หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 255-1 รีดเลือดอย่างโหดเหี้ยม
ตอนที่ 255-1 รีดเลือดอย่างโหดเหี้ยม
ธิดาเทพเห็นถุงใส่น้ำใบใหญ่ที่ใช้ยามเดินทัพถุงนั้นก็อยากจะตาเหลือกสลบไปเสียยิ่งนัก
เฉียวเวยชั่งน้ำหนักถุงใส่น้ำ จิ๊ ความจุเท่านี้จะรีดเลือดให้คนตัวแห้งเลยอย่างนั้นสิ แต่เช่นนี้ก็ดี หมิงซิวไม่ได้บอกว่าต้องการเลือดเท่าไร หากตนเองเก็บไปน้อยเกินไปเล่า ยิ่งไปกว่านั้นก่อนหน้านี้หมิงซิวไม่เคยลองมาก่อน หากเขาไม่ชำนาญ ตอนปรุงมือสั่นขึ้นมาล่ะ มีความเสี่ยงว่าจะเสียของ ดังนั้นเก็บไปมากหน่อยจะดีกว่า
เฉียวเวยย่างสามขุมเข้าไปหาธิดาเทพ
ธิดาเทพถูกซัดจนหมอบกระแตแล้ว นางไม่มีเรี่ยวแรงสวนกลับแม้แต่น้อย นางถลึงตามองเฉียวเวยอย่างเคียดแค้น ดวงตาที่ฉายแววเย็นยะเยือกแทบจะฉีกเฉียวเวยเป็นชิ้นๆ
เฉียวเวยเดินเข้าไปอย่างไม่สนใจสักนิด ฝ่ามือตบลงบนหน้าผากของนาง “ถลึงตาทำอะไร ตกเป็นนักโทษแล้วยังกล้าถลึงตาใส่นายหญิงของเจ้าอีก! เชื่อหรือไม่ว่านายหญิงคนนี้จะเปลื้องผ้าเจ้าให้ล่อนจ้อน!”
ธิดาเทพโมโหจนหน้าแดงก่ำ “เจ้า…ไร้ยางอาย!”
เฉียวเวยยิ้มจางๆ “ไร้ยางอายเท่าเจ้าหรือไม่ เป็นนกเขาแย่งรังนกกระจอก แย่งห้องของข้าไปแล้วยังมาหลอกลวงท่านตาของข้า ใส่ร้ายข้าให้ไม่ได้รับการแต่งตั้งอีก เรื่องเหลวไหลไร้สาระอะไร เจ้าก็ล้วนทำลงทั้งสิ้น แล้วยังมีหน้ามาด่าข้าว่าไร้ยางอาย รู้ด้วยหรือว่าไร้ยางอายคำนี้เขียนอย่างไร”
ดวงตาของธิดาเทพฉายแววชิงชังเสี้ยวหนึ่ง “นั่นเป็นองค์เทพ…”
“องค์เทพบ้านเจ้าสิ!” เฉียวเวยตวาดจนร่างของอีกฝ่ายสะดุ้ง ยามนี้นางเป็นเพียงแพะที่รอถูกเชือดตัวหนึ่ง เฉียวเวยอยากจะทำอะไร นางก็ไม่มีกำลังขัดขืนสักนิด เฉียวเวยคว้าแขนของนางแล้วถกแขนเสื้อของนางขึ้น เข็มทิ่มพรวดเข้าไปในหลอดเลือดดำของนาง
สิ่งที่ยากจะทนยิ่งกว่าความเจ็บปวดก็คงเป็นความรู้สึกอัปยศที่ถูกคนจับวางตามใจเช่นนี้ ในฐานะธิดาเทพที่ทุกคนเลื่อมใสศรัทธา นางยังไม่เคยถูกผู้ใดปฏิบัติด้วยเช่นนี้มาก่อน
เฉียวเวยกดเส้นเลือดดำของนาง เลือดไหลเข้ามาในถุงน้ำราวกับไม่ต้องการเงิน
หลังจากเก็บเลือดเสร็จ ทั้งร่างของนางก็เหมือนจะเบาลงขึ้นหลายส่วน ใบหน้าซีดเผือดดุจกระดาษไข ริมฝีปากไม่มีสีเลือดสักนิด
“ความจริงนี่ก็เท่ากับการบริจาคเลือดตามปกติเท่านั้น” แต่คนบริจาคเลือดล้วนเป็นคนที่ร่างกายแข็งแรงเป็นปกติ ส่วนใครบางคนเมื่อวานเพิ่งร่วงตกมาจากแท่นประกอบพิธีเสียเลือดไปไม่น้อย วันนี้ต้องบริจาคเลือดอีกหนึ่งถุง เรียกได้ว่าถูกสูบจนเกลี้ยงอย่างยิ่ง
เพราะคำนึงถึงว่าตอนนี้ยังปล่อยให้นางเป็นอันใดไปไม่ได้ เฉียวเวยจึง ‘จัดการแผลหลังผ่าตัด’ ให้นางอย่างใส่ใจยิ่งนัก
สองแม่ลูกพกถุงน้ำอันหนักอึ้งออกจากตำหนักธิดาเทพ
สตรีศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายก้าวเข้ามาในห้อง ภายในห้องเละเทะระเนระนาดคล้ายมีคนต่อสู้กัน ธิดาเทพนอนไร้เรี่ยวแรงอยู่บนเตียง สีหน้าซีดเผือดมากกว่าก่อนหน้านี้สามส่วน
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งสีหน้าเย็นชาในทันใด นางเรียกหลิงจือเข้ามาด้านใน “ที่นี่เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
หลิงจือมองห้องอันเละเทะแล้วก็หวาดผวา นางถูกจั๋วหม่าขู่จนวิ่งหนีไปเสร็จก็ไม่กล้าเฝ้าอยู่หน้าประตูแต่หนีออกไปที่สวน ไหนเลยจะทราบว่าเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น
นางก้มหน้าอย่างหวาดกลัว “จั๋วหม่าไม่ให้ข้าอยู่ด้านใน ไล่ข้าออกมา ข้าไม่ทราบว่านาง…”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสามฟาดฝ่ามือใส่ ตบหลิงจือลงไปกองกับพื้น “นางนิสัยเป็นอย่างไร เจ้าไม่รู้หรือ นางขัดตาตำหนักธิดาเทพของพวกเรามากเพียงไรเจ้าไม่รู้หรือ เจ้าถึงกับกล้าปล่อยให้นางอยู่กับธิดาเทพตามลำพัง! นี่เจ้าผลักคนลงกองไฟชัดๆ!”
หลิงจือนั่งคุกเข่าเอ่ยเสียงสั่นระริก “สตรีศักดิ์สิทธิ์ไว้ชีวิตด้วย!”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามยังจะปรี่เข้าไปตีนางอีก แต่สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งยกมือขึ้นมา “พอแล้ว ให้นางออกไป!”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามวางมือลงอย่างเย็นชา หลิงจือล้มลุกคลุกคลานออกไปด้านนอก
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งนั่งลงที่ม้านั่งข้างเตียง สีหน้าย่ำแย่ยิ่งนัก วันนี้แต่เดิมสมควรเป็นตำหนักธิดาเทพไปสร้างความลำบากให้เฮ่อหลันชิง สั่งสอนบทเรียนให้เฮ่อหลันชิงสักหน แต่ผลกลับกลายเป็นว่าถูกเฮ่อหลันชิงสั่งสอนเข้าให้
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สองตายแล้ว สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สี่กับสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่ห้าก็ฟันร่วง ธิดาเทพก็ถูกคนทรมานทรกรรม…
ตำหนักธิดาเทพไม่เคยได้รับความอัปยศเช่นนี้มานานเท่าใดแล้ว
สมัยที่สายเลือดของตำแหน่งโหราจารย์ยังรุ่งเรืองเหลือคณาอยู่ ตำหนักธิดาเทพเองก็เคยไร้คนกราบไหว้ ไร้ผู้ศรัทธา เคยอยู่อย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว ทว่านับตั้งแต่พวกนางกุมอำนาจ ทั้งเกาะก็เป็นของพวกนาง ไม่มีผู้ใดกล้าดูแคลนพวกนางอีก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะมีผู้ใดมาข่มเหงพวกนางถึงบนศีรษะ!
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งสูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่ง นางกดเพลิงโทสะในหัวใจลงไป จากนั้นหันไปมองธิดาเทพผู้อ่อนแรงคล้ายจะสิ้นใจได้ทุกเวลา แล้วเอ่ยว่า “เอายากลั่นสุคนธ์มาให้ข้า”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามหยิบขวดกระเบื้องใบน้อยใบหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อกว้าง แล้วดึงจุกขวดออก เทยาลูกกลอนสีน้ำตาลเม็ดหนึ่งออกมาส่งให้สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่ง
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งป้อนให้ธิดาเทพกินลงไป
ยากลั่นสุคนธ์เป็นยาตำรับลับของตำหนักธิดาเทพ รักษาอาการบาดเจ็บภายในและฟื้นฟูปราณกำเนิดได้
หลังจากธิดาเทพกินยากลั่นสุคนธ์ลงไปแล้ว ในที่สุดก็มีเรี่ยวแรงขึ้นมาเล็กน้อย นางค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา
สตรีศักดิ์สิทธิ์ถาม “แม่ลูกคู่นั้นทำอะไรเจ้า”
ธิดาเทพผู้มีท่าทางอ่อนแรงตอบอย่างเคียดแค้น “พวกนางมาเอาเลือดของข้า”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามไม่เข้าใจ “มาเอาเลือดของเจ้าไปทำอะไร พวกนางอยากทำให้เจ้าตายหรืออย่างไร”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งส่ายหน้า “พวกนางไม่กล้าทำเช่นนั้นหรอก”
ธิดาเทพครุ่นคิดครู่หนึ่ง สายตากวาดผ่านบนร่างสตรีศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย แล้วถามขึ้นมาอย่างสงสัย “สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสองเล่า”
จู่ๆ เอ่ยถึงน้องสาว สีหน้าของสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งก็หม่นหมองลงกว่าเดิม
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สี่ตอบอย่างเศร้าใจ “สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสอง…สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสองถูกเฮ่อหลันชิง…สังหารแล้ว…”
“อะไรนะ” ธิดาเทพกุมหน้าอก ความเจ็บปวดแสนสาหัสทำให้รสชาติหวานปนคาวก้อนหนึ่งทะลักขึ้นมาในลำคอของนาง “นางกล้าดีอย่างไร!”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สี่กับสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่ห้าเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นนอกตำหนักให้ฟังตั้งแต่ต้นจนจบ พวกนางทั้งสองแต่เดิมก็เป็นเหยื่อโดยตรงของเหตุการณ์หนนี้ ต่างคนฟันร่วงกันไปคนละซี่ วันหน้าออกไปด้านนอกคงไม่มีหน้าพบผู้คนแล้ว แน่นอนว่าเทียบกับความตายของศิษย์พี่รอง การบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านี้ของพวกนางล้วนเป็นเรื่องเล็ก สิ่งที่น่าชังก็คือพวกนางถูกข่มเหงรังแกจนมีสภาพเช่นนี้ แต่กลับไม่อาจลากตัวเฮ่อหลันชิงมาลงโทษได้ อย่างไรเสียสถานที่เกิดเรื่องก็พ้นจากป้ายศิลาของตำหนักธิดาเทพไปแล้ว หากสืบสาวราวเรื่องขึ้นมาจริงๆ การที่พวกนางตั้งค่ายกลจะประหัตประหารเฮ่อหลันชิงก็เป็นความผิดที่ไม่อาจให้อภัยได้เรื่องหนึ่งเช่นเดียวกัน
ดังนั้นความอัปยศอดสูหนนี้ ตำหนักธิดาเทพต้องกล้ำกลืนเอาไว้
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามโกรธจนหัวโต “แต่เดิมนางคนอายุมากก็จัดการยากมากพอแล้ว ตอนนี้ยังมีนางคนอายุน้อยเพิ่มมาอีก จั๋วหม่าน้อยคนนั้นพฤติกรรมเหมือนมารดาของนางไม่มีผิด! ไม่เห็นตำหนักธิดาเทพของพวกเราอยู่ในสายตาสักนิด! วันหน้าหากตำแหน่งเหอจั๋วตกอยู่ในมือแม่ลูกคู่นี้ ตำหนักธิดาเทพของพวกเราจะยังมีทางรอดอยู่อีกหรือ”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สี่ลูบปากที่ปวดแล้วพูดว่า “ถูกต้องแล้ว แม่ลูกคู่นี้ ผู้ใดก็จัดการไม่ง่ายสักคน! เฮ่อหลันชิงคนเดียวก็รับมือยากพอแล้ว ตอนนี้ยังมีจั๋วหม่าน้อยเพิ่มขึ้นมาอีก! จั๋วหม่าน้อยคนนั้นความสามารถไม่น้อย แม้แต่ไข่มุกจันทร์กระจ่างก็หาพบ หากเป็นเช่นนี้นานเข้า ความยโสโอหังของพวกนางคงเพิ่มพูนขึ้นทุกวัน ตำหนักธิดาเทพของพวกเราคงไร้ที่ยืนขึ้นไปทุกวันๆ!”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่ห้าเห็นด้วยอย่างยิ่ง “ต้องคิดหาวิธีกำจัดพวกนาง! ไม่เช่นนั้นน่ากลัวว่าตำหนักธิดาเทพของพวกเราจะมีหายนะมาเยือน!”
สุดท้ายสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หกผู้เงียบงันมาตลอดก็เอ่ยปาก นางเคยเป็นธิดาเทพรุ่นก่อน เคยข้องเกี่ยวกับเฮ่อหลันชิงมามากที่สุด ทั้งยังคุ้นเคยกับนิสัยของเฮ่อหลันชิงดี อีกฝ่ายเป็นโจรถ่อยที่หากฆ่าได้จะไม่ลงมือแค่ตี หากตีได้จะไม่เพียงอ้าปากด่า มีอยู่สองอย่างคือไม่ลงมือกับลงมือแล้วต้องได้ลงดาบเฉือนเนื้อคน เจาะเลือดวิธีการที่ละเมียดละไมเช่นนี้ ไม่เหมือนความคิดที่นางจะคิดออกมาได้
เรื่องนี้…ไม่ธรรมดาแน่นอน
“พวกท่านทั้งหลายสงบใจลงก่อน” สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หกเอ่ยขึ้น “สืบให้กระจ่างก่อนว่าพวกนางเอาเลือดของธิดาเทพไปทำอะไร แล้วค่อยวางแผนกันอีกที”
…
เฉียวเวยนำเลือดของธิดาเทพกลับมาถึงปราสาทเฮ่อหลันก็ไปหาจีหมิงซิวทันที
จีหมิงซิวกำลังสอนหนังสือลูกทั้งสองคนอยู่ในห้องหนังสือ นับตั้งแต่ออกจากหมู่บ้านซีหนิวมา เด็กๆ ก็ไม่ได้เข้าเรียนที่สำนักศึกษาอีก จีหมิงซิวเป็นผู้สอนเองทั้งสิ้น เขาสอนวิชาได้ดียิ่งนัก เด็กน้อยทั้งสองคนล้วนก้าวหน้าขึ้นมาก แม้แต่วั่งซูตัวซุกซนน้อยคนนี้ ขอเพียงได้นั่งอยู่บนขาของบิดาก็จะเรียบร้อยเป็นที่สุด
จีหมิงซิวกอดวั่งซู แล้วกุมมือน้อยอันอวบอ้วนของนาง พานางคัดอักษรทีละขีดทีละเส้น
จิ่งอวิ๋นกำลังคัดตัวอักษรเองอยู่ด้านข้าง บางครั้งเขาก็เงยหน้ามองอย่างอิจฉาแวบหนึ่ง เขาก็อยากให้ท่านพ่อจับมือเขาเขียนอักษรบ้าง แต่เขาเขียนตัวอักษรได้สวยมากแล้ว ท่านพ่อจึงบอกว่าไม่จำเป็น
เฮ้อ
จิ่งอวิ๋นถอนหายใจราวกับผู้ใหญ่ตัวน้อย
เฉียวเวยเอนตัวพิงกรอบประตู สายตากวาดมองเจ้าตัวน้อยแสนน่ารักทั้งสองคน สุดท้ายก็จับจ้องบนร่างของจีหมิงซิว
จีหมิงซิวสวมเสื้อคลุมตัวยาวสีฟ้าอ่อน แผ่นหลังเหยียดตรงดุจต้นสน บุคลิกลักษณะเหมือนต้นไผ่ เรือนร่างสูงโปร่งสง่างาม ดุจดอกกล้วยไม้ในหุบเขาใต้แสงจันทรา ชูช่ออยู่เงียบๆ ก็ทำให้คนตะลึงในความงาม
จีหมิงซิวหันกลับมาเห็นเฉียวเวยจึงขยับยิ้มให้นาง
เฉียวเวยรู้สึกว่าลมหายใจของตนเองติดขัด บุรุษตัวโตคนหนึ่งจะรูปงามถึงเพียงนี้เพื่ออะไรกัน
เฉียวเวยตั้งสติแล้วเดินเข้ามาในห้อง จีหมิงซิวทราบว่านางมาทำอะไรจึงอุ้มวั่งซูลงมาแล้วบอกว่า “วันนี้ฝึกถึงตรงนี้ก่อน ไปเล่นกับพี่ชายเถิด”
เจ้าซาลาเปาน้อยสองคนหอมแก้มเฉียวเวยคนละทีสองทีแล้ววิ่งออกไปอย่างเบิกบานใจ
เฉียวเวยวางถุงน้ำไว้บนโต๊ะ “เท่านี้พอหรือไม่”
จีหมิงซิวมองถุงน้ำขนาดใหญ่บนโต๊ะ หนังตากระตุกถี่รัว นี่พวกเจ้าไปเชือดหมูมาหรืออย่างไร…
…
มีเลือดของธิดาเทพแล้ว ต่อจากนี้ก็เริ่มปรุงยาแก้ได้ แต่พิษที่เหอจั๋วถูกวางยาไม่ใช่พิษร้ายธรรมดา ความจริงแล้วยามพิษของมันอยู่ในร่างคน มันก็ไม่ได้ทำร้ายร่างกายของคนผู้นั้นแต่อย่างใด หากเจ้านายไม่เป็นอันใด คนที่ต้องพิษก็อายุยืนยาวร้อยปีได้ เพียงแต่หากทำให้ตระกูลเฮ่อหลันทั้งตระกูลต้องถูกผูกมัดไว้เพราะเรื่องนี้ ถ้าเช่นนั้นก็จำเป็นต้องใจแข็งกำจัดมันให้สิ้นซาก
ก่อนแก้พิษไสยเวทชนิดนี้ ต้องทำพิธีบวงสรวงเล็กๆ พิธีหนึ่งให้ลุล่วงเสียก่อน แม้จีหมิงซิวจะไม่เชื่อในเทพผี แต่ในตำราเขียนไว้เช่นนี้ เขาจึงยังต้องทำเช่นนั้น
เครื่องบูชาที่ต้องใช้ในพิธีบวงสรวงค่อนข้างพิเศษ ดอกไม้ก็ไม่ใช่ดอกไม้ธรรมดา แต่เป็นดอกกล้วยไม้สีขาวในหุบเหวร้อยผี ธูปก็ไม่ใช่ธูปทั่วไป แต่ต้องเป็นธูปที่ปั้นมาจากโลหิตของผู้ทำพิธีบวงสรวง ส่วนโคมไฟ น้ำชา ผลไม้ก็ล้วนเป็นของที่ในตลาดหาซื้อได้ยาก
“ถ้าเช่นนั้นก็สั่งทำสิ” เฉียวเวยว่า จีหมิงซิวพยักหน้า “โคมไฟกับธูปต้องสั่งแน่นอน ชา ดอกไม้ ผลไม้ล้วนต้องไปเก็บที่หุบเหวร้อยผี แล้วก็ยังมีสมุนไพรอีกเล็กน้อย เจ้าไปดูซิว่าคลังสมุนไพรของปราสาทเฮ่อหลันมีหรือไม่ หากไม่มีก็ต้องให้คนไปซื้อหาในตลาดหรืออาจจะต้องไปเก็บบนภูเขา”
ยามบ่าย เฉียวเวยให้นางกำนัลชิงเหยียนพาตนไปที่ห้องเก็บสมุนไพร
เยี่ยนเฟยเจวี๋ย อี้เชียนอินกับจีอู๋ซวงแยกย้ายกันไปเก็บของที่ต้องใช้จากหุบเขา พวกเขาเคยไปหุบเขาหลายหนแล้ว ข้าวของในรายการก็เคยเห็นมาเกือบทั้งหมด รู้ว่าอยู่ที่ใดก็เก็บได้แล้ว กล้วยไม้สีขาวในรายการนั้นงอกอยู่ในหุบเขาอันลึกลับแห่งนั้น เพื่อความปลอดภัย อี้เชียนอินจึงอุ้มต้าไป๋ไปด้วย พอเดินมาถึงประตูเขาก็ยังไม่วางใจอยู่บ้าง จึงหันกลับมาอุ้มจูเอ๋อร์ไปด้วยอีกตัว
จีอู๋ซวงรับผิดชอบหาใบชา นี่เป็นใบชาป่าชนิดหนึ่ง ใกล้กับต้นหลงเซวี่ยที่พวกเขาขุดมามีเนินเขาไม่เล็กไม่ใหญ่อยู่ลูกหนึ่ง บนนั้นมีต้นชาป่าขึ้นอยู่หลายต้น ที่นั่นอยู่ใกล้กับทางเข้าทิศเหนือ ไม่มีสิ่งใดน่ากลัว จีอู๋ซวงจึงเดินทางไปเพียงลำพัง
ได้ยินว่ายังต้องเก็บสมุนไพรอีกเล็กน้อย เฉียวเจิงยืนกรานจะไปด้วย เยี่ยนเฟยเจวี๋ยจึงตัดสินใจร่วมทางไปกับเขา
เฉียวเจิงต้องเตรียมเครื่องไม้เครื่องมือก่อนจึงออกเดินทางช้ากว่าพวกอี้เชียนอินเล็กน้อย เยี่ยนเฟยเจวี๋ยรออยู่ในห้องของตนเองอย่างเกียจคร้านและเบื่อหน่าย
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
มีคนเคาะประตูห้อง
“พี่เยี่ยน เจ้าอยู่หรือไม่”
เสียงผู้หญิง
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยพับใบรายการในมือแล้วยัดไว้ในแขนเสื้อกว้าง “อยู่ เข้ามาสิ”
สตรีนางหนึ่งผลักประตูแล้วถือไม้เท้าเดินเข้ามา
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถามด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เจ้าไม่พักอยู่ที่ห้อง วิ่งออกมาทำอันใด”
สตรีนางนั้นนั่งลงข้างกายเขา แล้วเอ่ยแผ่วเบา “วันนี้อากาศไม่เลว แสงตะวันอบอุ่นทีเดียว หลายวันนี้ข้าอุดอู้อยู่ในห้องเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บมาตลอด ตัวใกล้จะขึ้นราอยู่แล้วจึงอยากออกมาเดินเสียบ้าง ผ่านประตูห้องของเจ้าพอดีจึงแวะมาดูว่าเจ้าอยู่หรือไม่”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเอาแต่ทำท่าทางไม่อยากจะตอบนาง
สตรีนางนั้นยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน “ออกไปเดินเล่นเป็นเพื่อนข้าได้หรือไม่ พี่เยี่ยน”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยตอบเสียงเย็นชา “ตอนบ่ายข้ามีธุระ เจ้าไปเดินเล่นเองเถิด”
“เช่นนั้นหรือ” นางก้มหน้าลงอย่างรู้จักสถานการณ์ “ถ้าเช่นนั้นข้าไม่รบกวนเจ้าแล้ว ขอตัว”
กล่าวจบ นางก็ค้ำไม้เท้าลุกขึ้น ท่าทางอาการบาดเจ็บหนักจะยังไม่หายดี ร่างกายของนางจึงโงนเงนเหมือนจะทรุด หวิดจะล้มลงไปอยู่หลายหน
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยมองนาง ขนตากระพือไหวแต่ก็เบือนหน้าหนี
นางเดินไปได้สองสามก้าว ทันใดนั้นก็ร้องตกใจออกมาคำหนึ่งแล้วหงายมาทางด้านหลัง
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยก้าวพรวดเข้าไปคว้าแขนของนางไว้ นางจับแขนของเยี่ยนเฟยเจวี๋ยไว้ทันจึงตั้งหลักได้ แต่เพราะแรงที่เซมามากเกินไป ทั้งร่างของนางจึงชนกับอ้อมอกของเขา
เรือนร่างนุ่มนิ่มหอมกรุ่นเติมเต็มอ้อมแขนของเยี่ยนเฟยเจวี๋ย กลิ่นหอมสะอาดของหญิงสาวโถมเข้าใส่จมูก แก้มของเยี่ยนเฟยเจวี๋ยร้อนผ่าว เขาผลักนางออก นางเซถอยสองก้าวก็ทรุดลงกับพื้น
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกำหมัด สาวเท้าเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
เขายืนอยู่ที่ประตู สงบลมหายใจที่ปั่นป่วนแล้วคลำด้านในแขนเสื้อ พบว่ากระดาษแผ่นนั้นหายไปแล้ว เขารีบเดินกลับมาในห้อง แล้วก็เห็นสตรีนางนั้นมือข้างหนึ่งกุมไม้เท้า มือข้างหนึ่งถือแถบกระดาษอยู่ นางจับจ้องเขา “พี่เยี่ยน ของเจ้าร่วงแล้ว”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเอื้อมมือแย่งกระดาษมาแล้วเดินออกไปโดยไม่หันหลังกลับมามอง
…
ค่ำคืนนั้น ตำหนักธิดาเทพได้รับข่าวสาร สตรีศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายนั่งอยู่ในห้องของธิดาเทพ ประชุมวางแผนการใหญ่ร่วมกัน
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งเอ่ยขึ้นว่า “พวกเขาไปเก็บกล้วยไม้สีขาว ใบชาป่า ผลไม้ป่าสีเขียวกับสมุนไพรอีกจำนวนหนึ่ง แล้วยังสั่งทำธูปกับโคมไฟอีกด้วย”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามฉงน “ของเหล่านี้ไม่ใช่ของที่ใช้ในการทำพิธีบวงสรวงหรอกหรือ พวกเขาซื้อของพวกนี้ไปทำอะไร หรือพวกเขาจะจัดพิธีบวงสรวงในบ้าน”
ในเผ่าถ่าน่า พิธีบวงสรวงเป็นเรื่องที่จริงจังอย่างยิ่งเรื่องหนึ่ง ไม่ใช่ว่าทุกคนล้วนมีสิทธิจัด แน่นอนว่าทุกคนก็ใช่ว่าจะเข้าใจหลักการจัดพิธี เนื่องจากปราสาทเฮ่อหลันเป็นตระกูลหัวหน้าเผ่าบนเกาะ เรื่องเล็กเรื่องใหญ่เกี่ยวกับพิธีบวงสรวงจึงมอบหมายให้ตำหนักธิดาเทพทำ
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หกทำท่าเหมือนกำลังครุ่นคิด “เพิ่งเอาเลือดไปเสร็จก็จัดพิธีบวงสรวง ข้ารู้สึกว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับธิดาเทพ”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สี่เอ่ยขึ้นว่า “พวกเขาอยากใช้วิชาไสยศาตร์กับธิดาเทพหรือ”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หกตอบว่า “เรื่องนี้ก็ไม่แน่”
ทันใดนั้นจู่ๆ สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามก็คิดถึงเรื่องน่าเหลือเชื่อขึ้นมา “พวกนาง…คิดจะแก้พิษไสยเวทบนร่างเหอจั๋วหรือเปล่า”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งตะลึงไปวูบหนึ่ง จากนั้นก็ส่ายหน้า “เป็นไปไม่ได้ วิธีแก้พิษไสยเวทชนิดนี้สาบสูญไปนานแล้ว ตำหนักธิดาเทพของพวกเรายังทำไม่ได้ พวกนางจะทำสำเร็จได้อย่างไร พวกเราอย่าเพิ่งทำฝ่ายตัวเองเสียกระบวนทัพเลย รอธิดาเทพฟื้นขึ้นมาค่อยวางแผนระยะยาวกันอีกที”
…