่ะ ท่านตา”
เหอจั๋วหมุนตัวเดินออกไป ไม่มองพวกเฉียวเวยและไม่มองพวกตัวปลอมเหล่านั้นเช่นกัน คงเพราะเขาเองก็หมดสิ้นหนทาง ไม่รู้ว่าควรตัดสินใจอย่างไรกระมัง
สตรีนางนั้นบีบมือแน่น ทั้งๆ ที่นางมาก่อนแท้ๆ ของดูต่างหน้าก็มี ทั้งยังทุ่มเทเอาใจเหอจั๋วเต็มที่ นางยังคิดว่าเหอจั๋วยอมรับนางจนหมดใจแล้วเสียอีก แต่พอมีพวกน่ารังเกียจนี้เข้ามาก็ทำให้เหอจั๋วหวั่นไหวเสียได้!
เฉียวเวยเอ่ยประชดว่า “ไม่ได้ยินที่ท่านตาพูดหรือ ลูกของเจ้าขวัญเสียกันหมดแล้ว รีบพากลับไปโอ๋สิ ระวังหลานสาวที่อุตส่าห์วางตัวไว้จะช่วยกลับมาไม่ได้ แม้แต่คนเป็นแม่ก็จะล้มเหลวไม่เป็นท่าไปด้วย”
สตรีนางนั้นโกรธเกรี้ยว “เจ้า…”
เฉียวเวยมองอีกฝ่ายนด้วยความขบขัน “ข้าทำไม?”
สตรีนางนั้นเอ่ยเสียงเย็น “เจ้าอย่าคิดว่าเล่นลูกไม้อะไรนิดหน่อยก็จะแย่งเหอจั๋วไปจากข้าได้นะ เหอจั๋วเป็นของข้า เขายอมรับข้าแล้ว”
เฉียวเวยยิ้มบางๆ “อย่างนั้นหรือ เช่นนั้นเหตุใดเจ้าต้องวิ่งเต้นเป็นเจ้าเข้าด้วย ทั้งหาคนมาไล่สังหารบุตรของข้า ทั้งแกล้งป่วยขัดขวางไม่ให้ข้ากับเหอจั๋วได้พบหน้ากัน ข้าว่าเจ้าน่ะนะ เอาจริงก็ไม่มั่นใจอยู่เหมือนกันใช่ไหมเล่า คิดดูแล้วก็คงเป็นเช่นนั้น ก็แค่ของปลอมเท่านั้น เมื่อตัวจริงมาแล้ว มากน้อยอย่างไรก็ต้องมีละอายแก่ใจกันบ้าง เวลานี้ข้าขาดเพียงของดูต่างหน้าเท่านั้น แต่เจ้าคิดว่าของดูต่างหน้าสำคัญเพียงนั้นเชียวหรือ กาลเวลาพิสูจน์ใจคน เจ้าเป็นคนเช่นไร ช้าเร็วอย่างไรท่านตาข้าก็ต้องดูออก!
สตรีนางนั้นหน้าแดงก่ำ “เช่นนั้นก็รอดูกันไปแล้วกัน ว่าใครกันแน่ที่จะถูกไล่ตะเพิดออกจากชนเผ่าถ่าน่า!”
ดวงตาเฉียวเวยไม่ขยับสักนิด “รอดูก็รอดูสิ”
สตรีนางนั้นถลึงตาใส่เฉียวเวยเย็นๆ ทีหนึ่ง แล้วจึงจูงมือบุตรทั้งสองจากไป
เจ้าสัตว์น้อยจอมปลอมที่น่าสงสารทั้งสามก็มีสาวใช้มาอุ้มตัวออกไปเช่นกัน
ในสวนอันกว้างไกลเหลือเพียงไซน่าฮูหยินกับคณะของเฉียวเวย ว่าตามจริงแล้ว เมื่อครู่เกิดเรื่องอะไรขึ้น ไซน่าฮูหยินก็ไม่รู้แน่ชัดนัก นางกำลังฟังที่สาวใช้กล่าววาจาเยินยออยู่ พอได้ยินเสียงร้องโหยหวนแล้วเดินไปถึง เจ้าสัตว์น้อยทั้งสามก็สู้กันจนจบแล้ว แต่ตอนนั้นเจ้าสัตว์น้อยทั้งสามยังดีๆ อยู่เลยนี่ เหตุใดจู่ๆ ถึงล้มลงได้ หรือว่า…จะบาดเจ็บภายในจริงๆ
เฉียวเวยใช้เท้าสะกิดก้นเสี่ยวไป๋ “พอแล้วๆ ไปกันหมดแล้ว ลุกขึ้นเถอะ”
เสี่ยวไป๋ทะลึ่งตัวขึ้นทันที!
ไซน่าฮูหยินเลยอึ้งงัน
ไม่นาน จูเอ๋อร์ก็ลุกขึ้นบ้าง ดูกระปรี้ประเปร่า กระโดดโลดเต้นได้ ดูเหมือนบาดเจ็บภายในเมื่อไรกัน
ต้าไป๋…
ต้าไป๋ขี้เซาหลับไปเสียแล้ว
จิ่งอวิ๋นอุ้มต้าไป๋ที่หลับคร่อกฟี้ๆ ขึ้นมาแล้วเดินออกจากปราสาทเฮ่อหลันไปพร้อมกับท่านแม่และน้องสาว
…
คณะของพวกเขากลับไปถึงปราสาทไซน่า เยี่ยนเฟยเจวี๋ยที่รออย่างกระวนกระวายมาทั้งวันรีบเดินเข้ามาหา แล้วลากตัวเฉียวเวยกับเฉียวเจิงเข้าห้องไป “มาเร็วๆๆ ผลเป็นอย่างไรบ้าง ได้เจอท่านตาเจ้าหรือไม่ ได้แสดงตัวกับท่านตาเจ้าแล้วหรือไม่”
เฉียวเวยถอนหายใจ “เจอน่ะเจอแล้ว ส่วนเรื่องแสดงตัว… ถามพ่อข้าแล้วกัน!”
เฉียวเจิงหันหนีไปอย่างเศร้าใจ
เฉียวเวยเดินเข้าไปหาจีหมิงซิวแล้วทรุดลงนั่ง
จีหมิงซิวรินชาร้อนให้นางถ้วยหนึ่ง
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเดินเข้าไปหาเฉียวเจิง เฉียวเจิงหันหน้าหนี เขาก็อ้อมไปหา เฉียวเจิงหันหนีอีก เขาก็ตามไปอีก ตอนที่เฉียวเจิงกำลังจะหันหลบเป็นครั้งที่สามนั้น เขาก็ถูกจับตัวไว้ “นายท่านเฉียว ท่านเป็นอะไรน่ะ”
เฉียวเจิงกระแอมไอ “เจ้าบังแสงข้า”
“ไม่ราบรื่น?” จีหมิงซิวถาม
เฉียวเวยถอนหายใจเบาๆ “ตอนนี้ข้าสงสัยขึ้นมาจริงๆ แล้วว่าข้าจำท่านแม่ผิดคนหรือไม่ ท่านแม่ที่ท่านพ่อรู้จักกับท่านแม่ที่คนอื่นรู้จักดูเป็นคนละคนโดยสิ้นเชิง!”
เฉียวเจิงส่งเสียงหึ “นั่นเพราะพวกเขากำลังโกหกหรอก! ตอนนั้นท่านแม่เจ้าเล่าให้ข้าฟังเช่นนี้จริงๆ นางกตัญญูต่อท่านตาเจ้า ศึกษาเล่าเรียนดี ความรู้ความอ่านดี จิตใจมีเมตตา ชอบช่วยเหลือผู้อื่น ฝีมือการแพทย์เป็นเลิศ… เอ๊ะ? ฝีมือการแพทย์ของนางพวกเจ้าก็เคยได้ยินนี่!”
เฉียวเวยตาเบิกกว้าง “หากให้ยาเทวดาจากเหล่าทวยเทพกับข้าสักโหลหนึ่ง ข้าก็เป็นฮว่าถัวกลับชาติมาเกิดได้เหมือนกัน!”
“นางไม่ได้มียาเทวดาของของเหล่าทวยเทพเสียหน่อย” เฉียวเจิงไอเบาๆ ทีหนึ่ง “นางก็แค่มี… มีผลสองภพอยู่หลายลูก”
ผลสองภพรักษาโรคได้นับร้อย แค่ครึ่งลูกก็สามารถชุบชีวิตคนจากความตายได้แล้ว หลายลูกที่ว่าคือมากแค่ไหนกัน!
เฉียวเวยยังไม่รู้จะพูดอะไร
เฉียวเวยอดคิดถึงสมุดบันทึกสีทองที่ท่านแม่นางทิ้งไว้ให้ไม่ได้ ในสมุดมีการจดบันทึกโรคที่รักษายากกับสมุนไพรที่ใช้ในการรักษาไว้ไม่น้อย สมุนไพรเหล่านั้นล้วนหาพบไม่ได้ในจงหยวน ดังนั้นคนทั่วไปหากได้สมุดเล่มนั้นไปก็เหมือนไม่ได้อะไร แต่ท่านแม่นางไม่เหมือนกัน ในสมุดบันทึกมีสมุนไพรที่นางมี นางอยากรักษาโรคอะไร ไม่เท่ากับง่ายเพียงปลอกกล้วยหรือ
ท่านแม่นางช่างเป็นเจ้าแห่งความขี้โกงโดยแท้จริง…
ที่คนอื่นเห็นตรงกันว่าฝีมือการแพทย์ของท่านแม่นางสูงส่งกว่าท่านพ่อ นั่นเพราะได้สมุนไพรในมือเป็นตัวช่วยโดยแท้
เฉียวเจิงเอ่ยอย่างดื้อดึงว่า “ท่านแม่เจ้าเก่งมากจริงๆ เจ้าอย่าได้ฟังที่คนเหล่านั้นพูดซี้ซั้ว!”
จึ๊ๆๆ หลงหนัก! หลงหนัก!
เฉียวเวยส่ายหน้า หันไปมองจีหมิงซิวแล้วระบายยิ้ม “ข้าเก่งหรือไม่ ท่านสามี”
จีหมิงซิวเอ่ยจากใจจริงว่า “แน่นอน ในใจข้าเจ้าเก่งที่สุดแล้ว”
เฉียวเวยพลันอบอุ่นในหัวใจ แล้วจู่ๆ ก็ได้ยินอีกฝ่ายพูดขึ้นเบาๆ ว่า “คืนนี้จะร่วมหอได้หรือยัง ภรรยา”
เฉียวเวย “…”
…
ตกดึก ใต้เท้าอัครเสนาบดีได้ “อิ่มเอม” กับอาหารอันโอชะ เขาอุ้มฮูหยินอัครเสนาบดีที่ขายังคงสั่นอยู่น้อยๆ กลับเข้าห้อง ซาลาเปาน้อยทั้งสองหลับฝันกันไปแล้ว กำลังกรนเบาๆ อย่างหลับสนิท สัตว์เลี้ยงตัวน้อยทั้งสามแยกกันนอนอยู่ในตะกร้าที่แขวนเรียงกัน กำลังส่งเสียงลมหายใจอย่างสม่ำเสมอออกมาเช่นกัน
สามีภรรยาซุกตัวเข้าไปในผ้าห่มอันแสนอบอุ่น ตัวของเฉียวเวยยังหลงเหลือรสสัมผัสจากการถูกรักอยู่ ขายังคงอ่อนเปลี้ย ลมหายใจหอบถี่เล็กน้อย สองแก้มแดงระเรื่อ ดวงตามีหยดน้ำเป็นประกาย มีไอน้ำปกคลุมอยู่ชั้นบางๆ
จีหมิงซิวเห็นรูปลักษณ์ที่แสนเย้ายวนนั้นแล้ว ก็เริ่มขยับยุกยิกขึ้นมาอีกครั้ง
“เจ้ายังไหวหรือไม่” เฉียวเวยยันร่างของเขาที่กำลังจะกดทับลงมาเอาไว้ “ยังพูดธุระไม่จบเลยนะ”
จีหมิงซิวกดทับลงบนตัวนางเบาๆ ดวงตาที่คมกล้าสะท้อนใบหน้าที่เย้ายวนของนางอยู่ เขาจุมพิตเบาๆ ลงบนกลีบปากนางอย่างแสนซน “กิจของสามีภรรยา ก็คือธุระ”
เรื่องลามกจกเปรตเช่นนี้ เหตุใดเขาถึงพูดให้เป็นเรื่องธรรมดาไปเสียได้
เฉียวเวยปรายตามองเขาทีหนึ่ง เขาเริ่มยั่วนางอีกแล้ว เฉียวเวยปิดตาที่คล้ายดูดวิญญาณคนได้ของเขาเอาไว้ “มีธุระจริงๆ!”
“เรื่องให้ท่านตายอมรับหรือ” จีหมิงซิวถาม
“ไม่ใช่” เรื่องนี้คุยไปแล้วเมื่อครู่นี้
ขนตางอนยาวของจีหมิงซิวกะพริบปริบๆ อยู่ในฝ่ามือนางจนจั๊กจี๋มือไปหมด เมื่อรับรู้ได้ถึงท่าทีที่เปลี่ยนไปของอีกฝ่าย จีหมิงซิวจึงเอ่ยกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “ได้ เจ้าพูดมาสิ”