หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 260-1 จุดจบอันเยี่ยมยอด
ตอนที่ 260-1 จุดจบอันเยี่ยมยอด
ตำหนักธิดาเทพในฐานะตำหนักเทพเพียงหนึ่งเดียวในเผ่าถ่าน่า นอกจากรับผิดชอบภาระสำคัญในการทำพิธีบวงสรวงแล้ว วันคู่ของแต่ละเดือนยังเทศนาเย็นในตำหนักอีกด้วย เนื้อหาสำคัญของเทศนาเย็นก็คือการสั่งสอน ‘พระคัมภีร์แห่งองค์เทพ’ คนที่มารับการสั่งสอนก็คือชาวเผ่าบนเกาะทั้งหมด
ตำหนักธิดาเทพไม่แบ่งแยกสูงต่ำ ขอเพียงก้าวเท้าเข้ามาในตำหนักธิดาเทพแล้ว ไม่ว่าจะเป็นผู้นำก็ดี ชาวบ้านธรรมดาก็ดี ล้วนเป็นประชาชนขององค์เทพ องค์เทพทรงรักพวกเขาดุจรักตนเอง ณ ที่แห่งนี้ ทุกคนล้วนเป็นพี่น้อง สาวกผู้ใดตั้งใจจะอาศัยอำนาจรังแกผู้อื่นในเขตตำหนักจะถูกองค์เทพลงทัณฑ์ ได้ยินว่าก่อนหน้านี้เคยมีคุณชายตระกูลใหญ่คนหนึ่งไม่เชื่อถือกฎข้อนี้ ทุบตีทำร้ายชาวประมงคนหนึ่งในตำหนักธิดาเทพ ผลปรากฏว่าค่ำวันนั้น คุณชายตระกูลใหญ่ผู้นั้นก็ตายกะทันหันอย่างไม่มีลางบอกเหตุสักนิด ผู้ชันสูตรตรวจสอบศพแล้วก็หาสาเหตุการตายไม่พบ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมายามทุกคนมาเยือนตำหนักธิดาเทพจึงรักษากฎมากกว่าเดิม
สถานที่เทศนาเย็นคือที่ตำหนักโองการเมฆา ห้องโถงของตำหนักไม่ได้ตกแต่งมากนัก พื้นสะอาดสะอ้าน โต๊ะตัวน้อยกับเบาะรองวางเรียงราย แท่นสูงหนึ่งฉื่อด้านในสุดคือตำแหน่งของธิดาเทพ วันนี้ธิดาเทพรักษาตัวอยู่ สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งจึงมาสั่งสอนแทน
แม้สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งเป็นอาจารย์ของธิดาเทพ แต่ไม่ค่อยจะเผยโฉมหน้าต่อหน้าผู้คนบ่อยนัก ใบหน้าของนางเป็นใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยสำหรับสาวกส่วนใหญ่
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งตั้งใจกับการเทศนาเย็นหนนี้อย่างยิ่ง นางไม่เพียงอาบน้ำอบเครื่องหอม แต่ยังสวมอาภรณ์ตัวที่สวยที่สุดและประทินโฉมมาจางๆ
นางนั่งคุกเข่าอยู่บนเบาะรอง เปิด ‘พระคัมภีร์แห่งองค์เทพ’ ไม่รู้ว่าเพราะมื้อเย็นกินต้นหอมเข้าไปหรือไม่ นางจึงรู้สึกว่าไม่สบายตัวเล็กน้อย
คนที่ไม่สบายตัวเหมือนกันยังมีสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามอีกคน
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างไซน่าฮูหยินกับปี้หลัวฮูหยิน ด้านหน้าของนางคือสาวกแถวหนึ่งที่มาค่อนข้างเร็วจึงได้ครองที่นั่งที่ดีที่สุด ด้านหลังเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ทั้งหลายกับผู้คนบนเกาะ ทุกคนล้วนกำลังอ่านเนื้อหาของ ‘พระคัมภีร์แห่งองค์เทพ’ เล่มที่เจ็ดบทที่สี่สิบแปดถึงเล่มที่เก้าบทที่สิบห้าอย่างตั้งใจ ในห้องโถงเงียบสงัดได้ยินเพียงเสียงพลิกหน้ากระดาษ รวมไปถึง…เสียงบิดก้นไปมาเป็นบางครั้งของตัวนางเอง
ไซน่าฮูหยินมองนางอย่างไม่เข้าใจ งานสำคัญเช่นนี้ เหตุใดสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามจึงทำเหมือนมีหนามปักก้นอยู่อย่างนั้นเล่า
ปี้หลัวฮูหยินที่อยู่อีกด้านหนึ่งก็หันสายตาฉงนมายังสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามเช่นกัน
สิ่งที่ควรบอกสักหน่อยก็คือแม้ตระกูลไซน่ากับตระกูลปี้หลัวจะเป็นอริกัน แต่ไซน่าฮูหยินกับปี้หลัวฮูหยินโดยส่วนตัวแล้วกลับเป็นสหายรักที่สนิทที่สุด ดังนั้นทุกครั้งที่มาตำหนักธิดาเทพ ทั้งสองคนจึงล้วนนั่งด้วยกัน ตำแหน่งตรงกลางแต่เดิมเก็บไว้ให้บุตรชายของปี้หลัวฮูหยิน แต่จู่ๆ เขาก็มีธุระจึงไม่สะดวกมา ที่นั่งจึงว่าง สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามเป็นคนที่มาสายที่สุดในหมู่สตรีศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย รอบด้านที่นั่งเต็มหมดแล้ว เหลือแต่ตรงนี้ที่ว่างอยู่ นางจึงมานั่ง
แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ตั้งแต่นั่งลงมา ท้องของนางก็รู้สึกไม่สบายเอาเสียเลย
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สี่อ่านพระคัมภีร์บนโต๊ะอย่างตั้งอกตั้งใจจึงไม่ทันสังเกตความผิดปกติของศิษย์พี่ทั้งสอง
ท้องของสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามส่งเสียงร้องโครกคราก แม้เสียงจะเบาอย่างยิ่ง แต่ไซน่าฮูหยินกับปี้หลัวฮูหยินก็ได้ยิน ในใจคิดว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามหิ้วท้องมาร่วมการเทศนาเย็นหรือ ความตั้งอกตั้งใจของนางสมควรเอาเป็นเยี่ยงอย่างจริงเชียว!
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามไม่ใช่ว่าไม่ได้กินข้าวเย็นมา นางกินอาหารเต็มโต๊ะจนหมดเกลี้ยง รวมไปถึงน้ำแกงข้าวโพดกระดูกมังกรถ้วยนั้น นางก็ดื่มจนไม่เหลือสักหยด บางทีอาจเพราะว่ากินอิ่มมากเกินไป ดังนั้นท้องจึงไม่สบายไปสารพัด
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามกดท้อง
อดทนไว้ อดทนไว้ อดทนไหว้…ต้องอดทนเอาไว้…
ปู้ดดด!
เสียงผายลมดังก้องภายในห้องโถงอันเงียบสงัด ดังสนั่นราวกับฟ้าร้อง ไซน่าฮูหยินกับปี้หลัวฮูหยินสองมือสั่นจนคัมภีร์ร่วงจากมือ!
ทุกคนสะดุ้งตกใจหันมามองด้านนี้ อยากรู้ว่าผู้ใดกันทำตัวเหลือทนเช่นนี้ ถึงกับมาผายลมใต้หนังตาขององค์เทพ นี่เป็นการไม่เคารพองค์เทพอย่างยิ่ง ไม่กลัวองค์เทพตกใจเตลิดหนีไปหรือไร
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามอับอายจนหน้าแดงก่ำ แต่นางวางท่าเคร่งขรึมนั่งตัวตรง สงบนิ่งยิ่งนัก นอกจากไซน่าฮูหยินกับปี้หลัวฮูหยิน ไม่มีผู้ใดฟังออกว่าเป็นนาง
ฮูหยินทั้งสองเก็บคัมภีร์ขึ้นมาแล้วอ่านต่อเงียบๆ
ท้องของสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามปั่นป่วนทรมานไม่หยุด แต่เวลานี้หากลุกไปห้องน้ำต้องกระดากอายและไร้มารยาทอย่างไม่ต้องสงสัย นางฝืนข่มกลั้นความเจ็บปวดของตนเอง คนที่ไม่เคยประสบไม่มีวันเข้าใจว่าการปวดท้องเป็นประสบการณ์ที่ทำให้คนแทบคลั่งอย่างไร
ในคัมภีร์เขียนว่าอะไร นางอ่านไม่เข้าหัวสักตัว นางมองนาฬิกาทรายบนผนัง เหลืออีกครึ่งชั่วยามก็จบการเทศนาแล้ว นางเพียงทนให้ถึงเวลานั้นก็พอ
นางบังคับตนเองให้คิดถึงสิ่งอื่นเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ คิดไปๆ ก็คิดถึงเฉียวเวยขึ้นมา
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสี่ใส่แมลงกู่ให้เฉียวเวยไปทั้งหมดสามชนิด แมลงกู่ชนิดแรกคือแมลงกู่คัน แมลงกู่ชนิดนี้พูดให้ชัดแล้วมันไม่นับเป็นแมลงกู่จริงๆ แมลงกู่เป็นแมลงที่ถูกเลี้ยงมาด้วยยาชนิดพิเศษ แต่แมลงชนิดนี้เป็นเพียงแมลงพิษตัวน้อยชนิดหนึ่งบนเกาะเท่านั้น แต่อย่าดูแคลนว่ามันตัวเล็กตัวน้อยเชียว หากถูกมันสัมผัสเข้า ทั่วทั้งร่างจะคันคะเยอไม่หยุด
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งเกาขา แล้วก็เกาท้อง นางยังอยากจะเกาหลัง เกาคอด้วย แต่กลัวว่าจะถูกผู้อื่นเห็นจึงได้แต่จิกเล็บเข้าไปในเนื้อ อดทนข่มกลั้นไว้ กลั้นจนหัวใจก็เริ่มคันคะเยอด้วยแล้ว!
แมลงกู่ที่สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สี่ใส่ให้เฉียวเวยชนิดที่สองก็ไม่ใช่แมลงกู่จริงๆ อีกเหมือนกัน มันเป็นผีเสื้อกลางคืนตัวน้อยชนิดหนึ่งที่กินดอกและใบของต้นสองภพเป็นอาหาร ผีเสื้อกลางคืนน้อยชนิดนี้เปลี่ยนสีได้ พอซ่อนตัวบนร่างของสิ่งมีชีวิตแล้วยากจะหาพบ มันไม่กัดคนแล้วก็ไม่โจมตีคน แต่บนปีกของมันมีผงอย่างหนึ่ง หากไม่ทันระวังโปรยไปถูกผู้ใดสัมผัสเข้า จะน่ากลัวยิ่งกว่าถูกตะขาบกัดเสียอีก
ร่างของสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งคันคะเยอยิ่งนัก แต่ใบหน้าของนางกลับเริ่มเจ็บปวดขึ้นมาเลือนราง เริ่มแรกเป็นแต่ตรงแก้ม ไม่นานก็แผ่ลามไปถึงจมูก ปาก นางไม่รู้ว่าตนเองเป็นอะไรไปถึงทรมานเช่นนี้
ข้างกายสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งมีหญิงรับใช้คอยรับใช้อยู่สองนาง หน้าที่ของพวกนางคือการฟังคำสั่งทุกอย่างของสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่ง บางครั้งสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งจะให้พวกนางดูแลลำดับพิธีการต่อ บางครั้งก็ให้พวกนางฝนหมึก บางครั้งก็ไม่ให้พวกนางทำสิ่งใดเลย
พวกนางเคยชินกับการหันไปมองสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งเป็นระยะ เพื่อจะได้รับใช้สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งได้อย่างทันท่วงที ไหนเลยจะรู้ว่าเมื่อสายตาของพวกนางจับบนใบหน้าของสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่ง กลับต้องตกใจจนโยนคัมภีร์ในมือทิ้ง!
ใบหน้าของสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งเป็นอะไรไป เหตุไฉนจึงบวมไปหมด บวมจนเหมือนหัวหมู ริมฝีปากน้อยสีอิงเถาอันงดงามก็กลายเป็นไส้กรอกสองเส้น
นี่ นี่ นี่น่ากลัวเกินไปแล้วจริงๆ!
ทั้งสองคนเพียรพยายายักคิ้วหลิ่วตาส่งสัญญาณให้สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งสุดชีวิต แต่จนปัญญาที่สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งไม่เห็นอย่างสิ้นเชิง
สาวกจำนวนไม่น้อยที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งอ่านคัมภีร์จบบทแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมา หมายจะชื่นชมดวงหน้าอันสูงส่งของสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งด้วยความศรัทธา แต่พอเพ่งสายตาดู มารดาช่วยด้วย เห็นแล้วเกือบจะขย้อนอาหารเย็นออกมา!
ไหนเว่ารูปโฉมเสมือนหนึ่งเทพธิดาอย่างไรเล่า
แม่เฒ่าหวังข้างบ้านยังมองดูแล้วสบายตากว่านางอีก!
สาวกภายในตำหนักเริ่มกระซิบกระซาบ กระซิบพลางก็เหลือบมองสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งไปด้วย สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งคิดว่าพวกเขากำลังตกตะลึงกับรูปโฉมงามเป็นเอกในใต้หล้าของตนเองอยู่ ดังนั้นแม้การส่งเสียงเอะอะจะผิดกฎอยู่บ้าง แต่นางก็ไม่ได้ออกปากห้ามปราม
ผู้เดียวที่ไม่ทันสังเกตความผิดปกติของสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งคงมีเพียงสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สาม
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามกำลังจมอยู่ในโลกใบน้อยของตนเอง นางลอบหัวเราะชอบอกชอบใจอยู่ในใจที่เฉียวเวยจะหน้าบวมเป็นหัวหมู แต่นี่ยังไม่ใช่ส่วนที่ทรมานคนที่สุด ส่วนที่ทรมานคนที่สุดคือแมลงชนิดที่สาม ตัวนี้เป็นแมลงกู่ตัวจริงเสียงจริง ส่วนพูดถึงฤทธิ์ของมันน่ะหรือ…
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งอดทนต่อความไม่สบายทั่วทั้งร่าง เอ่ยน้ำเสียงอ่อนโยน “ตอนนี้ ข้าจะเริ่มเทศนาเนื้อหา ‘พระคัมภีร์แห่งองค์เทพ’ บทที่สี่สิบแปดให้ทุกคนฟัง ‘องค์เทพตรัสว่า ผู้ใดทำดีต่อบิดามารดา สิ่งดีงามจะเกิดแก่ตน ผู้ใดดีต่อพี่น้อง สิ่งดีงามจะเกิดแก่ตน ผู้ใดดีต่อภรรยา สิ่งดีงามจะ…โฮ่ง!’”
ทุกคนตกตะลึง!
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งเองก็ตกตะลึง เมื่อครู่นางคิดไปเองหรือ เหตุไฉนจึงมีเสียงประหลาดเช่นนั้นออกมาจากปากของตน
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งตั้งสมาธิเทศนาต่อ “ผู้ใดดีต่อสามี สิ่งดี…โฮ่ง!”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งยกมือขึ้นปิดปาก
ทุกคนหันไปมองนางอย่างตกตะลึง
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งอับอายจนหน้าแดง นางกระแอมเสียงเบา แล้วเทศนาต่อ “ผู้ใดดีต่อบุตรธิดา โฮ่ง!”
ทุกคนตกตะลึงจนอ้าปากหวอ
หน้าผากของสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งมีเหงื่อเย็นผุดพรายออกมา
“ความหมายของประโยคนี้ก็คือ…โฮ่ง!”
“ทุกคนอย่าขยับ ฟังข้า…โฮ่ง!”
“ข้า…โฮ่ง!”
“โฮ่ง!”
สาวกทั้งหลายพากันตกตะลึงจนพูดไม่ออก คนที่ขวัญอ่อนจำนวนหนึ่งรู้สึกหวาดกลัวลุกพรวดขึ้นมาอย่างห้ามตนเองไม่ได้ แล้วมองสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งบนแท่นอย่างหวาดผวา
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งไม่เข้าใจจริงๆ ว่าตนเองเป็นอะไรไป เหตุใดพอเปิดปากขึ้นมาล้วนมีแต่เสียงเช่นนั้นดังออกมา นางไม่เชื่อเรื่องงมงายจึงเกร็งลำคอ สูดลมหายใจให้เพียงพอ หนนี้นางต้องใช้จุดตันเถียนเปล่งเสียง…
ทุกคนนั่งลงเดี๋ยวนี้!
“โฮ่งๆ โฮ่งๆ โฮ่งๆ!”
ทุกคนลุกขึ้นผละออกจากที่นั่งของตนแล้วสาวเท้าถอยหลังไปหลายก้าว
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งตบฝ่ามือลงบนโต๊ะ ดวงตาเกรี้ยวกราดจ้องไปหาทุกคน
หากเป็นใบหน้าดั้งเดิมของนางก็แล้วไปเถิด แต่ยามนี้ใบหน้านางบวมเป่ง หูโต ริมฝีปากบวมเป็นไส้กรอก ดูเหมือนผีร้ายมากจริงๆ รู้หรือไม่!
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับทีสามกับสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สี่เริ่มเดาอะไรบางอย่างได้เลือนรางแล้ว พวกนางเดินไปหาสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่ง แต่สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งกลับชิงลงจากแท่นเทศนามาก่อนพวกนางหนึ่งก้าว
ทุกคนเห็นนางเดินมาทางด้านนี้ก็พากันตกใจกลัววิ่งออกจากห้องโถง
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งแววตาเย็นเยียบ กระโจนทีเดียวก็เหินไปหาสาวกชายผู้หนึ่งแล้วขย้ำก้นของเขาเต็มคำ!
“อ้ากกก” สาวกชายกรีดร้อง
ท่ามกลางหมู่คนไม่รู้ผู้ใดตะโกนออกมาว่า “ปีศาจ! ปีศาจ! ปีศาจจจ”
“สตรีศักดิ์สิทธิ์กลายเป็นปีศาจแล้ว…รีบหนีเร็วเข้า…”
“หนีเร็ว…”
สาวกทั้งหลายเผ่นหนีกันอุตลุด โต๊ะถูกเตะล้มคว่ำ เบาะรองนั่งถูกเหยียบเละ บานประตูถูกชนจนหลุดกระเด็น ห้องโถงใหญ่ที่มีคนอยู่หลายร้อยคนตกสู่ความโกลาหล
…
ณ เรือนด้านหลัง ภายในเรือนหลังน้อยอันงดงามแห่งหนึ่ง หญิงรับใช้ที่เฝ้าประตูสองนางได้ยินเสียงเอะอะจากตำหนักด้านหน้า
หญิงรับใช้ถามว่า “เอ๋ ด้านหน้าเกิดอะไรขึ้น เหตุใดจึงเอะอะเช่นนี้ ไม่ใช่กำลังเทศนาเย็นอยู่หรือ”
สหายเอ่ยขึ้นว่า “บางที…สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งอาจกำลังทำพิธีกรรมอันใดอยู่”
หญิงรับใช้ยิ้มอย่างสงสัยใคร่รู้ “พวกเราไปดูสักหน่อยดีหรือไม่”
ข้อเสนอนี้ถูกสหายปัดตกทันที “ไม่ได้ สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งสั่งพวกเราว่าต้องเฝ้าแขกด้านในให้ดี ห้ามผละไปไหนแม้แต่ก้าวเดียว”
หญิงรับใช้ยิ้ม “ประตูลงกลอนอยู่ ต่อให้พวกเราไปแล้ว นางก็ออกมาไม่ได้ หากนางพังประตู ย่อมถูกศิษย์ที่ลาดตระเวนจับได้ ก็หนีไม่รอดเหมือนกัน”
สหายตอบอย่างรอบคอบ “ถึงจะพูดเช่นนี้ก็เถอะ แต่หากสตรีศักดิ์สิทธิ์เอาผิดขึ้นมา พวกเราคงรับไม่ไหว”
หญิงรับใช้นึกถึงบทลงโทษอันเข้มงวดของตำหนักธิดาเทพ ในที่สุดก็เลิกล้มความคิดที่จะไปสอดส่อง
ทั้งสองคนยืนเฝ้าประตูอย่างซื่อตรง ทันใดนั้นเพียงพอนน้อยสีขาวตัวหนึ่งก็เดินกะโผลกกะเผลกเข้ามา ขาข้างหนึ่งของเพียงพอนน้อยสีขาวเหมือนจะได้รับบาดเจ็บ กรงเล็บข้างหนึ่งของมันกุมผ้าเช็ดหน้า ส่วนกรงเล็บอีกข้างยกขึ้นปิดบาดแผล มันเช็ดน้ำตาป้อยๆ พลางก้าวเดินอย่างยากลำบาก
“โถ!” หญิงรับใช้อุทาน “เจ้าตัวน้อยตัวนี้มาจากที่ใดกัน เหมือนจะบาดเจ็บมาด้วย เจ้าดูสิ มันร้องไห้แล้ว!”
เพียงพอนน้อยสีขาว ‘ร่ำไห้’ อย่างน่าเวทนาขึ้นกว่าเดิม
หัวใจสาวน้อยของหญิงรับใช้ถูกความน่ารักล่อลวงสำเร็จแล้ว นางย่อตัวนั่ง อุ้มเพียงพอนน้อยสีขาวที่ ‘บาดเจ็บ’ เข้ามาในอ้อมแขน แล้วถอนหายใจอย่างคิดไม่ถึง “เพียงพอนน้อยตัวเล็กนักเชียว คงเป็นลูกเพียงพอน อาหรงเจ้าดูเร็ว”
ความระแวดระวังของสหายของหญิงรับใช้คนนี้มากกว่านางอยู่บ้าง ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าลูกเพียงพอนน้อยที่น่ารักน่าชังเช่นนี้ ไม่มีคนผู้ใดใจหินคลางแคลงสงสัยอะไรได้ สหายของนางย่อตัวลงมานั่งด้วย
หญิงรับใช้เอ่ยเสียงเบา “มันคงไม่ใช่เพียงพอนเมฆากระมัง หากเป็นเพียงพอนเมฆาก็ดียิ่งนัก เพียงพอนเมฆาเป็นเพียงพอนฉลาด เข้าใจภาษาคน”
เหอะ ข้าจะเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกับเจ้าโง่เง่าต้าไป๋ตัวนั้นได้อย่างไร
หญิงรับใช้เอ่ยขึ้นมาอีกว่า “จับมันไปขาย พวกเราก็จะรวยแล้ว”
ขายเจ้าสิ! ขายเจ้าให้หมดทั้งตระกูล!
“ข้าดูหน่อยซิว่ามันเป็นตัวผู้หรือตัวเมีย” หญิงรับใช้ยื่นมืออกมาแหวกขาของเสี่ยวไป๋
เสี่ยวไป๋ปิดเสี่ยวไป๋น้อยไว้มิด