หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 243-2 เอาชนะจั๋วหม่าตัวปลอม
ตอนที่ 243-2 เอาชนะจั๋วหม่าตัวปลอม
ผีร้ายที่ถูกดึงลิ้นไปจับแขนเสื้อขึ้น ยื่นมือกรงเล็บสีขาวออกไป เลียริมฝีปาก อ้าปากให้เห็นเขี้ยวใหญ่ยาวสองซี่พร้อมค่อยๆ เขยิบเข้าไปใกล้เฉียวเวย
ในตอนนั้นเอง วั่งซูก็ตื่น
เหล่าผีร้ายพากันหลบออกไป
วั่งซูตื่นมาเพราะปวดธุระเบา นางเอามือจับก้น เดินสะลึมสะลือไปที่ห้องสุขา
“ฮี่ๆ ลูกของพวกมนุษย์”
ผีร้ายที่ถูกดึงลิ้นหัวเราะเสียงเย็น แล้วจึงตามวั่งซูไป
วั่งซูทำธุระเสร็จ ยื่นมือไปผลักประตูห้องสุขา ในตอนนั้นนางยังไม่รู้ว่าที่หน้าประตูมีผียืนอยู่ พอนางยื่นมือออกไปผลัก ประตูก็ฟาดใส่ผีร้ายที่ทำท่าเตรียมพร้อมจะหลอกเด็กน้อยลูกมนุษย์หน้าโง่จนกระเด็นออกไป
ตัวของผีร้ายกระเด็นโค้งเป็นเส้นอันสวยงามอยู่กลางอากาศยามค่ำคืน ก่อนจะได้ยินเสียงดังตูมพร้อมตัวที่ตกลงไปในน้ำ
วั่งซูได้ยินเสียงน้ำเลยตื่นตัวขึ้นมา นางวิ่งตุบตับๆ ไปตรงทางน้ำ
ในทางน้ำ ผีร้ายกำลังตะเกียกตะกายอย่างเอาเป็นเอาตาย
วั่งซูยื่นมืออวบอ้วนของตนออกไปจะช่วยดึงมันขึ้นมา ผีร้ายพอมีอากาศหายใจ ก็อ้าปากหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่ เพราะตะเกียกตะกายตอนอยู่ในน้ำ ลิ้นอีกครึ่งหนึ่งของมันเลยหล่นหายไปด้วย เขี้ยวก็หลุดหาย เล็บยาวก็ไม่รู้หลุดหายไปไหน สรุปก็คือมันในเวลานี้ดูไม่น่ากลัวสักนิด!
วั่งซูมองมันตาปริบๆ “ท่านตา ท่านตกลงไปในน้ำได้อย่างไร”
เจ้าเด็กนี้ไม่กลัวข้าสักนิดเลยหรือนี่!
ผีร้ายพยายามยิงฟัน ตะคอกเสียงดุว่า “ข้าไม่ใช่ท่านตา! ข้าเป็นผี!”
“อ้อ” วั่งซูพยักหน้า เห็นได้ชัดว่าไม่สู้จะเข้าใจนัก
ผีร้ายพยายามสลัดตัวเองออก แต่มันก็ต้องสิ้นหวังเมื่อได้พบว่ามันถึงกับสลัดมืออวบอ้วนน้อยๆ ข้างนี้ออกไปไม่ได้ เจ้าเด็กอ้วนคนนี้โตมาด้วยอะไรกันแน่!
“ปล่อยข้า! ไม่งั้นข้าจะกินเจ้าเสีย!” ผีร้ายเอ่ยขู่
เด็กทั่วไปถ้าได้ยินคำขู่เช่นนี้คงจะยอมปล่อยมืออย่างง่ายดาย แต่ใครจะคิดว่าวั่งซูไม่เพียงไม่ปล่อย แต่ยังหันไปตะโกนเสียงดังเรียกคนในกระท่อม “ท่านแม่ๆ! ข้าจับผีตัวหนึ่งได้! มันบอกว่ามันจะกินข้า!”
แม่เจ้า ทำไมเจ้าเด็กนี้ถึงไม่เล่นตามบทที่ควรจะเป็นนะ!
ผีร้ายร้อนรนขึ้นมาในบัดดล มันถอดเสื้อที่วั่งซูจับเอาไว้ พอก้าวเท้าได้ก็วิ่งแจ้นไปทันที! แต่ใครจะคิดว่าวิ่งไปยังไม่ทันได้กี่ก้าว ก็ชนเข้ากับตัวของเฉียวเวยเสียแล้ว มันรู้สึกเพียงว่าศีรษะของตนกระแทกอย่างแรงจนแทบจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ภาพตรงหน้าพร่ามัว สองตาเห็นดาว เฉียวเวยอาศัยจังหวะที่มันยังงุนงงอยู่ คว้าคอมันไว้แล้วจับมันกดลงกับพื้น
“อ๊าก…” ผีร้ายร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด
เฉียวเวยเลิกคิ้ว พูดยิ้มๆ ว่า “โอ๊ะ ผีก็กลัวเจ็บกับเขาด้วยรึนี่ เพิ่งเคยได้ยินครั้งแรกเลย”
มือของผีร้ายถูกจับไปไพล่หลังเอาไว้ เมื่ออยู่ในท่านี้อยากให้เจ็บเท่าไรก็ได้เลยจริงๆ มันเอาแต่ร้องโอดโอย “นังเด็กบ้า! ปล่อยข้าไปเดี๋ยวนี้!”
เฉียวเวยจับตัวเขากดอยู่ จึงสัมผัสได้ถึงไออุ่นจากร่างกายเขา ถ้านี้เป็นผีสิแปลก เฉียวเวยมองประเมินมันขึ้นลงทีหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยอย่างเห็นขันว่า “อายุตั้งเท่านี้แล้วไม่อยากอยู่สงบๆ ที่บ้าน แต่กลับวิ่งออกมาเล่นเป็นผีสางหลอกคน ไม่คิดว่าจะเหนื่อยตายบ้างหรือไร”
ผีร้ายกัดฟันพูดว่า “ใครมาแกล้งทำเป็นผีหลอกคนกัน ข้าจะบอกให้นะ ข้านี่แหละผีร้าย! ข้ากินเจ้าได้! กินเจ้าได้จริง!”
เฉียวเวยยิ้มสบายๆ “เช่นนั้นเจ้าก็กินสิ มาสิๆ ดูสิว่าเจ้าจะกินข้า หรือว่าข้าจะสับเจ้าเป็นชิ้นๆ!”
เฉียวเวยพูดพลางดึงกริชออกมาจากแขนเสื้อ ปลายกริชส่องประกายคมกล้า
ร่างของผีร้ายสั่นสะท้าน ร้องตะโกนเสียงลั่น “พี่ใหญ่ พี่รอง ช่วยข้าด้วย…”
เงาขาวสายหนึ่งลอยเข้ามาจากบนฟ้า มันเลี้ยงตัวอยู่กลางอากาศ แลบลิ้นยาวลงมาถึงหน้าท้อง กำลังมองเฉียวเวยจากที่สูง น้ำเสียงเย็นจัดราวกับน้ำแข็ง “เจ้ามนุษย์โอหัง ถึงขั้นกล้าบุกรุกเข้ามาในแดนยมโลกของพวกเรา! ยังไม่รีบหนีไปอีก!”
“แดนยมโลก?” เฉียวเวยมองเงาที่ลอยอยู่กลางอากาศ ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
ผีตนที่สองโกรธเกรี้ยว “เจ้ามนุษย์หน้าโง่ เจ้าหัวเราะอะไร!”
มนุษย์หน้าโง่? เฉียวเวยยิ่งอยากหัวเราะขึ้นไปอีก “ข้าหัวเราะที่เจ้าจะเล่นเป็นผีมาหลอกคนก็ไม่รู้จักเลือกคนหลอกให้ดีหน่อย ข้าเป็นคนที่มาจากแดนยมโลก แต่ไม่ยักจำได้ว่ามีเพื่อนร่วมแดนอย่างเจ้า มิสู้เจ้าบอกข้ามาว่าเจ้าอาศัยอยู่ที่ตรงใดของแดนยมโลก ยมโลกตะวันตกหรือว่ายมโลกตะวันออก หรือว่าอยู่แถบสายน้ำยมโลก อา ริมสองฝั่งแม่น้ำยมโลกดอกไม้บานแล้ว ได้ยินว่างามจับตายิ่งนัก เจ้าได้เด็ดมาให้เป็นของขวัญแรกพบหน้ากับเพื่อนรวมแดนอย่างข้าสักดอกสองดอกบ้างหรือไม่”
“…” ผีตนที่สองอึ้งงัน
เฉียวเวยเอ่ยกลั้วหัวเราะด้วยสีหน้าเช่นเดิม “พญายมโลกเป็นพี่น้องรวมสาบานของข้า หากเขารู้ว่าเจ้าออกมาสร้างความเดือดร้อนในแดนมนุษย์โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็คงเดือดดาลน่าดู จุดจบของคนที่ทำให้พญายมโลกโกรธเป็นเช่นไรเจ้าคงรู้ดี! เจ้ายังไม่รีบเอาใจข้า ให้ข้าพูดถึงเจ้าดีๆ ต่อหน้าพญายมโลกอีกหรือ”
“…” ยังคงอึ้งงัน
เฉียวเวยยิ้มเย็น ข้าแต่งตัวเป็นผีหลอกคนมาตั้งแต่บรรพบุรุษ คิดจะสู้กับข้า? ไว้ชาติหน้าก็แล้วกัน!
ผีตนที่สองค่อยๆ ตั้งสติได้ มันทำเสียงหึหึแล้วบอกว่า “เจ้าเคยเห็นใครที่ลอยมาได้อย่างข้าบ้างรึไม่”
วิชาตัวเบาเฉียวเวยเคยเห็นมานักต่อนัก แต่คนที่สามารถลอยตัวอยู่ในอากาศโดยไม่หล่นลงมาได้ยังไม่เคย แต่แล้วอย่างไรเล่า
ลูกตาของเฉียวเวยขยับเล็กน้อย จับกระชับกริชในมือก่อนจะขว้างออกไป เงาสีขาวบินผ่านเหนือหัวคนที่อยู่บนฟ้า จากนั้นก็เห็นคนผู้นั้นร่วงดิ่งลงมาประหนึ่งหุ่นกระบอก!
“อ๊า…”
ผีตนที่สองร่วงลงกับพื้นอย่างน่าเวทนา
เดิมทีพวกผีตนเล็กๆ ที่หลบอยู่ข้างๆ คอยหาจังหวะจะเข้ามาผสมโรง แต่เวลานี้ต่างตกใจจนวิ่งหนีกันไปทันที มนุษย์ผู้นี้น่ากลัวเกินไปแล้ว ผีตนใหญ่ยังถูกจับเป็นไปได้ ผีตัวเล็กๆ มีแต่จะแย่ยิ่งกว่านั้น!
เฉียวเวยได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวรอบตัว นางไม่ได้สนใจ อย่างที่ว่ากันว่าจะล่าโจร ต้องล่าหัวหน้าโจรก่อน นางจับหัวหน้าผีตัวใหญ่ไว้ได้แล้ว ยังจะอยากได้ตัวผีตัวเล็กตัวน้อยเหล่านั้นไปไย
เฉียวเวยลากผีตัวแรกเข้าไปหาผีตัวที่สองพร้อมหัวเราะเสียงเย็น “จึ๊ๆๆ? ตกลงมาเจ็บไหม? ไม่ใช่กระมัง พี่ผี? เจ้าว่าดีร้ายอย่างไรพวกเราก็อยู่แดนยมโลกมาด้วยกัน จะกลัวเจ็บอย่างพวกมนุษย์ไก่อ่อนได้หรือ ข้าช่วยเจ้าจัดระเบียบให้ดีรึไม่”
เฉียวเวยพูดพลางใช้มือสกัดจุดชีพจรใหญ่ของเขา แค่แตะเบาๆ เขาก็ร้องโหยหวนราวกับหมูถูกเชือดทันที
เฉียวเวยระบายยิ้ม “ตายจริงๆ พี่ผี อย่าสำออยเพียงนี้สิ ข้าออกแรงแค่นิดเดียวเท่านั้น”
ผีตนที่สองตะโกนว่า “นังหนู! ทางที่ดีเจ้าปล่อยข้าไปจะดีกว่า! ไม่อย่างนั้นถ้าพี่ใหญ่กลับมา ต้องได้เห็นดีกับเจ้าแน่!”
เฉียวเวยยิ้มเยาะ “ข้ายังกลัวว่าเขาจะไม่มาเสียมากกว่า!”
พอสิ้นเสียง ทางฝั่งตะวันออกก็มีธนูหลายดอกพุ่งเข้ามา เฉียวเวยหันมอง ปล่อยผีร้ายที่จับอยู่ รีบเคลื่อนตัวไปกอดวั่งซูไปหลบหลังต้นไม้ ธนูคมกริบปักแน่นเข้ากับต้นไม้
เงาดำวูบหนึ่งเคลื่อนเข้ามาใกล้ ควักกระบอกไม้ไผ่อันเล็กออกมาจากอกเสื้อ พอโบกแขนเสื้อ ควันหนาๆ ก็กระจายตัวออกมาทันที
เฉียวเวยกลั้นหายใจ ปิดจมูกวั่งซูไว้ รอจนควันหนานั้นจางลงแล้ว ตรงพื้นก็ไม่มีเงาใครอยู่อีก
ที่ตรงนี้ไม่ควรรั้งอยู่นาน เฉียวเวยเข้าไปในบ้าน พาเฉียวเจิงกับลูกทั้งสองออกจากกระท่อมไม้ไผ่
…
อีกด้านหนึ่งหลังจากผีสองตนนั้นมีพี่ใหญ่ของตนมาช่วยไปได้ พวกมันก็เข้าไปซ่อนตัวในถ้ำแถวนั้นทันที พอคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นหน้ากระท่อมไม้ไผ่หลังเล็ก ยิ่งคิดก็ยิ่งอับอายจนกลายเป็นโกรธ
“พี่ใหญ่! ข้าทนกล้ำกลืนความโกรธนี้ไม่ได้! ข้าจะต้องสั่งสอนนางสักหน่อย ให้นางรู้ถึงความโหดร้ายของสามผีพี่น้องแห่งหุบเหวแห่งนี้เสียบ้าง!” ผีร้ายตนแรกเอ่ยอย่างดุดัน
ผีตนที่สองหอบแฮ่กพลางบอกว่า “ใช่แล้วพี่ใหญ่ จะให้คนพวกนั้นแย่งถิ่นแดนของพวกเราไปไม่ได้! หุบเหวนี้เป็นของพวกเรา ไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับคนชนเผ่าถ่าน่าพวกนั้น!”
พี่ใหญ่ก็คิดเห็นเช่นนี้ พวกเขายึดครองหุบเหวแห่งนี้มานานปี ยังไม่มีใครที่ทำให้ตกใจจนหนีไปไม่ได้ สตรีนางนั้นไม่กลัวผี แต่นางกลัวกำปั้นหรือไม่ ถ้าทำให้ตกใจจนหนีไปไม่ได้ ก็อัดนางให้ร่วงแทนแล้วกัน!
พวกเขาสามคนถือไม่กระบองเดินกลับไปที่กระท่อมไม้ไผ่หลังเล็กอย่างดุดัน ประตูหน้าเปิดกว้างอยู่ พวกมันเดินเข้าไปอย่างยิ่งใหญ่ ห้องใหญ่ที่อยู่ด้านหลังเข้าไปแล้วไม่เห็นใคร พวกมันเลยอ้อมไปหาห้องเล็กที่อยู่ข้างหน้าแทน จากแสงจันทร์อันบางเบา พวกมันจำใบหน้าที่น่ารังเกียจนั้นได้
ฮี่ๆ คิดว่าเปลี่ยนห้องแล้ว พวกข้าจะหาเจ้าไม่เจองั้นรึ
พี่น้องเอ๋ย ลุย!
ทั้งสามเงื้อไม้กระบอง เดินเข้าไปหา “จั๋วหม่าน้อย” ที่กำลังหลับสนิท
“จั๋วหม่าน้อย” ตื่นขึ้นมาเพราะความเจ็บปวด พอลืมตาก็เห็นเงาไม้กระบองจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังฟาดลงมาใส่ตน นางฟาดฝ่ามือออกไปด้วยความโกรธ แต่ใครจะคิดว่าฝ่ามือยังไม่ทันพุ่งออกไป ก็ถูกไม้กระบองอันหนึ่งฟาดอย่างแรงเข้าใส่ฝ่ามือนางจนบวมเสียแล้ว!
นางเจ็บจนร้องเสียงต่ำ ยกผ้าห่มขึ้นกันไม้กระบองที่ฟาดใส่ตนเอาไว้ “พวกเจ้าเป็นใคร เหตุใดต้องลอบทำร้ายข้า”
เจ้าสาม ผีร้ายตนแรกหัวเราะอย่างชั่วร้าย “หึหึ เพิ่งเจอกันเมื่อครู่ หรือเจ้าลืมไปแล้ว”
สตรีนางนั้นร้อนรน “ข้าไปเจอพวกเจ้าเมื่อไรกัน พวกเจ้าจำคนผิดเองหรือไม่ ข้าหลับอยู่แต่ในห้องนี้ตลอด ไม่ได้ออกไปไหนเลย!”
เจ้าสามหัวเราะหึหึ “เจ้าไม่ได้ออกไป งั้นที่ข้าเห็นเป็นผีหรือไร”
เจ้ารอง ผีร้ายตนที่สองที่ถูกสกัดจุดชีพจรใหญ่จนเวลานี้ยังไม่หายเจ็บ กัดฟันพูดว่า “น้องสามอย่าไปเสียเวลาพูดกับนางเลย! อัดนางเสีย!”
ผีสามตนซ้อมสตรีนางนั้นให้ยกหนึ่งโดยไม่อธิบายใดๆ ทั้งสิ้น สตรีนางนั้นนับว่ามีวรยุทธ์ แต่ก็จนใจที่ตกเป็นรองมาตั้งแต่แรก จึงถูกซ้อมจนไร้เรี่ยวแรง หากยังถูกซ้อมเช่นนี้ต่อไป ตนคงยากจะเอาชีวิตรอด
สุดท้ายสตรีนางนั้นกัดฟัน แสร้งทำเป็นตายไปเสีย!
ผีสามตนเอาแต่ฟาดไม่ยั้ง คนบนเตียงแน่นิ่งไปแล้ว จึงรีบเอามือไปวางที่ปลายจมูก แล้วก็ได้พบว่านางหยุดหายใจไปแล้ว ผีสามตนหันมองหน้ากัน จากนั้นก็กลั้นใจวิ่งออกไปทันที!
หลังจากผีสามตนหายไปแล้ว สตรีนางนั้นก็ได้ถอนหายใจเอาลมที่อัดแน่นอยู่ในอกออกไปเสียที การถูกคนลอบทำร้ายกลางดึกอย่างน่าประหลาดเช่นนี้ นับเป็นมหันตภัยร้ายอย่างไม่ต้องสงสัย! นางเกือบสงสัยแล้วเชียวว่าเป็นฝีมือของพวกเฉียวเวย แต่คิดอีกทีก็ไม่น่าจะเป็นไปได้นัก สตรีนางนั้นหากจะสั่งสอนนาง คงสั่งสอนนางไปนานแล้ว
เหตุใดต้องรอถึงกลางค่ำกลางคืนเช่นนี้ ถึงแม้นางจะไม่ทันดูให้ชัดว่าคนที่ลงมือเหล่านั้นเป็นใคร แต่ฟังจากเสียงคล้ายจะเป็นตาแก่กันทุกคน นางมั่นใจอย่างยิ่งยวดว่าข้างกายเฉียวเวยไม่มีคนเช่นนี้อยู่ ในปราสาทไซน่าก็ไม่มีเช่นกัน
สตรีนางนั้นฝืนทนกับความเจ็บปวดทั่วสรรพางค์กาย เปิดผ้าห่มลงจากเตียง ถึงแม้จะไม่รู้ว่าพวกบ้าเหล่านั้นมีที่มาที่ไปอย่างไรแน่ แต่สถานที่บ้าๆ แห่งนี้จะอยู่ต่ออีกแม้แต่หนึ่งเค่อก็ไม่ได้
“ท่านพ่อ ท่านพ่อ ท่านตื่นเร็วเข้า!” นางเขย่าท่านพ่อเฉียวที่ตกใจจนเป็นลมไป แต่อีกฝ่ายกลับไม่มีปฏิกิริยาใดๆ จนนิดเดียว นางกลัวว่าเจ้าพวกบ้านั้นจะกลับกันมาอีก จึงจำต้องเอาเสื้อคลุมมาใส่แล้วหนีออกไปก่อน
นางควักกระบอกไม้ไผ่ลำเล็กออกมาจากแขนเสื้อ มีแมลงกู่ตัวน้อยตัวหนึ่งบินออกมา แมลงตัวนี้สามารถตามหาฮาจั่วได้ พอฮาจั่วได้เห็นแมลงกู่ตัวนี้ก็จะรู้ว่านางตกอยู่ในอันตราย แล้วแมลงกู่ก็จะพาฮาจั่วมาหานาง เวลานี้สิ่งที่นางต้องทำก็คือ ต้องหาที่ปลอดภัยไปหลบซ่อนตัวไว้ก่อน
“พี่ใหญ่ ท่านว่าพวกเราจะซ้อมคนผิดจริงๆ หรือไม่” เจ้าสามคิดว่าตนซ้อมคนจนตาย จึงรู้สึกผิดอยู่เล็กน้อย พวกเขาเป็นผีร้ายมีศีลธรรม พวกมันจะแค่ขู่ให้กลัว แต่จะไม่ฆ่าใคร ครั้งนี้เป็นเพราะนังเด็กนั้นยั่วโมโหพวกเขามากจริงๆ พวเขาถึงได้อยากอัดนางสักยกหนึ่งเพื่อนระบายความโกรธ แต่พวกเขาไม่เคยคิดจะเล่นนางถึงตาย
พี่ใหญ่ทำหน้าเคร่งขรึมไม่ได้พูดอะไร
ซ้อมคนจนตาย หนักหนา หนักหนาเกินไป!
เจ้ารองเอ่ยอย่างไม่คิดเห็นเช่นนั้นว่า “น่าจะไม่ผิดตัวนะ ในโลกนี้คงไม่มีใครที่หน้าเหมือนกันเพียงนั้นกระมัง”
พอสิ้นเสียงเขา เจ้าสามก็ยกมือขึ้นชี้ “พี่ใหญ่ พี่รอง พวกท่านดูนั่น!”
พี่ใหญ่กับพี่รองมองตามมือที่เจ้าสามชี้บอก ห่างไปไม่ไกลพวกเขาเห็นสตรีนางหนึ่ง ใส่เสื้อคลุมมีหมวกเดินอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์
คนสูงวัยล้วนมีสายตายาวกันทั้งสิ้น มองปราดเดียวก็จำหน้าอีกฝ่ายได้ทันที
“ในโลกนี้มีคนที่หน้าเหมือนกันราวกับแกะอยู่จริงๆ” เจ้าสองถึงได้เชื่อคำพูดของเจ้าสาม ตาเขาพลันเบิกกว้าง “พี่ใหญ่! พวกเราเล่นงานผิดคนจริงๆ! คนผู้นี้ต่างหากที่เป็นนังหนูคนนั้น!”
คนในห้องที่ถูกพวกเขาซ้อมจนตายไปแล้วไม่มีทางวิ่งหนีออกมาได้ คนตรงหน้าคิดดูแล้วก็คือนังหนูที่เกือบบีบคอเขาตายคนเมื่อครู่
นังเด็กบ้า แอบหนีออกมายามวิกาล ทำพวกเขาเล่นงานผิดคน ทำร้ายผู้บริสุทธิ์จนตาย บัญชีแค้นทั้งเก่าและใหม่ เอาไปลงกับนางให้หมด!
ดังนั้นผีทั้งสามตนจึงยกไม้กระบองขึ้นอีกครั้ง จัดการอัด “จั๋วหม่าน้อย” ผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ให้อีกรอบหนึ่ง เรียกได้ว่ายับเยินอย่างหนักทีเดียว!
…
ทางฝั่งพวกเฉียวเวย หลังจากออกจากกระท่อมไม้ไผ่หลังเล็กแล้ว พวกนางก็เริ่มหาที่พักผ่อนกันแถวนั้น เฉียวเวยอุ้มวั่งซู เฉียวเจิงอุ้มจิ่งอวิ๋น ซาลาเปาน้อยทั้งสองหลับกันสนิทมาก ได้ยินเสียงหายใจดังสม่ำเสมอ
จูเอ๋อร์หาถ้ำแห่งหนึ่งเจอ พวกเขาจึงเข้าไปนั่งข้างใน
ถ้ำนี้ดูเหมือนจะเคยมีคนมาที่นี่มาก่อน กิ่งไม้แห้ง หญ้าแห้ง หินจุดไฟ มีอยู่อย่างครบครัน
เฉียวเจิงปูหญ้าแห้งแล้วเอาผ้าห่มที่หยิบจากกระท่อมไม้ไผ่มาปูทับลงด้านบนอีกที เด็กทั้งสองลงนอนอย่างนุ่มสบาย
อีกด้านหนึ่ง เฉียวเวยจัดการก่อกองไฟ ภายในถ้ำจึงอบอุ่นขึ้นมาทันที
เสี่ยวไป๋นอนอยู่หน้าปากถ้ำ มีบางอย่างบินผ่านหน้ามันไป มันใช้อุ้งมือคว้าเอาไว้ เป็นแมลงตัวเล็กๆ ตัวหนึ่ง ดูแล้วตัวอวบอ้วน เสี่ยวไป๋อ้าปากหาว แล้วเอาเข้าปากกินลงไป!
แมลงกู่ตัวน้อยผู้น่าสงสาร ยังไม่ทันได้ปฏิบัติตามคำสั่งให้สำเร็จ ก็ต้องมาสิ้นชีพไปอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่เสียแล้ว