หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 286-1 การค้นพบอันยิ่งใหญ่ ใกล้จะเข้าเรียน
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก
- ตอนที่ 286-1 การค้นพบอันยิ่งใหญ่ ใกล้จะเข้าเรียน
ตอนที่ 286-1 การค้นพบอันยิ่งใหญ่ ใกล้จะเข้าเรียน
ผลการสอบที่ออกมาเป็นสิ่งที่เฉียวเวยคาดไม่ถึงมาก่อนเลย จอมตะกละอย่างวั่งซูที่รู้จักตัวอักษรอยู่ไม่กี่ตัวนั่นเหตุใดถึงสอบได้ที่สองได้?
เฉียวเวยหันขวับไปมองบุตรชาย “จิ่งอวิ๋น!”
จิ่งอวิ๋นตอบหน้าตาเฉยว่า “วั่งซูสอบสายบู๊กับเลือกสอบได้ดีเลิศทั้งคู่ น้อยนักที่จะมีผู้เข้าสอบได้ดีเลิศหลายหัวข้อเช่นนี้”
ในความเป็นจริงการสอบสายบุ๋นของวั่งซูก็ใกล้เคียงดีเลิศมากแล้ว แต่ดูจากการเขียนพู่กันแล้ว ของจิ่งอวิ๋นเหนือกว่าอยู่ขั้นหนึ่ง
ในการสอบของผู้เข้าสอบใหม่ คะแนนการสอบสายบุ๋นนับเป็นสี่ส่วน การสอบสายบู๊กับการเลือกสอบอย่างละสามส่วน ดังนั้นต่อให้ได้ดีเลิศสองหัวข้อ จิ่งอวิ๋นก็ยังนำวั่งซูอยู่เล็กน้อย แต่ไม่ว่าอย่างไร การที่วั่งซูน้อยที่ไม่ได้เขียนอักษรสักตัว “สอบ” ได้ผลที่น่าตกใจเช่นนี้นับว่าสวรรค์คุ้มครองแล้ว
การสอบสายบุ๋นของอูซ่านทำได้ไม่เลว เดิมทีองค์ชายน้อยจากซยงหนีว์สามารถใช้ผลการสอบสายบู๊อันยอดเยี่ยมกับการเลือกสอบที่ดีเลิศของตนเขี่ยคุณชายน้อยตระกูลลิ่นไปแล้วช่วงชิงตำแหน่งที่สามมาครองได้ แต่ใครใช้ให้เขาถูกความโชคร้ายยั่วยุให้ไปท้าทายวั่งซูเข้าเล่า สุดท้ายก็ถูกจับโยนทิ้งไปจนไม่เห็นแม้แต่เงา ผลคะแนนดีเลิศจึงย่อมปลิวตามไปด้วย
องค์ชายน้อยจากซยงหนีว์ได้อันดับที่เก้าอย่างน่าเสียดาย
ผู้ปกครองของผู้เข้าสอบที่มีชื่ออยู่บนกระดานรีบเอาป้ายชื่อเข้าไปรายงานตัวในสำนักศึกษา ค่าเล่าเรียนของสำนักศึกษาหนานซานจ่ายเดือนละหนึ่งครั้ง เดือนละสามสิบตำลึง รวมค่าอาหาร ที่พักและค่าหนังสือ แต่พิจารณาถึงว่าอายุของเด็กน้อยทั้งสามยังเล็กเกินไป สำนักศึกษาจึงอนุญาตให้ไปกลับได้กรณีพิเศษ
จิ่งอวิ๋นได้เงินรางวัลเป็นเงินจำนวนมาก ถ้าหักค่าเล่าเรียนหนึ่งปีออกไปแล้วก็ยังเหลืออีกหลายสิบตำลึง หลายสิบตำลึงที่เหลือนี้พอที่จะซื้อหนังสือได้พอดี ดังนั้นจิ่งอวิ๋นจึงแทบจะไม่ต้องควักเนื้อเลย นี่คือข้อดีในการมีเด็กรักเรียนอยู่ในบ้าน
ต้าเหลียงไม่มีปิดเทอมฤดูหนาวฤดูร้อน ถ้าตัดวันเทศกาลตามประเพณีอย่างเทศกาลไหว้พระจันทร์ เทศกาลตวนอู่ที่หยุดเรียนหนึ่งวันแล้ว แต่ละเดือนจะหยุดทุกวันที่ลงท้ายด้วยเลขห้า อย่างวันที่ห้า วันที่สิบห้าและวันที่ยี่สิบห้า หนึ่งเดือนหยุดเรียนเพียงสามวัน คิดดูแล้วก็นับว่าหนักหนาเอาการ วันหยุดที่ยาวที่สุดคือช่วงตรุษจีนที่ยาวนานถึงหนึ่งเดือน
ที่น่าเอ่ยถึงก็คือ ผู้เข้าสอบจำนวนไม่น้อยมาจากต่างถิ่น ในยุคโบราณการเดินทางไม่สะดวกสบาย จากเมืองหลวงไปถึงแดนใต้ แค่เดินทางไปก็ใช้เวลาครึ่งเดือน กลับอีกครึ่งเดือน ซ้ำยังเป็นการเดินทางแบบเร่งรีบแล้วเสียด้วย ช่วงหยุดเทศกาลตรุษจีนเลยแทบจะถึงบ้านวันก่อนตรุษจีน กินเลี้ยงโต้รุ่งมื้อหนึ่ง วันขึ้นปีใหม่ก็ต้องรีบกลับมาเมืองหลวงแล้ว หากมีใครที่อยู่ไกลกว่านี้ เดินทางช้ากว่านี้ ใช้เวลาครึ่งปีก็ยังมี ตอนนั้นลุงเขยก็เป็นเช่นนี้ บ้านของเขาอยู่ไกลถึงเมืองเล็กๆ ทางตอนใต้ ไปกลับทีหนึ่งต้องใช้เวลาสามสี่สิบวัน เพื่อไม่ให้รบกวนการเรียน เขาจึงเลือกที่จะรั้งอยู่ในเมืองหลวง มีหลายปีที่อยู่ฉลองปีใหม่ที่บ้านตระกูลจี
ส่วนผู้เข้าสอบอย่างองค์ชายน้อยจากซยงหนีว์ กลับบ้านต้องใช้เวลาหนึ่งเดือนกว่า มาเมืองหลวงอีกหนึ่งเดือนกว่า ไปเยี่ยมครอบครัวทีหนึ่ง เวลาสามเดือนก็หายไปแล้ว
หลังจากรายงานตัวเสร็จก็เป็นเวลาบ่ายแล้ว เด็กน้อยทั้งสามหิวจนท้องร้องจ๊อกๆ เฉียวเวยพาเด็กทั้งสามไปกินมื้อกลางวันที่ภัตตาคารฝั่งตรงข้ามแล้วจึงค่อยนั่งรถม้ากลับบ้านตระกูลจี
เด็กทั้งสามคนสอบติดแล้ว คนทั้งบ้านต่างดีใจกันยิ่งนัก โดยเฉพาะเมื่อได้รู้ว่าอันดับของพวกเขาอยู่ลำดับต้นๆ เช่นนี้ โดยเฉพาะจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูที่เหมาได้ที่หนึ่งที่สองมา ความยินดีในส่วนนั้นจึงยิ่งมากขึ้นไปอีก
สตรีในตระกูลรีบมากันที่เรือนลั่วเหมย
จีซวงอุ้มคุณชายห้ามาด้วย นางหอมมือน้อยๆ ของเขาพลางชื่นชมว่า “หลานตัวน้อยเก่งมากเลยใช่ไหม? สอบได้ที่หนึ่ง…”
จิ่งอวิ๋นหันไปมองคุณชายห้าที่อยู่ในห่อผ้า แค่คิดว่าอีกหน่อยต้องเรียกเด็กทารกผู้นี้ว่าท่านอา เขาก็รู้สึกไม่ดีไปหมดแล้ว…
จีเหล่าฮูหยินดีใจกว่าใครเพื่อน นางเอาของที่เก็บไว้ก้นหีบออกมาเป็นรางวัลให้เด็กทั้งสามและให้เฉียวเวยด้วย การที่เฉียวเวยดีต่อบุตรของตนนั้นเป็นเรื่องที่ถูกที่ควรอยู่แล้ว แต่การที่นางปฏิบัติกับหลิวเกอร์เช่นเดียวกันนั้น ควรค่าแก่การชื่นชม
หลี่ซื่อเองก็ให้ของเฉียวเวยกับพวกเด็กๆ ไปไม่น้อยเช่นกัน
คุณชายห้าหลับไปแล้ว จีซวงจึงส่งบุตรของตนให้แม่นมอุ้มกลับไป นางจับพู่ระย้าของปิ่นปักผมแล้วเอ่ยเสียงออดอ้อนว่า “ท่านแม่กับพี่สะใภ้รองลำเอียงเกินไปหรือไม่ การที่เด็กสามคนสอบเข้าเรียนในสำนักศึกษาได้ เป็นความดีความชอบของเสี่ยวเวยเพียงคนเดียวหรือ”
จีเหล่าฮูหยินถลึงตาใส่นางพลางเอ่ยว่า “เจ้ามีส่วนร่วมด้วยหรืออย่างไร”
ถึงแม้สีหน้าจะเต็มไปด้วยความเหนื่อยหน่าย แต่น้ำเสียงกลับเจือแววเอ็นดู ถึงอย่างไรจีซวงก็เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของนาง หากนางไม่รักจีซวง ครานั้นก็คงไม่เห็นด้วยที่จะให้จีซวงอยู่ในบ้านตระกูลจีต่อ และแบ่งทรัพย์สมบัติตระกูลจีที่เป็นของบุตรชายให้นางส่วนหนึ่ง
จีซวงทำเสียงหึ “หากไม่ใช่ท่านเขยที่ไปหาอธิการแล้วเกลี้ยกล่อมจนปากแทบฉีก เด็กทั้งสามคงไม่มีโอกาสกระทั่งเข้าสอบด้วยซ้ำ”
เฉียวเวยระบายยิ้มเล็กน้อย “เรื่องในครั้งนี้ต้องขอบคุณท่านเขยแล้วจริงๆ”
จีซวงก็ไม่บ่ายเบี่ยงสักนิด “แน่นอนว่าต้องขอบคุณท่านเขย ถ้าไม่มีท่านเขยคอยช่วยอยู่ข้างใน พวกเด็กๆ จะได้เข้าสนามสอบและสอบได้ดีเพียงนี้หรือ ท่านเขยต้องไปพูดกับอธิการไม่น้อยเลยเชียวนะ”
จีเหล่าฮูหยินจิ้มหน้าผากอีกฝ่าย “เอาล่ะๆ รู้แล้วว่าท่านเขยของเจ้าช่วยเอาไว้มาก ไม่ต้องชื่นชมแล้ว!”
จีซวงยิ้มอย่างได้ใจ
เฉียวเวยนึกขันอยู่ในใจ ท่านป้าหนอ ท่านถูกท่านลุงเขยวางยาเข้าให้แล้วจริงๆ จะทำอะไรก็กลัวท่านลุงเขยถูกรังแกไปหมด ท่านลุงเขยถึงแม้จะเป็นเขยที่แต่งเข้าตระกูล แต่จีซวงรักใคร่เขาราวกับอะไรดี แม้แต่นายท่านที่เรือนสองเรือนสามก็ยังสู้ท่านลุงเขยผู้นี้ไม่ได้
พวกเขาพูดคุยกันอย่างชื่นมื่นอยู่พักใหญ่ วันพรุ่งนี้เป็นวันที่ยี่สิบห้าพอดี ซึ่งเป็นวันหยุดโรงเรียน วันมะรืนยังต้องไปเข้าเรียน หลี่ซื่อจึงนัดกับเฉียวเวยจะออกไปซื้อหาพู่กัน หมึก กระดาษกับแท่นฝนหมึกชุดใหม่ให้เด็กๆ
ตกดึก หมิงซิวกลับมาจากประชุมราชการ พอเห็นว่าบนโต๊ะมีแต่อาหารดีๆ ก็รู้ทันทีว่านางอารมณ์ดีพอสมควร เฉียวเวยกำลังจัดวางตะเกียบ เขาก็เดินเข้าไปกอดนางเบาๆ จากด้านหลัง แล้วเอากลีบปากแตะที่แก้มนาง น้ำเสียงที่ทุ้มต่ำและมากล้นด้วยเสน่ห์ดังขึ้นที่ข้างหู “ถ้าให้ข้าเดา ลูกชายเราสอบได้ที่หนึ่ง?”
น้ำเสียงของเขาน่าฟังเสียงจนหูนางแทบตั้งครรภ์ เฉียวเวยพลันใจอ่อนยวบ พยายามตั้งสติ วางตะเกียบลงแล้วบอกว่า “ท่านลองเดาต่อสิว่าลูกสาวเราสอบได้ที่เท่าไร”
“ที่สอง?” จีหมิงซิวกระชับกอดนาง
มือที่จัดวางตะเกียบอยู่ของเฉียวเวยพลันชะงัก “ท่านรู้ได้อย่างไร”
เขารู้ได้อย่างไร? วันต่อมาหลังจากสอบเสร็จ สายตาที่ขุนนางทั้งหลายใช้มองเขาก็ดูแปลกไปแล้ว เขาแค่ลองสอบถามดูก็รู้ว่าบุตรสาวตัวน้อยของเขากลายเป็นคนมีชื่อเสียงในสำนักศึกษาไปแล้ว
ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนที่เคยสอบเขาสำนักศึกษาหนานซานมาก่อน รู้ว่าต่อให้อาศัยแค่การสอบสายบุ๋นกับการเลือกสอบ วั่งซูน้อยก็สามารถสอบเข้าไปได้ แต่ต้องไม่ได้อันดับที่ดีเท่านี้แน่นอน ดูท่าบุตรชายคงลงแรงไปตอนสอบไม่น้อย
ซาลาเปาน้อยทั้งสองกลับมาเรือนลั่วเหมยพร้อมเนื้อตัวที่ชุ่มเหงื่อ
“ท่านพ่อ!” วั่งซูโผเข้าไปกอดจีหมิงซิว เอาหน้าผากที่ชุ่มเหงื่อเช็ดกับอาภรณ์ที่เพิ่งเปลี่ยนมาใหม่ของบิดาตนอย่างไม่เกรงใจสักนิด
นี่หากเปลี่ยนเป็นเด็กคนอื่น จีหมิงซิวคงคว้าคอเสื้อมาจับตัวโยนออกไปแล้ว แต่บุตรของตนทำอะไรก็ดีไปหมด จีหมิงซิวหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดเหงื่อบุตรสาว ไม่นานจิ่งอวิ๋นเองก็ยื่นศีรษะมาให้เช่นกัน จีหมิงซิวหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนใหม่มาเช็ดให้บุตรชาย “ไปเรียกท่านอารองมากินข้าวที”
“ข้าไม่กินหรอก!” ใต้เท้าเจ้าสำนักนั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็นพลางกรอกตาบน
จิ่งอวิ๋นเอ่ยกล่อมอย่างใจเย็น “แต่นี่เย็นมากแล้วนะ ถ้าไม่กินเดี๋ยวท้องจะหิวได้”
ใต้เท้าเจ้าสำนักส่งเสียงหึ “ยกอาหารมาที่ห้องข้านี่ ข้าจะกินคนเดียว!”
จิ่งอวิ๋น “ท่านพ่อบอกว่าจะกินด้วยกัน”
ใต้เท้าเจ้าสำนักตอบอย่างอารมณ์ไม่ดีว่า “เขาบอกจะกินด้วยกันก็ต้องกินด้วยกันงั้นรึ อย่างไรข้าก็จะไม่ไปกินด้วย เขาจะทำอะไรข้าได้! ถ้าเก่งนักก็มาตีข้าสิ!”
พอพูดจบเขาก็รู้สึกว่ารถเข็นของตนโยก พอเพ่งมองดีๆ เลยเห็นว่าเด็กน้อยตัวอ้วนกลมไม่รู้เดินมาข้างหลังเขาตั้งแต่เมื่อไร เวลานี้กำลังอุ้มรถเข็นเขาขึ้นมา…
หลังจากกินข้าวเสร็จ เด็กๆ กลับไปที่ห้อง สองสามีภรรยาอาบน้ำชำระร่างกายเสร็จก็ทิ้งตัวนอนบนเตียงใหญ่ที่อ่อนนุ่ม เรื่องน่ารื่นรมย์ย่อมไม่ต้องพูดถึง หลังจากเมฆฝนผ่านไปพ้น เฉียวเวยก็นอนหอบหายใจอยู่ในอ้อมแขนสามี
“หมิงซิว”
พออ้าปาก ก็คล้ายว่าไม่ใช่เสียงของตนเอง
จีหมิงซิวแค่ได้ยินน้ำเสียงเช่นนี้ท้องน้อยก็เกิดเกร็งขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ฝ่ามือใหญ่ของเขาวางอยู่ตรงบั้นเอวที่อ่อนนุ่มของนาง ไล้เล็มหาริมฝีปากที่ถูกจูบจนบวมแดงของอีกฝ่ายแล้วขบเม้มเบาๆ เดิมทีแค่เพียงอยากจะแทะเล็มเล็กน้อย แต่กลับกินเท่าไรก็ไม่รู้รส ชิมอย่างไรก็ชิมไม่พอสักที
เฉียวเวยกำลังคิดจะพูดเรื่องธุระจริงจังกับเขา ยังไม่ทันได้เอ่ยปาก ริมฝีปากนางก็ถูกกักกั้นไว้เสียแล้ว…
หลังจากเมฆฝนรอบนี้ผ่านไป สมองของเฉียวเวยก็ปวกเปียกไปหมด มีหรือจะยังจำได้ว่าตนอยากพูดอะไรกับเขา นางขยับหาท่าที่สบายในอ้อมแขนของสามี หลับตาลงแล้วหลับสนิทไปทันที
ภายในห้องหลักของจวนเหนือ จีซวงกับท่านเขยฉินก็เตรียมจะเข้านอนกันแล้วเช่นกัน เจ้านายบ้านตระกูลใหญ่ไม่จำเป็นต้องให้นมบุตรเอง แต่จีซวงกับท่านเขยฉินอายุปูนี้กันแล้วเพิ่งได้บุตรชายหัวแก้วหัวแหวนผู้นี้มา ย่อมต้องรักใคร่เสียยิ่งกว่าอะไร ตอนกลางคืนก็ให้บุตรนอนอยู่ในห้องของตนด้วย
แต่คืนนี้ บุตรของพวกเขาไม่อยู่
ท่านเขยฉินมองเตียงที่ว่างเปล่าแล้วถามว่า “ซวงเอ๋อร์ ลูกชายเล่า”
จีซวงระบายยิ้มยั่วยวน “ข้าให้แม่นมอุ้มลูกออกไปแล้ว”
“แล้วจะอุ้มกลับมาเมื่อไร” ท่านเขยเฉียวถาม
ดวงตาคู่งามของจีซวงพลันเปลี่ยน เดินไปตรงหน้าอีกฝ่ายแล้วเอามือวางลงบนหน้าอกเขา “พรุ่งนี้เช้า”
ท่านเขยฉินอึ้งไป “พรุ่งนี้เช้า? เช่นนั้นคืนนี้…”
จีซวงอมยิ้มมองอีกฝ่ายพลางเอ่ยเสียงหวานว่า “คืนนี้…มีแค่พวกเราสองคน”
ท่านเขยฉินจับมือนางพลางยิ้มอบอุ่น “เจ้าเพิ่งออกจากอยู่เดือน ร่างกายยังปรับสมดุลได้ไม่ดีเลย ข้ากลัวจะทำเจ้าเจ็บ”
จีซวงพูดตัดพ้อว่า “แต่ท่านไม่ได้แตะต้องตัวข้ามานานแล้วนะ”
ท่านเขยฉินจับมืออีกฝ่ายไว้แน่น อีกมือหนึ่งประคองใบหน้านางไว้แล้วเอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ข้าก็อดทนเพื่อเจ้าอย่างไร เจ้าไม่ใช่คนอายุยี่สิบกว่าปี การคลอดบุตรทำร่างกายเสียหายหนักเกินไป หากข้ายังจะทรมานเจ้าอีก เจ้าจะทนรับไหวได้อย่างไร”
ริมฝีปากของจีซวงยกสูงขึ้น แต่ไม่นานก็หุบยิ้มแล้วเอ่ยอย่างเป็นกังวลว่า “แต่ถ้าเอาแต่ห้ามท่านอย่างนี้ ท่านจะไม่ทรมานหรือ ถ้าท่านทนไม่ไหวจริงๆ ข้าจะให้เถาจือมาปรนนิบัติท่าน”
ท่านเขยฉินพลันหน้าขรึม “เจ้าเห็นข้าเป็นคนเช่นไร เจ้าเหน็ดเหนื่อยคลอดบุตรให้ข้าแทบตาย แต่ข้ากลับไปมีความสุขในห้องสตรีนางอื่น ข้ายังเป็นคนอยู่รึไม่ อีกอย่างนอกจากเจ้าแล้ว ข้าไม่อยากแตะต้องตัวสตรีนางใดทั้งนั้น”
ใจของจีซวงถูกความหวานของเขาเล่นงานจนเกือบหลอมละลาย นางก้มหน้าลงอย่างเขินอาย “ข้าแก่แล้ว”
ท่านเขยฉินเพ่งมองนาง “แก่ที่ไหนกัน เห็นๆ อยู่ว่าเหมือนวันแต่งงานอย่างไรอย่างนั้น”
จีซวงทุบเขาให้ทีหนึ่ง “ปากหวานจริงเชียว!”
ท่านเขยฉินจับมือนางไว้ มองอีกฝ่ายอย่างลึกซึ้งขณะเอ่ยว่า “เจ้าไม่ใช่ว่าไม่รู้ว่าข้าโกหกไม่เป็น เจ้าไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆ สวยอย่างไรก็สวยอย่างนั้น”
จีซวงคิดอะไรขึ้นมาได้จึงทำเสียงหึด้วยความไม่พอใจ “ข้าสวย? เช่นนั้นคราแรกเหตุใดถึงไม่เห็นท่านจะมาเกี้ยวข้าเลย”
ท่านเขยฉินรีบบอกว่า “บุรุษกับสตรีห้ามใกล้ชิดกัน ข้าเป็นเพียงบัณฑิตยากไร้ จะกล้าหมายปองคุณหนูตระกูลจีได้อย่างไร แค่ข้าแอบมองเจ้ายังรู้สึกว่ากำลังดูหมิ่นเจ้าเลย”
“เช่นนั้นท่านได้แอบมองข้าบ้างรึไม่กันแน่” จีซวงถาม
ท่านเขยฉินมองหน้านางแล้วยิ้มน้อยๆ “อยากฟังความจริงหรือคำโกหกเล่า”
จีซวงตั้งใจเอ่ยว่า “คำโกหก”
ท่านเขยฉินจึงตอบว่า “ไม่เคยแอบมองเลย”
ถ้าเช่นนั้นหากแปลกลับมาไม่เท่ากับว่าแอบมองมาตลอดหรอกหรือ
ในใจจีซวงหวานล้ำเกินจะบรรยาย นางเขยิบเข้าใกล้อ้อมแขนของสามี กอดเอาอีกฝ่ายไว้แน่น “สามี เรื่องที่น่ายินดีที่สุดในชีวิตของข้าก็คือการแต่งงานกับท่าน หากไม่มีท่าน เวลานี้ข้ายังไม่รู้เลยว่าจะมีชีวิตเช่นไร”
ท่านเขยฉินรำพึงรำพันว่า “คำพูดพวกนี้ข้าควรเป็นคนพูดถึงจะถูก เจ้างดงามเพียงนี้ ฉลาดเพียงนี้ มากคุณธรรมเพียงนี้ ผู้ชายดีๆ ทั้งเมืองหลวงเป็นตัวเลือกของเจ้าได้ทั้งสิ้น ไม่ว่าผู้ชายคนใดแต่งเจ้าไปล้วนต้องรักใคร่เจ้าปานประหนึ่งแก้วตาดวงใจทั้งสิ้น ไม่เหมือนกับข้า หากข้าไม่ได้รั้งอยู่ที่เมืองหลวง ไม่ได้มาพบเจ้า เช่นนั้นชีวิตที่ดีที่สุดของข้าก็คงเป็นการกลับไปเปิดสถานศึกษาที่บ้านเกิด แต่งงานกับหญิงชาวบ้านและมีลูกสืบสกุล”
จีซวงจินตนาการภาพเขาแต่งงานกับหญิงชาวบ้านแล้วในใจก็คล้ายถูกเข็มทิ่มแทง จึงยิ่งกอดอีกฝ่ายแน่นขึ้น “ท่านยังจำได้หรือไม่ว่าตอนนั้นคนในตระกูลต่อต้านพวกเราอย่างไรบ้าง”
ท่านเขยฉินตอบว่า “ข้าจำได้ ข้าจำได้ทั้งสิ้น เป็นเจ้าที่ยืนหยัดมาตลอด ไม่อย่างนั้นพวกเราคงไม่ได้มาอยู่ด้วยกัน”
น้ำเสียงจีซวงฟังดูไม่พอใจ “เวลานี้เจ้ารู้แล้วหรือว่าข้าลำบาก ตอนนั้นเจ้าไม่พูดอะไรเลยสักคำ!”
ท่านเขยฉินประคองใบหน้านางไว้ “เวลานั้นข้ารู้สึกจริงๆ ว่าตนไม่คู่ควรกับเจ้า ถึงแม้ข้าจะมีใจรักเจ้า ทว่า…สำหรับข้าแล้วเจ้าคู่ควรกับบุรุษที่ดีกว่านี้”
จีซวงเอ่ยด้วยความน้อยใจ “มือข้างหนึ่งข้าจับท่านไว้ อีกข้างหนึ่งก็ต้องคอยเกลี้ยกล่อมคนในตระกูลเหล่านั้น… โดยเฉพาะพี่สะใภ้ใหญ่ของข้า! ท่านไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนั้นนางพูดอะไรกับข้าบ้าง”
ท่านเขยฉินสายตาสั่นไหว “อย่างนั้นหรือ นางพูดอะไรกับเจ้าบ้าง?”
เรื่องเหล่านี้จีซวงไม่คิดจะพูดให้สามีของตนฟัง เพราะถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องน่าฟังอะไร พูดไปมีแต่ทำร้ายน้ำใจกันเปล่าๆ
จีซวงผายมือออก “ไม่มีอะไร ผ่านไปแล้วทั้งนั้น”
ท่านเขยฉินคลี่ยิ้ม “องค์หญิงสิ้นไปตั้งหลายปีเพียงนี้แล้ว หรือเจ้ายังกลัวว่าข้าจะโกรธนางเพราะคำพูดเหล่านี้หรือ พวกเราเป็นสามีภรรยากัน ระหว่างกันไม่มีอะไรที่พูดให้กันฟังไม่ได้ เจ้าเอาแต่เก็บไว้ในใจ หากไม่ดีต่อร่างกายไปข้าคงจะเสียใจแย่”
จีซวงลังเลเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจอย่างจนปัญญา “อันที่จริงก็ไม่มีอะไรหรอก แค่พี่สะใภ้ใหญ่บอกว่าท่านไม่ใช่คู่ครองของข้า”
ท่านเขยฉินชะงักไป สายตามองไปยังแสงเทียนที่สั่นไหว “อย่างนั้นหรือ”