หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 279-1 ซาลาเปาน้อยเข้าสอบ ยอดสามตัวน้อย
ตอนที่ 279-1 ซาลาเปาน้อยเข้าสอบ ยอดสามตัวน้อย
อาจารย์ถูกรอยยิ้มของเด็กน้อยทำให้หัวใจอบอุ่น ถึงแม้จะรูปร่างอ้วนท้วน แต่ใบหน้านี้งดงามมากจริงๆ เครื่องหน้าทั้งห้าวิจิตรบรรจงเสียยิ่งกว่าอะไร เรียกได้ว่าเป็นเด็กหญิงที่งดงามที่สุดเท่าที่เขาเคยพบมา รอยยิ้มของเด็กหญิงก็มีอิทธิพลอย่างมาก อาจารย์เพียงแค่มองยังรู้สึกคล้ายว่าอารมณ์ดีขึ้นแล้วสามส่วน
อาจารย์มองหน้าวั่งซูเสร็จก็หันไปมองจิ่งอวิ๋นกับหลิวเกอร์ เด็กทั้งสามแต่งกายแบบเดียวกัน ผูกผ้าบนศีรษะแบบเดียวกัน หากบอกว่าไม่ใช่พี่น้องกันน่ากลัวว่าคงไม่มีใครเชื่อ
“พวกเจ้าเป็นแฝดสามหรือ” อาจารย์ถาม
หลิวเกอร์เอามือเท้าสะเอว พูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียดจริงจังว่า “ข้าเป็นท่านอาของพวกเขา!”
อาจารย์ “…”
โชคดีที่ไม่ได้ถามว่าเขาใช่น้องชายคนเล็กหรือไม่…
อาจารย์ตรวจสอบป้ายเข้าสอบของเด็กทั้งสาม อายุไม่ถึงเกณฑ์ยังไม่พูดถึงแต่นี่ยังมีเด็กผู้หญิงอีก แต่เรื่องเช่นนี้น่ะนะ แค่ลองคิดดูก็รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น สำนักศึกษาหนานซานเป็นสำนักศึกษาที่ดีที่สุดในเมืองหลวง นอกจากคุณภาพการเรียนการสอนที่ล้ำหน้าไปไกลแล้วนั้น ความยุติธรรมและถูกต้องเหมาะสมก็สูงที่สุดในหมู่สำนักศึกษาด้วยกัน ถึงแม้จะไม่กล้าพูดว่าไม่เคยมีการใช้เส้นสายมาก่อน แต่หากจะทำก็ต้องเข้าทางคนที่แม้แต่อธิการยังต้องยอมรับอยู่เงียบๆ
อธิการยังนิ่งเงียบ แล้วเขาจะจู้จี้ไปไย!
อาจารย์ปล่อยให้ทั้งสามเข้าไปอย่างใจกว้าง
ผู้เข้าสอบโดยรอบมองซาลาเปาทั้งสามด้วยสายตาประหลาด ตอนแรกที่เห็นเด็กน้อยสามคนนี้ยังคิดว่าพวกเขามาส่งพี่ชายเสียอีก ใครจะคิดว่าพวกเขามาร่วมเข้าสอบด้วย นี่เป็นการสอบของผู้ใหญ่ เด็กยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมพวกนี้มาร่วมสนุกอะไรกัน?
ที่น่ากล่าวถึงก็คือ ในการสอบเข้าเรียนครั้งนี้มีผู้เข้าสอบคนสำคัญอยู่คนหนึ่ง ซึ่งก็คือปั้งเหยี่ยนน้อยของการสอบเสินถงเมื่อครั้งที่แล้ว – คุณชายน้อยตระกูลลิ่น
อันที่จริงคุณชายน้อยตระกูลลิ่นก็ยังอายุไม่เต็มสิบขวบเช่นกัน ยังขาดอีกหนึ่งเดือน แต่เพราะคะแนนอันเลอเลิศทำให้ได้โอกาสในการเข้าสอบครั้งนี้เป็นกรณีพิเศษ อาจารย์ทั้งสำนักศึกษาเห็นชอบในเรื่องนี้ จึงมีความถูกต้องเหมาะสมอย่างมาก
คุณชายน้อยตระกูลลิ่นเกิดในตระกูลมีชื่อเสียง ทั้งยังเป็นหลานชายสายหลักของท่านผู้อาวุโสลิ่นผู้เป็นบัณฑิตขงจื้อแห่งยุค เขาได้รับการสั่งสอนจากท่านผู้อาวุโสลิ่นด้วยตนเอง มีความรู้ความอ่านล้ำเลิศ ในเมืองหลวงนับว่าพอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง การที่เขามาร่วมสอบจะต้องได้อันดับหนึ่งอย่างแน่นอน และผู้เข้าสอบที่ได้อันดับหนึ่งจะได้รับเงินรางวัลจำนวนมหาศาล เงินรางวัลจำนวนนี้ถึงจะนำมาจ่ายค่าเล่าเรียนแล้วก็ยังมีเหลือ จึงเท่ากับได้เข้าเรียนโดยไม่ต้องเสียเงิน
ครอบครัวคุณชายน้อยตระกูลลิ่นไม่ขัดสนเงินทอง แต่เงินรางวัลนี่นับเป็นเกียรติ ดังนั้นอันดับหนึ่งนี้เขาจะต้องคว้ามาให้ได้
สมัยสอบเสินถง สนามสอบของคุณชายน้อยตระกูลลิ่นไม่ได้อยู่ที่สำนักศึกษาหนานซาน ดังนั้นคุณชายน้อยตระกูลลิ่นจึงไม่เคยพบจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูมาก่อน ขณะที่เด็กทั้งสามเดินผ่านเขาไปนั้น เขาแค่เพียงตกใจเล็กน้อยกับอายุของพวกเขา แต่ไม่ได้เก็บมาใส่ใจนัก
ทว่า เรื่องที่มีเด็กอายุห้าขวบผ่านด่านทดสอบหกประตูได้ทั้งหมดนั้น เขาเคยได้ยินคนเอ่ยถึงมาก่อน เขาที่เป็นหลานชายที่ท่านปู่ภูมิใจที่สุดยังผ่านด่านทดสอบเพียงห้าประตูเท่านั้น ท่านปู่ของเขาเคยชื่นชมเด็กผู้นั้นอย่างมาก บอกว่าหากไม่ใช่เพราะขาดการสอบไปครั้งหนึ่ง ไม่แน่ว่าเขาอาจได้เป็นจ้วงหยวนน้อยไปแล้ว ส่วนตนที่เป็นปั้งเหยี่ยน ก็จะเป็นได้เพียงทั่นฮวาน้อย ท่านปู่เป็นคนที่มีความเย่อหยิ่งไม่กล่าวชมใครพร่ำเพรื่อ แม้แต่ตนยังไม่เคยได้รับการชื่นชมจากเขาถึงเพียงนี้ ทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้ ในใจเขามีความรู้สึกไม่ยอมแพ้ขึ้นมาเล็กน้อย ดังนั้นเขาจึงจำชื่อเด็กคนนั้นได้ – จิ่งอวิ๋น
ที่ต่างจากห้องสอบเดี่ยวของการสอบเสินถงก็คือ การสอบเข้าเรียนของสายบุ๋นนั้นอยู่กลางแจ้ง ผู้เข้าสอบนับร้อยคนนั่งขัดสมาธิกันบนพื้นหญ้า ตรงหน้าเป็นโต๊ะตัวยาว บนโต๊ะยาวมีพู่กัน หมึก กระดาษและแท่นฝนหมึกเตรียมให้ครบครัน
อาจารย์คุมสอบอ่านประกาศกฎการสอบ ระหว่างทำสอบห้ามส่งเสียงดัง ห้ามเดินไปเดินมา ห้ามทุจริต ห้ามยื่นหน้าไปมองโต๊ะอื่น มิเช่นนั้นหากพบเห็น จะถูกริบกระดาษคำตอบและตัดสิทธิ์การสอบทันที
ข้างหน้าสนามสอบมีแท่นสูงประมาณหนึ่งเมตรตั้งอยู่ อาจารย์คุมสอบสามท่านนั่งอยู่ด้านบน คอยจับตาความเป็นไปในสนามสอบอย่างใกล้ชิด
คุณชายน้อยตระกูลลิ่นนั่งอยู่ตรงกลางแถวหน้าสุด องค์ชายน้อยจากซยงหนีว์กับผู้ติดตามสองคนนั่งแยกกันอยู่ในแถวที่สาม แถวที่เจ็ดและแถวสุดท้าย องค์ชายน้อยจากซยงหนีว์อ่านตัวอักษรของจงหยวนไม่ออกสักตัว แต่เขาจำที่อูซ่านบอกได้ ดังนั้นจึงจับพู่กันใช้ตัวอักษรชนเผ่าซยงหนีว์เขียนชื่ออูซ่านลงไป จากนั้นถึงได้เขียนตัวอักษรที่ตนเพิ่งรีบร้อนเรียนมาก่อนเข้าสอบ เขียนขาดเส้นนั้น ไม่มีจุดนี้ลงไปอย่างมั่วซั่ว
อาจารย์คุมสอบสองคนเดินลงมาในสนามสอบ อาจารย์คนหนึ่งหยุดชะงักข้างองค์ชายน้อยจากซยงหนีว์ องค์ชายน้อยจากซยงหนีว์คิดว่าตนเองมีพิรุธอะไรเลยตกใจจนเหงื่อแตกพลั่กไปหมด ยังดีที่อาจารย์ยืนอยู่ไม่นานเท่าไรก็เดินต่อไป
ส่วนอีกด้านหนึ่ง อูซ่านที่นั่งอยู่ข้างจิ่งอวิ๋นก็เขียนชื่อองค์ชายน้อยซยงหนีว์เสร็จแล้วเช่นกัน
จิ่งอวิ๋นไม่นิยมการฟ้องเรื่องประเภทนี้ จึงไม่ได้ยกมือขอให้ตรวจการทุจริตของอูซ่าน แต่แส้ของอูซ่านดูแปลกตา เขาเลยอดหันไปเหลือบมองไม่ได้ พอดีกับว่าในตอนนั้น อูซ่านก็หันมามองจิ่งอวิ๋นด้วยสายตาลับๆ ล่อๆ พอดีเช่นกัน จิ่งอวิ๋นถึงแม้จะไม่ได้พูดอะไรสักคำ แต่สายตาที่ดูมองทุกอย่างได้ทะลุปรุโปร่งนั้นก็ทำให้อูซ่านตระหนักได้ในทันใดว่าตนได้เผยพิรุธออกไปเสียแล้ว อูซ่านตกใจจนใจเต้นรัว ในขณะที่ในหัวกำลังเค้นสมองคิดว่าควรจะปิดปากเจ้าเด็กจงหยวนผู้นี้อย่างไรนั้น จิ่งอวิ๋นก็เบือนสายตาออกไปเรียบๆ
อูซ่านถึงกับปาดเหงื่อ!
เจ้าเด็กน้อยนี่ดูแล้วยังไม่หย่านมเลยด้วยซ้ำ เขารู้ได้อย่างไรว่าตนทุจริตการสอบ?
ที่น่าประหลาดยิ่งกว่านั้นคือ เขารู้แล้วแต่ก็ยังไม่ยกมือร้องเรียน!
เพราะเหตุใดกัน?
อูซ่านเข้าใจว่าเพราะเหตุใดอย่างรวดเร็ว
จิ่งอวิ๋นหยิบพู่กันเขียนกระดาษคำตอบในมือตนเสร็จอย่างรวดเร็ว ในตอนนั้นอูซ่านเพิ่งทำไปถึงข้อที่ห้า
จิ่งอวิ๋นหันมองอาจารย์คุมสอบที่อยู่ด้านบน อาจารย์ทั้งสามไม่มีใครมองมาทางนี้ จิ่งอวิ๋นลุกขึ้นเดินไปข้างๆ ที่นั่งน้องสาว เอากระดาษคำตอบที่ทำเสร็จแล้วไปให้ ก่อนจะเอากระดาษคำตอบเปล่าของน้องสาวที่นอนหลับน้ำลายไหลอยู่ไป แล้วกลับไปนั่งที่ของตนทั้งหน้าตาเฉย
เขาเพิ่งนั่งลง อาจารย์ที่คุมสอบก็กวาดตามองมาทางนี้พอดี เปลือกตาของจิ่งอวิ๋นไม่เหลือบขึ้นมองสักนิด
ลูกตาของอูซ่านเลยแทบถลนออกจากเบ้า
เขายังคิดว่าตนเองบ้าระห่ำมากแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะมีคนที่บ้าระห่ำยิ่งกว่าอยู่อีก!
อาจารย์คุมสอบเดินไปถึงโต๊ะแถวสุดท้าย ที่เขาเดินมาถึงตรงนี้เพราะแถวนี้มีผู้เข้าสอบจากซยงหนีว์ อาจารย์คุมสอบไม่เคยพบคนซยงหนีว์มาก่อนจึงเกิดสนใจเป็นพิเศษเท่านั้น ตอนอาจารย์คุมสอบมองอูซ่านนั้น เขากวาดมองเลยไปถึงเด็กน้อยทั้งสามที่นั่งอยู่แถวสุดท้ายด้วย เด็กหญิงผู้นั้นนอนหลับไปแล้ว น้ำลายไหลเต็มโต๊ะ กระดาษคำตอบถูกนางฟุบทับอยู่ ไม่รู้ว่าทำแล้วหรือยัง ส่วนกระดาษคำตอบของเด็กชายอีกสองคนนั้นยังว่างเปล่า…
อาจารย์คุมสอบส่ายหน้า เขาก็ว่าอยู่ เด็กเล็กขนาดนี้จะมาทำอะไรได้? เสียกระดาษไปเปล่าๆ
อาจารย์คุมสอบเดินไป
จิ่งอวิ๋นเปลี่ยนไปใช้อีกมือหนึ่งและเปลี่ยนลายมือทำข้อสอบที่เปื้อนน้ำลายน้องสาวไปเป็นดวง ในตอนนั้นอูซ่านตอบไปถึงข้อที่เก้าแล้ว
ในขณะที่อาจารย์ทั้งสามไม่ได้มองมาทางนี้อีกครั้งนั้น จิ่งอวิ๋นก็ลุกเดินไปเปลี่ยนกระดาษคำตอบกับกระดาษเปล่าของหลิวเกอร์
อูซ่านตกใจจนคางแทบจะหล่นไปอยู่ที่พื้น
ชาวจงหยวน เจ้ากำลังทุจริตการสอบอยู่นะ! ช่วยมีความเกรงกลัวอย่างคนทุจริตหน่อยได้หรือไม่!
เจ้าทำเสียประเจิดประเจ้อเพียงนี้ เจ้าจะให้ข้าคิดอย่างไร!
ข้าที่เป็นคนเห็นเจ้าทุจริตยังตื่นเต้นกว่าเจ้าที่เป็นคนทุจริตเลย! ไม่ยุติธรรมเกินไปแล้ว!
ในตอนนั้นเหลือเวลาอีกสองเค่อก็จะเก็บข้อสอบแล้ว อาจารย์คุมสอบเดินมาถึงแถวสุดท้ายอีกครั้ง เขาเหลือบมองกระดาษคำตอบของเด็กทั้งสามอีกที เด็กอ้วนผู้นั้นกับเด็กที่ผอมแห้งที่สุดทำข้อสอบเสร็จแล้ว แต่เหตุใดเจ้าเด็กนี้ยังไม่เขียนอะไรอีก
จิ่งอวิ๋นขยับพู่กัน “ในที่สุด” แค่เขียนตัวอักษรลงไปตัวเดียว อาจารย์คุมสอบก็ถึงกับนิ่งอึ้งไปทันที…
เวลาทำข้อสอบหนึ่งชั่วยามสิ้นสุดลงแล้ว ระหว่างนี้มีช่วงพักหนึ่งเค่อก่อนจะเข้าสู่การสอบช่วงที่สอง
ระหว่างช่วงพักนี้ ผู้เข้าสอบสามารถเดินไปมาได้อย่างอิสระและสามารถไปจัดการธุระหนักเบาของตนเองได้
จิ่งอวิ๋นพาน้องสาวกับหลิวเกอร์ไปที่ห้องสุขา ทั้งยังพาทั้งสองไปล้างมือ หยิบเอาถุงน้ำกับขนมที่ตนพกติดตัวมาให้ทั้งสองกินรองท้อง “อย่ากินเยอะเกินไป อีกเดี๋ยวยังมีสอบอีก”
ทั้งสองพยักหน้าอย่างว่าง่าย วั่งซูยามอยู่ที่บ้านเป็นผู้ยิ่งใหญ่ แต่ครั้นมาอยู่ข้างนอก จะเชื่อฟังคำพี่ชายตนเองโดยไม่รู้ตัว หลิวเกอร์เองก็เช่นกัน
จิ่งอวิ๋นเองก็ดื่มน้ำลงไปเล็กน้อย จากนั้นก็เก็บทุกอย่างให้เรียบร้อยแล้วไปยังสนามสอบถัดไป