หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 259-2 กลั่นแกล้งตำหนักธิดาเทพ
ตอนที่ 259-2 กลั่นแกล้งตำหนักธิดาเทพ
เฉียวเวยหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดโต๊ะฝั่งของนางเบาๆ “ข้าก็เพียงพูดส่งเดขเท่านั้น สตรีศักดิ์สิทธิ์เหตุใดจึงตกใจจนเป็นเช่นนี้เล่า หรือว่าข้าพูดแทงใจเข้าแล้ว พวกเจ้าตำหนักธิดาเทพเคยทำเรื่องที่ให้ผู้อื่นรู้ไม่ได้จริงๆ เช่นนั้นหรือ”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งลุกพรวด มองเฉียวเวยด้วยสายตาเย็นชา กำหมัดจนเกิดเสียงดังกรอด
เฉียวเวยมองนาง แล้วปลอบอย่างจริงใจ “สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับหนึ่ง ใจเย็นไว้ ใจเย็นไว้ เจ้าอยากมาชวนข้าเป็นพวก หากเจ้าทำร้ายข้า ข้าย่อมไม่แปรพักตร์มาเข้ากับเจ้าแน่ เจ้าต้องกำโอกาสไว้ ทำดีกับข้าให้มากๆ ให้ข้าสัมผัสถึงความจริงใจกับความอ่อนโยนของเจ้า”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งโกรธจนปวดหัว ความขุ่นเคืองขึ้นมาจุกอยู่ตรงลำคอ ระบายก็ระบายออกมาไม่ได้ กล้ำกลืนก็กล้ำกลืนไม่ลง นางข่มกลั้นจนหน้าเปลี่ยนสี “หากเจ้าไม่วางใจตำหนักธิดาเทพจริงๆ จะครองตำหนักธิดาเทพเป็นของตนเองก็ได้”
“จะครองเป็นของตนเองได้อย่างไร มีวิธีหรือ” เฉียวเวยถาม
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งเห็นว่าในที่สุดตนเองก็คุมบทสนทนาได้แล้ว จึงยกมือขึ้นทัดผมอย่างโล่งใจ “ข้าทราบมาว่าเจ้ามีลูกสาวคนหนึ่ง หากเจ้าต้องการ ข้าจะรับนางไว้แล้วสั่งสอนนางให้กลายเป็นธิดาเทพรุ่นต่อไป เช่นนี้วันหน้าบุตรชายของเจ้าก็จะสืบทอดตำแหน่งเหอจั๋ว บุตรสาวของเจ้าก็จะคุมตำหนักธิดาเทพ ทั้งเกาะยังจะมีผู้ใดเป็นศัตรูของพวกเจ้าอีก”
เฉียวเวยลูบคาง “ฟังดูไม่เลว แต่เป็นธิดาเทพในตำหนักธิดาเทพของพวกเจ้ามีข้อห้ามอะไรบ้าง บุตรสาวข้าไม่รู้หนังสือ”
“ข้าสอนได้”
“เจ้าสอนไม่รอดหรอก”
“นางฝึกวรยุทธ์ได้”
“นางไม่มีทางยอมเรียน”
เจ้าตุ้ยนุ้ยคนนั้นรู้จักแต่กินดื่มวิ่งเล่น ให้นางฝึกวรยุทธ์ทรมานเสียยิ่งกว่าจะเอาชีวิตน้อยๆ ของนางเสียอีก
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งข่มกลั้นโทสะ “ถ้าอย่างนั้นนางน่าจะทำอะไรเป็นบ้างกระมัง”
เฉียวเวยนึก “กินเก่งนับหรือไม่”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับหนึ่งมุมปากกระตุก
เฉียวเวยบอกอีกว่า “จริงสิ ข้าได้ยินว่าตำหนักธิดาเทพของพวกเจ้าไม่มีบุรุษ หากลูกสาวข้าเป็นธิดาเทพแล้ว กฎข้อนี้ก็ต้องเปลี่ยนสักหน่อย”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งเอ่ยอย่างหยิ่งทะนงและภาคภูมิใจ “ตำหนักธิดาเทพไม่แตะต้องบุรุษเพศ นับแต่โบราณก็เป็นเช่นนี้! ทุกสิ่งของตำหนักธิดาเทพล้วนเป็นขององค์เทพ รวมทั้งร่างกายของพวกเรา ไม่มีบุรุษปุถุชนคนใดนำราคีมาแปดเปื้อนความบริสุทธิ์ของธิดาเทพได้”
เฉียวเวยมองนางครู่ใหญ่อย่างไม่อยากเชื่อ แล้วเอนกายเข้าไปกระซิบเสียงเบา “จนถึงตอนนี้เจ้าก็ยังเป็นสาวพรหมจรรย์หรือ”
“เจ้า…”
ประเด็นสำคัญของสาวน้อยคนนี้เหตุไฉนจึงออกทะเลอยู่เรื่อย!
เฉียวเวยทำหน้าเข้าใจกระจ่างขึ้นมาทันที “มิน่าเจ้าถึงอารมณ์ร้ายนัก กล่าวกันว่าบุรุษคือหยาง สตรีคือหยิน หยินหยางต้องสมดุล ทุกเรื่องจึงราบรื่น ไม่เช่นนั้นภายในของเจ้าก็จะเสียสมดุล อารมณ์ร้อน แล้วยังโมโหง่าย ริษยาง่าย ใบหน้าแก่เร็ว”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งลูบใบหน้าของตนเองอย่างไม่รู้ตัว
เฉียวเวยมองนางแล้วพูดว่า “เจ้าดูสิเจ้ากับมารดาของข้าอายุเท่ากัน ตัวเจ้าเองก็หน้าตาไม่เลว ดวงหน้ารูปไข่ ดวงตาหงส์ คิ้วดุจกิ่งหลิว ริมฝีปากน้อยสีอิงเถา หน้าตางดงามตามมาตรฐานชัดๆ! แต่เวลาเจ้ากับแม่ของข้ายืนอยู่ด้วยกัน เจ้ากลับดูเหมือนแม่ของนาง!”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งโกรธจัดในทันใด “จั๋วหม่าน้อย”
เฉียวเวยเสตามองฟ้า
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งรู้สึกว่าหากตนเองอยู่ต่อ นางไม่ตบสาวน้อยคนนี้จนตายก็คงถูกสาวน้อยคนนี้ยั่วโมโหจนตาย นางพยายามกดโทสะอันพลุ่งพล่านลงไป เค้นออกมาทีละคำว่า “เจ้าลองคิดให้ดี ไม่ต้องตอบข้าตอนนี้”
หลังออกมาจากห้อง สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งก็สุดจะทน ฟาดหนึ่งฝ่ามือผ่าต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง หญิงรับใช้ที่อยู่ในลานตกใจจนพากันคุกเข่าบนพื้น
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งสูดลมหายใจลึกยาวแล้วจัดเสื้อผ้า เดินกลับห้องพร้อมกับสีหน้าเรียบเฉย
เฉียวเวยคว้าเมล็ดแตงหนึ่งกำขึ้นมาขบแทะอย่างสบายใจ
คิดจะล้างสมองนายหญิงคนนี้ ชาติหน้าเถอะ!
…
เฉียวเวยเป็นกระดูกเคี้ยวยาก แม้แต่สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งก็เคี้ยวไม่ลง สิ่งที่ได้รู้มานี้ยิ่งทำให้สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามยิ่งแน่ใจว่าสมควรจัดการเฉียวเวยให้จงได้ ขอเพียงตนเองจัดการเฉียวเวยได้ ไยมิเท่ากับบ่งบอกว่าตนองเก่งกาจกว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่ง
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามยืนอยู่ที่ระเบียงทางเดิน นางมองแผ่นหลังของสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งเดินจากไปไกลแล้วยิ้มอย่างหยิ่งยโส จากนั้นจึงหมุนตัวเดินไปยังเรือนของสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสี่
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสี่กำลังทายาเกล็ดหิมะอยู่ หลังจากถูกเฉียวเวยด่าว่านางปีศาจเฒ่า ความนับถือตนเองของนางก็ถูกบดขยี้ นางทั้งเสียใจทั้งตื่นตระหนกลนลาน เหมือนกับว่าตนเองแก่แล้วจริงๆ
“ศิษย์น้องสี่” สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามผลักประตูเข้ามา
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สี่กล่าวทักทาย “ศิษย์พี่สามท่านมาทำไมหรือ”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสามคลี่ยิ้ม “ข้าอยากจะขอแมลงน้อยจากศิษย์น้องสี่สักสองสามตัว”
“แมลงน้อยอะไร” สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สี่ทายาเกล็ดหิมะพลางเอ่ยถาม
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามมองหน้านางแล้วยิ้มจางๆ “แมลงกู่ที่เจ้าเลี้ยงไว้”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในตำหนักธิดาเทพต่างมีความสามารถของตนเอง สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สี่ไม่เป็นวรยุทธ์ แต่เป็นผู้มีฝีมือในการเลี้ยงแมลงกู่
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สี่มองศิษย์พี่ของตนเองผ่านกระจกทองสัมฤทธิ์ “ศิษย์พี่สามจะเอาแมลงกู่ไปทำสิ่งใด”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามตอบว่า “คนแซ่เฉียวผู้นั้นโอหังนัก ถึงกับด่าพวกเราว่านางปีศาจเฒ่า ศิษย์น้องสี่ไม่อยากสั่งสอนนางสักหน่อยหรือ”
แน่นอนว่าอยากสิ สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสี่ลูบใบหน้าของตนเอง แต่แล้วนางก็นึกสิ่งใดขึ้นได้จึงเอ่ยอย่างลังเล “แต่ทำเช่นนี้จะดีหรือ ศิษย์พี่ใหญ่บอกพวกเราว่าอย่าทำอะไรบุ่มบ่าม”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามยิ้ม “ประการแรกพวกเราไม่ได้ตบตีนาง ประการที่สองไม่ได้ด่านาง เพียงให้บทเรียนกับนางเล็กน้อยเท่านั้น เจ้าไม่มีแมลงกู่ชนิดที่สั่งสอนคนได้เล็กน้อยแต่ไม่ทิ้งร่องรอยไว้หรือไร”
“มีก็มีอยู่…แต่ว่า…” สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สี่ยังลังเลอยู่เล็กน้อย
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามตบหน้าอก “แต่อะไรเล่า ฟ้าถล่มลงมาข้าก็ค้ำไว้ให้เจ้า ยามนั้นหากเกิดเรื่องขึ้นจริง ศิษย์น้องโยนมาให้ข้าเป็นพอ”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสี่วางยาเกล็ดหิมะลง “ศิษย์พี่อย่าพูดเช่นนี้ พวกเราล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน ทุกข์สุขร่วมเสพ ไม่แบ่งแยก ข้าเห็นสาวน้อยคนนั้นขัดหูขัดตามานานแล้ว ให้บทเรียนกับนางสักหน่อยถือเสียว่าเป็นของตอบแทนที่นางด่าข้าว่านางปีศาจเฒ่า”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสามแย้มยิ้มสมใจ
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสี่ไปหยิบขวดกระเบื้องน้อยหลายใบออกมาจากห้องเก็บของ ทั้งสองคนแลกสายตากันจากนั้นก็คลี่ยิ้ม เดินไปยังห้องครัว
ห้องครัวกำลังเตรียมอาหารเย็นอยู่ อาหารเย็นมักจะเตรียมของธิดาเทพกับสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งก่อนเสมอ หลังจากนั้นจึงจะเป็นของสตรีศักดิ์สิทธิ์คนที่เหลือ สุดท้ายจึงจะผลัดถึงตาศิษย์กับหญิงรับใช้ทั้งหลาย
ช่วงนี้ธิดาเทพรักษาอาการบาดเจ็บอยู่จึงทานอาหารรสอ่อน การปรุงก็เรียบง่ายธรรมดา จึงนำอาหารไปส่งเรียบร้อยแล้ว ส่วนไก่ตุ๋นโสมของสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งเพิ่งตุ๋นเสร็จพอดี
หญิงรับใช้ทั้งหลายเห็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองนางก็ละมือจากงานแล้วหันมาคำนับอย่างพร้อมเพรียง “สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสาม สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสี่”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสามขานอืมตอบเรียบๆ คำหนึ่ง “ธิดาเทพกำลังรักษาอาการป่วย อาหารจะมันไม่ได้ ข้ามาดูว่าพวกเจ้าเตรียมอาหารไปถึงไหนแล้ว”
หัวหน้าหญิงรับใช้ตอบว่า “อาหารของธิดาเทพนำไปส่งแล้ว เป็นโจ๊กเปล่ากับผักเคียงเจ้าค่ะ”
สายตาของสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามจับจ้องถาดอาหารขนาดใหญ่สองถาดบนโต๊ะ “พวกนี้เป็นของศิษย์พี่ใหญ่หรือ”
หัวหน้าหญิงรับใช้ตอบอย่างนอบน้อม “ตอบสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสาม มีชุดหนึ่งเป็นของแขกผู้นั้น สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับหนึ่งบอกว่าฐานะของแขกผู้มาเยือนสูงส่งนัก นางกินสิ่งใด แขกก็กินสิ่งนั้นด้วย”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสามแค่นเสียงเหอะอย่างริษยา นางเป็นถึงสตรีศักดิ์สิทธิ์ยังไม่ได้รับการปฏิบัติเทียบเท่าศิษย์พี่ใหญ่เลย สาวน้อยที่โผล่มากลางคันคนหนึ่ง ช่างโชคดีจริงนะ!
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามเรียกสติกลับมาแล้วถามว่า “ชุดไหนเป็นของสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่ง”
หัวหน้าหญิงรับใช้ชี้ถาดอาหารทางด้านซ้าย “ชุดนี้เจ้าค่ะ สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับหนึ่งไม่ชอบกินต้นหอม ส่วนแขกผู้นั้นได้ยินว่าไม่มีอาหารที่ไม่ชอบ พวกเราจึงใส่ไว้เล็กน้อย”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสามส่งสายตาให้สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสี่ สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสี่พยักหน้าอย่างเข้าใจความนัย สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสามเอ่ยกับทุกคนว่า “พวกเจ้าทำงานของพวกเจ้าเถอะ”
ทุกคนจึงกลับไปทำงาน
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามก้าวเข้าไปสองก้าว บังระหว่างถาดอาหารกับหัวหน้าหญิงรับใช้ไว้ จากนั้นดึงหัวหน้าหญิงรับใช้มาบอกพร้อมรอยยิ้มว่า “วันสองวันนี้ข้าร้อนในเล็กน้อย ประเดี๋ยวอาหารที่จะยกไปให้ข้าทำจืดหน่อยก็แล้วกัน”
หัวหน้าหญิงรับใช้รีบเอ่ยว่า “เจ้าค่ะ สตรีศักดิ์สิทธิ์ต้องการทานสิ่งใด เชิญบอกข้า ข้าจะทำให้ท่านเดี๋ยวนี้”
“ข้าอยากกิน…” สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามเริ่มเลือกอย่าง ‘ตั้งอกตั้งใจ’
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสี่อาศัยจังหวะที่คนไม่ทันระวัง หยิบขวดกระเบื้องออกมาจากแขนเสื้อกว้างแล้วดึงจุกขวดออก เทแมลงกู่ตัวน้อยลงไป จากนั้นเก็บขวดกระเบื้อง ปิดฝาถาดอาหาร หมุนตัวเดินออกมาเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
ฝั่งนั้นสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามยังคงพยายามเลือกอย่างตั้งอกตั้งใจยิ่งนัก ฝั่งนี้สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สี่เสมองไปที่อื่นอย่างคนมีชนักติดหลัง ตอนที่ทั้งสองคนไม่ทันมองนี่เอง มือน้อยสีดำข้างหนึ่งก็ยื่นออกมาจากใต้โต๊ะแล้วสลับตำแหน่งของถาดอาหารทั้งสอง
“อาหารที่ข้าเพิ่งบอกเมื่อครู่ทำได้หรือไม่” สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสามแย้มยิ้มถาม
หัวหน้าหญิงรับใช้ตอบว่า “ได้เจ้าค่ะ ข้าน้อยจะไปทำเดี๋ยวนี้!”
“ถ้าอย่างนั้นก็ขอบคุณเจ้ายิ่งนัก” สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามยิ้มพลางตบบนหลังมือของนางเบาๆ จากนั้นจึงหันไปมองสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สี่ เห็นอีกฝ่ายกำลังมองไปนอกประตูอย่างหวาดๆ ก็ไม่รู้ว่าลงมือสำเร็จหรือไม่ นางกระแอม สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สี่หันกลับมาส่งสายตาให้นาง
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามยิ้มอย่างสาสมใจ แล้วเอ่ยกับหัวหน้าหญิงรับใช้ว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าไปก่อน”
หัวหน้าหญิงรับใช้คำนับ “น้อมส่งสตรีศักดิ์สิทธิ์”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสามกับสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสี่จูงมือกันเดินออกมาจากห้องครัว
หัวหน้าหญิงรับใช้เห็นว่าเวลาล่วงเลยมามากแล้วจึงรีบเรียกหญิงรับใช้ที่ทำหน้าที่ยกของมา จากนั้นวางถาดอาหารฝั่งซ้ายลงบนมือนาง “รีบนำไปให้สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่ง” จากนั้นก็เรียกหญิงรับใช้อีกคนหนึ่งมา จากนั้นส่งถาดอาหารด้านขวาให้นาง “นำไปให้แขกผู้นั้น”
ทั้งสองคนรับคำสั่งแล้วเดินจากไป
หัวหน้าหญิงรับใช้เริ่มเตรียมอาหารของสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสาม แต่เดิมหั่นของเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว แต่สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสามต้องการเปลี่ยน นางก็จนปัญญา ได้แต่ล้างวัตถุดิบ หั่นวัตถุดิบ ปรุงอาหารใหม่ ยังดีที่สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามขอมาไม่มาก อาหารเย็นทั้งหมดมีเพียงกับสามอย่างกับน้ำแกงข้าวโพดกระดูกมังกรเท่านั้น
หลังจากหญิงรับใช้ตุ๋นน้ำแกงข้าวโพดกระดูกมังกรบนเตาเสร็จ นางก็หันไปเตรียมอาหารของสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สี่กับสตรีศักดิ์สิทธิ์คนที่เหลือ
ภายในห้องครัว ทุกคนต่างยุ่งจนไฟลุกท่วม ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นก้อนกลมสีขาวก้อนน้อยก้อนหนึ่งที่กระโดดขึ้นไปบนแท่นเตาอย่างเงียบเชียบ จากนั้นสาดฉี่ลูกเพียงพอนหนึ่งกั๊กลงในน้ำแกงข้าวโพดกระดูกมังกร