หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 237-2 การแสดงอันยอดเยี่ยม ของในถุง
ตอนที่ 237-2 การแสดงอันยอดเยี่ยม ของในถุง
เฉียวเวยค่อยๆ ดึงมือออก เมื่อมั่นใจว่าอีกฝ่ายจะไม่ซุกซนแล้วถึงได้พูดขึ้นนิ่งๆ ว่า “มีสองเรื่อง หนึ่ง ข้าได้พบกับธิดาเทพแล้ว สอง ข้ารู้แล้วว่าเหตุใดเจ้าคนที่ใส่หน้ากากนั้นต้องจับตัวลูกของพวกเรามาที่ชนเผ่าลึกลับนี่”
สายตาจีหมิงซิวพลันหยุดนิ่ง “พูดเรื่องที่สองก่อน”
เฉียวเวยหรี่ตาลงอย่างระแวดระวัง “ที่เจ้านั่นเอาตัวจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูมาที่ชนเผ่าลึกลับ เพราะมีประสงค์ร้ายจริงๆ!”
จีหมิงซิวเลิกคิ้วเล็กน้อย “รู้ได้อย่างไร”
เฉียวเวยทำหน้าจริงจัง “เขาคิดจะเอาจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูไปขาย! หากไม่ใช่เพราะวันนี้คิดจะกลับมาแว้งกัดข้า ข้าคงไม่รู้ว่าพวกมันทำเรื่องชั่วช้าเอาไว้ลับหลังมากมายเพียงนี้! เมื่อหลายวันก่อน มีคนปล่อยข่าวออกไปในตลาดมืดว่าต้องการซื้อเด็กแฝดคู่หนึ่งในราคาสูง ดีที่สุดต้องเป็นเด็กหญิงกับเด็กชาย แล้วยังต้องการซื้อเพียงพอนด้วย แล้วก็มีคนเอาเด็กแฝดกับเพียงพอนคู่หนึ่งไปขายที่ตลาดมืดจริงๆ”
จีหมิงซิวชะงักไป “ก็คือพวกจิ่งอวิ๋นน่ะหรือ”
เฉียวเวยพยักหน้า “ถูกต้อง สถานที่ตกลงซื้อขายก็คือโรงสุราเล็กๆ แห่งหนึ่งที่จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูเคยไป หลังจากขายไปแล้ว เถ้าแก่เนี้ยโรงสุราติดต่อคนที่ต้องการซื้อทันที คนซื้อนำทหารจะไปเอาตัวพวกเขา ทหารพวกนั้นก็คือฮาจั่วกับลูกน้องของเขาที่แต่งกายปลอมตัวไป เป้าหมายของพวกเขาคืออะไร เชื่อว่าไม่ต้องบอกท่านก็คงรู้”
จีหมิงซิวนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง พยักหน้าอย่างมีความคิดบางอย่าง ก่อนพูดต่อว่า “แล้วเหตุใดเขาถึงมาเอาตัวเด็กๆ หนีไปอีกเล่า”
เฉียวเวยบอกว่า “อาจเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะฆ่าปิดปากเขา ถึงได้พาเด็กๆ หนีไปอีกกระมัง” ถึงอย่างไรก็ไม่มีทางทำไปเพราะประสงค์ดีแน่
จีหมิงซิว “ข้ากลับรู้สึกว่าเรื่องราวไม่น่าเรียบง่ายเพียงนั้น”
พอคิดอะไรได้ เฉียวเวยก็พูดขึ้นว่า “ใช่สิ หลังจากเกิดเรื่องที่โรงสุราได้ไม่เท่าไร ข้าก็ได้รับจดหมายฉบับหนึ่ง”
“จดหมายอะไร” จีหมิงซิวถาม
เฉียวเวยผลักเขา เขาพลิกตัวลงจากตัวเฉียวเวย เฉียวเวยเอาเสื้อนอกมาคลุม ลงจากเตียงไปหยิบจดหมายมา “ท่านอ่านสิ”
จีหมิงซิวกางภาพวาดนั้นออกดู
เฉียวเวยบอกว่า “ข้าได้รับมาหลังจากเกิดเรื่องที่โรงสุรา ข้าดูอยู่นานแต่ก็ไม่เข้าใจ”
จีหมิงซิวเพ่งมองลายเส้นบิดๆ เบี้ยวๆ นั้นแล้วพึมพำว่า “ลูกของเจ้าอยู่ในมือข้า เอาเงินค่าไถ่หนึ่งหมื่นเหรียญทองมาแลกตัวไป ไม่อย่างนั้นเจ้าจะได้เห็นดี”
“นี่เป็นภาพเรียกข้าไถ่งั้นหรือ” เฉียวเวยรับภาพวาดนั้นมา “ท่านมองออกได้อย่างไร ข้ากับไซน่าฮูหยินไม่มีใครดูเข้าใจสักคน คิดว่ามีเด็กที่ไหนส่งมาแกล้งเสียอีก!”
จีหมิงซิวก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดตนถึงดูออก เขาแทบจะไม่ต้องใคร่ครวญเลยด้วยซ้ำ แค่เพียงกวาดตามองก็เข้าใจความหมายของอีกฝ่ายแล้ว ความรู้สึกนี้ออกจะประหลาดอยู่สักหน่อย
เฉียวเวยพลิกมองไปมา “ใครส่งมา”
จีหมิงซิวตอบเรียบๆ “บุรุษผู้นั้น”
เฉียวเวยเลิกคิ้ว “ท่านรู้ได้อย่างไร”
“สัญชาตญาณ” แน่นอนว่าหากวิเคราะห์จากรูปการณ์ต่างๆ ก็มีแค่เขาเท่านั้น แต่จีหมิงซิวไม่ต้องวิเคราะห์เลยด้วยซ้ำ อาศัยแค่สัญชาตญาณก็รู้แล้วว่าฝีพู่กันเช่นนี้ออกมาจากมือใคร
เฉียวเวยลูบคาง “เช่นนี้แล้วก็เท่ากับว่า หลังจากคนผู้นั้นเอาเด็กๆ ไปขาย ก็บังเอิญได้รู้ถึงฐานะที่แท้จริงของพวกเขา และได้รู้ถึงร่องรอยการเดินทางของพวกเรา ถึงได้พาตัวเด็กๆ ออกมาจากโรงสุรา เผื่อจะขายได้ราคาสูงขึ้น? เจ้าคนชั่ว อย่าได้ตกมาอยู่ในมือข้าเชียว!”
จีหมิงซิวมองภาพบนกระดาษ นัยน์ตามีแววซับซ้อนวาบผ่าน ลูกกับภรรยาเป็นจุดอ่อนที่ไม่อาจแตะต้องที่สุดของเขา คนผู้นั้นถึงขั้นพาตัวลูกๆ ของเขาจากต้าเหลียงมาขายที่ชนเผ่าลึกลับ ความผิดนี้เพียงพอที่จะฆ่าเขาเป็นร้อยรอบได้แล้ว แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด ลึกลงไปในใจเขากลับไม่มีไอสังหารที่รุนแรงถึงเพียงนั้น
เฉียวเวยพับภาพนั้น เลิกผ้าห่มขึ้นแล้วเดินไปที่เตาผิง
“จะทำอะไรหรือ” จีหมิงซิวถาม
“เผาทิ้งน่ะสิ” ในเมื่อเข้าใจความหมายที่ต้องการจะสื่อแล้ว เก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์ ถึงอย่างไรคงไม่ต้องเอาไปเป็นหลักฐานต่อหน้าศาลกระมัง จะเล่นงานคนผู้นั้นจำเป็นต้องวุ่นวายเพียงนี้เลยหรือ เวลานี้เขากำลังถูกประกาศจับอยู่ทีเดียว ไม่ต้องให้พวกเราลงมือ เดี๋ยวพวกตัวปลอมก็จัดการเขาเอง!”
“เอามาให้ข้า” จีหมิงซิวยื่นมือออกไป
เฉียวเวยนิ่งอึ้ง “ท่านยังคิดจะเก็บไว้?”
จีหมิงซิวตอบอื้อคำหนึ่ง
เฉียวเวยเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ ส่งรูปให้เขาโดยไม่ได้พูดอะไร
หลังจากนั้นเฉียวเวยก็บอกเล่าเรื่องธิดาเทพให้จีหมิงซิวฟัง นี่เป็นเพียงการบอกเล่าตามประสาสตรีเท่านั้น ธิดาเทพเป็นที่น่าจับตายิ่งนัก เข้าปราสาทไม่มีลงจากเกี้ยว ท่าทีดูลึกลับ มักหลบซ่อนตัวอยู่ในเกี้ยว ไม่รู้ว่างดงามดั่งเทพธิดาหรืออัปลักษณ์ไม่กล้าพบเจอผู้ใด
เพียงแต่ไม่ว่าอย่างไร วันนี้ก็เพราะได้อานิสงค์จากธิดาเทพ นางถึงได้เข้าไปยังปราสาทเฮ่อหลัน
ช่วงหลายวันนี้จีหมิงซิวไม่ได้อยู่ว่างๆ อย่าดูแต่ว่าเขาไม่ก้าวขาออกไปไหน แต่ความจมูกไวจากการเป็นขุนนางมาหลายปี ทำให้เขาดมกลิ่นสถานการณ์ภายในชนเผ่าถ่าน่าได้ชัดเจนแจ่มแจ้ง “ชนเผ่าถ่าน่ามีขุมอำนาจใหญ่อยู่สามขั้ว คือตระกูลไซน่า ตระกูลปี้หลัวและสำนักผู้อาวุโส ฮาจั่วเป็นคนของปราสาทปี้หลัว จั๋วหม่าน้อยตัวปลอมนั่นก็เป็นคนที่ตระกูลปี้หลัวหามา เวลานี้พวกเขากับตระกูลไซน่าเป็นอริกันแล้ว ก่อนหน้านี้ ขุมอำนาจทั้งสามคานอำนาจกันและกัน เป็นความสัมพันธ์สามฝ่ายที่มั่นคง ตำหนักธิดาเทพอยู่เหนือขั้วอำนาจทั้งปวง แต่กระนั้นก็ไม่เข้าร่วมในการบริหาร และไม่เคยซักถามเรื่องของตระกูลเหอจั๋ว ดังนั้นต่อให้ฐานะของธิดาเทพจะอยู่ใต้คนเพียงหนึ่ง เหนือคนนับหมื่น แต่ก็ไม่มีตระกูลใดหันเหไปเป็นปฏิปักษ์กับนาง”
เฉียวเวยพยักหน้า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ แต่นางไม่ได้ทำอะไรเลย เหตุใดถึงมีฐานะที่สูงส่งเพียงนี้”
จีหมิงซิวบอกว่า “นั่นเพราะเกี่ยวกับความเชื่อของชนเผ่าถ่าน่า พวกเขาเคารพบูชาองค์เทพ โหราจารย์กับธิดาเทพในสายตาพวกเขาล้วนเป็นผู้แทนทวยเทพทั้งสิ้น เพียงแต่ตอนนั้นชนเผ่าถ่าน่าถูกกวาดล้างอย่างหนักหน่วง ผู้สืบทอดตำแหน่งโหรหลวงสูญสิ้นไป เหลือเพียงตำหนักธิดาเทพเท่านั้น”
เฉียวเวยกระจ่างแจ้งแก่ใจ “เข้าใจแล้ว พระสังฆราชนี่เอง”
“พระสังฆราช?” เป็นคำที่จีหมิงซิวไม่เคยได้ยินอีกแล้ว
เฉียวเวยเอ่ยยิ้มๆ “ก็คือผู้นำทางความเชื่อน่ะ! ก็เหมือนกับอะไรนะ… โหราจารย์ผู้ยิ่งใหญ่!”
จีหมิงซิวนิ่งคิด “จะพูดอย่างนั้นก็ได้”
เฉียวเวยขมวดคิ้ว “ฐานะธิดาเทพของชนเผ่าลึกลับสูงส่งเพียงนี้ แต่เหอจั๋วเป็นประมุขที่องค์เทพเป็นผู้เลือกสรร ฐานะของเหอจั๋วน่าจะสูงกว่าอยู่สักหน่อยกระมัง”
เฉียวเวยยังคงขมวดคิ้วมุ่น “ถึงแม้จะกล่าวเช่นนั้น แต่หากเกิดธิดาเทพมีใจคิดคดขึ้นมา ก็ยังน่ากลัวมากอยู่ดี! เหอจั๋วไม่เคยคิดจะควบคุมความน่าเกรงขามในหมู่ชาวประชาของตำหนักธิดาเทพสักหน่อยหรือ”
จีหมิงซิวแยกคิ้วที่ขมวดมุ่นของภรรยาออก “เรื่องนี้ไม่ต้องเป็นห่วง ธิดาเทพไม่มีทางหักหลังเหอจั๋ว”
เฉียวเวยพึมพำ “ท่านรู้ได้อย่างไร” อีตานี่ไม่ก้าวข้ามประตูใหญ่ไม่ออกนอกประตูรอง เขารู้เรื่องราวในชนเผ่าลึกลับอย่างละเอียดเพียงนี้ได้อย่างไร
จีหมิงซิวอธิบายว่า “ธิดาเทพกับเหอจั่วก็เหมือนกับพวกเยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับข้า ที่ทำสาบานเลือดผูกสัมพันธ์กันไว้ เมื่อใดก็ตามที่ทรยศก็จะมีภัยถึงชีวิต ยิ่งเมื่อมีหลักการว่า ผู้เป็นบ่าวตาย ผู้เป็นนายไม่เป็นอะไร แต่หากผู้เป็นนายตาย ผู้เป็นบ่าวก็จะชีวิตหาไม่ด้วยแล้ว ธิดาเทพทุกคนในประวัติศาสตร์จึงวาดหวังให้เหอจั๋วที่ตนรับใช้มีชีวิตที่ยืนยาว”
มิน่าเล่าที่วันนี้ธิดาเทพได้พบท่านตานาง ไม่เอ่ยถึงอะไรทั้งนั้น เป็นห่วงเพียงสุขภาพของท่านตานางอย่างเดียว นางเป็นคนที่หวังให้ท่านตามีชีวิตต่อไปมากที่สุดแล้วกระมัง
…
ตกกลางคืน ปราสาทเฮ่อหลันถูกปกคลุมด้วยแสงจันทร์สีนวล เหอจั๋วยืนอยู่บนกำแพงของปราสาทโบราณ ทอดสายตามองไปทางตัวเมือง
“ท่านตา” สตรีนางนั้นถือเสื้อคลุมเดินเข้ามาแล้วคลุมลงบนตัวเขาเบาๆ “ลมเย็นเช่นนี้ ท่านรีบเข้าข้างในเถิด”
เหอจั๋วหันไปมองนาง “เด็กๆ หลับแล้วหรือ”
สตรีนางนั้นตอบ “เจ้าค่ะ”
เหอจั๋วพยักหน้าแล้วหันไปมองท้องฟ้าที่ไร้จุดสิ้นสุดอีกครั้ง
สตรีนางนั้นนึกถึงสภาพตอนเด็กทั้งสองร้องไห้อย่างหมดรูป แล้วเปรียบเทียบกับลูกบ้านอื่นที่สงบนิ่งสบายๆ ก็ให้นึกโกรธจนไม่รู้จะไปลงที่ไหน
เมื่อข่มไฟโทสะในใจลงแล้ว นางก็เอ่ยเรียบๆ ว่า “ตามปกติพวกเขาไม่ได้ขี้แยเพียงนี้ บางทีวันนี้… วันนี้อาจจะตกใจมากจริงๆ”
เหอจั๋วพูดอย่างมีเมตตาว่า “ยังเด็ก ขี้แยเป็นเรื่องปกติ”
สตรีนางนั้นยิ้มบางๆ “ท่านตากล่าวได้ถูกต้อง”
เหอจั๋วมองใบหน้าที่ยังดูเศร้าหมองของนางแล้วถามว่า “เรื่องวันนี้ยังกวนใจอยู่หรือ”
สตรีนางนั้นส่ายหน้า “มิได้ ข้าเพียงแค่เป็นกังวลแทนไซน่าฮูหยินเท่านั้น นางถูกจั๋วหม่าน้อยตัวปลอมบดบังสายตา หวังว่าท่านตาจะไม่ถือโทษโกรธนาง”
เหอจั๋วมองอีกฝ่ายลึกๆ ทีหนึ่งแล้วยกมือขึ้นลูกศีรษะนาง “เจ้าเป็นเด็กที่รู้จักคำนึงถึงภาพใหญ่ เรื่องในวันนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องเก็บมาใส่ใจเลยจริงๆ จั๋วหม่าน้อยตัวจริงไม่อาจแทนที่ได้ ต่อให้มีตัวปลอมมาอีกเป็นร้อยคนก็ไม่อาจทำอะไรคนที่เป็นตัวจริงได้”
ภายในห้องที่มืดสลัว ควันกำยานลอยฟุ้ง
สตรีนางนั้นยืนอยู่หน้าฉากกั้น สีหน้าเต็มไปด้วยความละอายใจ
ด้านหลังฉากกั้น เสียงที่แยกไม่ออกว่าเป็นชายหรือหญิงตะคอกขึ้นว่า “ฮาจั่วทำข้าผิดหวังก็แล้วไปเถอะ แต่เหตุใดแม้แต่เจ้าก็ยังใช้การไม่ได้ไปด้วย เจ้ามีกระทั่งของดูต่างหน้าอยู่ในมือ แต่กลับจัดการพวกบ้านนอกที่เข้ามาทำให้เสียเรื่องไม่ได้!”
สตรีนางนั้นก้มหน้า “ใต้เท้า เดิมทีทุกอย่างกำลังราบรื่น พวกผู้อาวุโสล้วนผิดหวังในตัวนายท่านเฉียวกันหมด ถึงขั้นเริ่มเชื่อแล้วว่าพวกเขาเป็นตัวปลอม แต่ระหว่างนั้นกลับเกิดเหตุผิดพลาดขึ้น”
อันที่จริงความผิดพลาดนี้สำหรับสตรีนางนั้นแล้วไม่นับว่าเป็นสาระสักนิด เด็กสองคนแค่ร้องไห้กระจองงองแงก็เท่านั้น เหตุใดถึงส่งผลกระทบอย่างหนักหน่วงเช่นนี้ได้ ราวกับว่าเด็กในใต้หล้าไม่อาจร้องไห้งอแงได้กระนั้น
คนด้านหลังฉากกั้นเอ่ยว่า “พูดไปเป็นพันเป็นหมื่นคำก็ยังเป็นเพราะพวกเจ้าแสดงได้ไม่ดีพอ ตาแก่พวกนั้นนึกสงสัยกันอยู่แต่แรกแล้ว ติดแค่ว่าหลักฐานทุกอย่างทำให้ไม่อาจสงสัยได้เท่านั้น เวลานี้สิ่งที่เจ้าควรทำก็คือทำลายความสงสัยของตาแก่พวกนั้นให้สิ้นซาก แต่เจ้ากลับ โง่เขลาจนเผยจุดอ่อนให้อีกฝ่ายได้เห็น! เวลานี้พวกเขามองเจ้า มองอย่างไรก็ไม่เหมือนทายาทของเหอจั๋วแล้ว!”
จำต้องบอกว่า ตัวจริงกับตัวปลอมอย่างไรก็มีความแตกต่าง ผู้อาวุโสทั้งหลายที่รับใช้เหอจั๋วมานานปี ต่อให้ไม่มีหลักฐาน แค่อาศัยสัญชาตญาณก็สามารถจับสังเกตความเป็นทายาทของเหอจั๋วได้แล้ว
เวลานี้ พวกเขามาถึงก่อนจึงได้เปรียบ ซ้ำยังมีของดูต่างหน้าอยู่ในมือ กอปรกับนายท่านเฉียวผู้นั้นสร้างความสับสนให้มากจริงๆ ถึงได้ทำให้ความสงบในใจผู้อาวุโสเกิดความเอนเอียงไปเล็กน้อย แต่หากได้พบปะอีกสักสองสามครั้ง เผยพิรุธออกไปมากกว่านี้อีกหน่อย เกรงว่าพวกเขาจะไม่มีโอกาสได้กลับตัวแล้ว
สตรีนางนั้นกล่าวโทษตนเอง “วันนี้เป็นเพราะข้าดูแลได้ไม่ดี ข้าไม่ควรปล่อยให้เด็กๆ อยู่ตรงนั้นตามลำพัง ต่อไปข้าจะระวังให้มาก!” อันที่จริงเด็กทั้งสองก็คัดสรรมาอย่างดีแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็ยังแนบเนียนได้ไม่เท่าผู้ใหญ่
คนที่อยู่หลังฉากกันเอ่ยว่า “พยายามอย่าให้เด็กๆ ต้องออกมาแสดงอีก บอกไปว่าพวกเขาได้รับความตกใจอย่างรุนแรง จำเป็นต้องอยู่พักใจให้สงบ ไม่ต้องให้ออกมาพบเจอผู้คนอีก อีกเรื่อง ท่าทีที่เหอจั๋วมีต่อเจ้าเปลี่ยนไปบ้างหรือไม่”
สตรีนางนั้นตั้งใจนึกย้อนไปก่อนตอบว่า “ตอนที่อยู่ในสวนดอกไม้ อารมณ์เขาดูหดหู่ไปบ้าง ข้าเป็นกังวลว่าเขาจะนึกสงสัยอะไรหรือไม่ แต่ตอนหลังพอกลับไปที่ตำหนักนอน เขาก็ยังใส่ใจถามว่าข้ารู้สึกอย่างไร บอกว่าไม่ต้องเก็บเรื่องเล็กน้อยพวกนี้มาใส่ใจ ทั้งยังบอกอีกว่าจั๋วหม่าน้อยตัวจริงไม่อาจมีใครมาแทนที่ได้”
“จั๋วหม่าน้อยตัวจริงไม่อาจมีใครมาแทนที่ได้?” คนที่อยู่หลังฉากกั้นพึมพำประโยคนี้เสียงเบา “ประโยคนี้ฟังดูออกจะแปลกอยู่สักหน่อย เจ้าแน่ใจว่าเขาไม่สงสัยอะไรจริงๆ หรือ”
“ข้ามั่นใจ” สตรีนางนั้นเอ่ยอย่างมั่นใจเต็มที่ “เขาปฏิบัติต่อข้าดีกว่าก่อนหน้านี้เสียอีก ยังให้เครื่องประดับแสนล้ำค่ากับข้าชุดหนึ่งด้วย ความสงสัยของเหล่าผู้อาวุโสใช่ว่าจะไม่มีข้อดีเสมอไป ก่อนหน้านี้ตอนที่ตาแก่เหล่านั้นเชื่อในตัวข้า เหอจั๋วก็ยังไม่ใกล้ชิดสนิทสนมกับข้าเพียงนี้ เวลานี้คนพวกนั้นเริ่มไม่ถูกโฉลกกับข้า เหอจั๋วกลับยิ่งเอ็นดูข้ามากขึ้น ข้าคิดว่า ต่อให้ตาแก่พวกนั้นเห็นพิรุธอะไรจริงๆ ก็สร้างแรงกระเพื่อมอะไรไม่ได้มาก”
คนที่อยู่หลังฉากกั้นเอ่ยเสียงเย็น “เจ้าอย่าได้ประเมินสำนักผู้อาวุโสต่ำไป เหอจั๋วเคารพพวกเขามาก ตอนเจ้าเพิ่งมาก็เพราะได้รับความเห็นชอบจากพวกเขา ถึงมีโอกาสได้เข้าพบเหอจั๋ว”
สตรีนางนั้นรีบเก็บความได้ใจกลับมา เอ่ยด้วยความเคารพว่า “ใต้เท้ากล่าวได้ถูกต้องนัก เช่นนั้นหากเหล่าผู้อาวุโสเริ่มไม่เชื่อในตัวข้ามากขึ้น ข้าควรทำเช่นไร ข้าจะต้องแพ้แล้วหรือไม่”
คนที่อยู่หลังฉากกั้นนิ่งไป “เจ้าอย่าได้กังวลจนเกินไป อย่างมากพวกเขาก็ทำได้เพียงรบกวนการตัดสินใจของเหอจั๋ว แต่ไม่อาจตัดสินใจแทนเหอจั๋วได้ เจ้าหาทางให้เหอจั๋วจัดพิธีมอบตำแหน่งให้เจ้าเสีย ขอเพียงเหอจั๋วยอมรับในฐานะของเจ้าอย่างเปิดเผย ถึงเวลานั้นต่อให้มีผู้อาวุโสที่คอยขวางทางคิดจะทำอะไร ก็คงสายไปแล้ว”
สตรีนางนั้นเอ่ยด้วยความกังวลว่า “เหอจั๋วจะยอมหรือไม่ หากเขาเอาแต่รอไปเรื่อยๆ จะทำอย่างไร ข้า… ข้าสามารถรักษาวิชาแปลงโฉมไว้ได้เพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น หลังจากนี้ทำได้เพียงใช้หน้ากาก หน้ากากสามารถตรวจสอบได้โดยง่าย!”
คนที่อยู่หลังฉากกั้นยิ้มเยาะ “เจ้าวางใจ เหอจั๋วร้อนใจยิ่งกว่าเจ้า เวลาของเขาเหลือไม่มากแล้ว อยู่ได้ไม่ถึงหนึ่งเดือนหรอก เขาต้องรีบให้หลานสาวตัวจริงขึ้นทะเบียนตระกูลก่อนเขากลับบ้านเก่าแน่ เมื่อเจ้าได้เข้าไปอยู่ในทะเบียนตระกูลและกลายเป็นจั๋วหม่าน้อยตัวจริง ใครยังจะกล้ามาตรวจสอบใบหน้าของเจ้าอีก จากนั้นพวกเราก็จัดการระเบิดสถานที่ที่เฮ่อหลันชิงเก็บตัวฝึกวิชาอยู่เสีย ให้เฮ่อหลันชิงไม่มีวันได้ออกมาเปิดโปงเจ้า เช่นนี้ชนเผ่าถ่าน่าก็จะอยู่ในมือพวกเราโดยสมบูรณ์แล้ว!”
สตรีนางนั้นยินดียิ่ง “ใต้เท้าหลักแหลมนัก!”