หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 287-2 บังเอิญเจอ จับท่านเขยได้คาหนังคาเขา
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก
- ตอนที่ 287-2 บังเอิญเจอ จับท่านเขยได้คาหนังคาเขา
ตอนที่ 287-2 บังเอิญเจอ จับท่านเขยได้คาหนังคาเขา
จนกระทั่งแผ่นหลังของซาลาเปาน้อยทั้งสามเดินหายลับไปแล้ว ทั้งสองถึงได้หมุนตัวจากไป จีหมิงซิวไปประชุมราชการ เฉียวเวยอาศัยเวลาว่างไปที่บ้านตระกูลเฉียว ตอนไปเยี่ยมเยียนอาสี่กับฮูหยินสี่ ย่อมอดไม่ได้ที่จะพูดถึงเรื่องท่านตากับท่านแม่ เฉียวเวยไม่ได้เอ่ยถึงฐานะของทั้งสองในชนเผ่าถ่าน่า บอกเพียงว่าตนมีท่านตาที่ร่ำรวยมาก ท่านแม่ก็แข็งแรงดีทุกอย่าง อีกไม่นานท่านแม่กับท่านพ่อก็จะกลับมาเมืองหลวง
ทั้งสองดีใจกันยิ่งนัก
อาสี่หยิบสมุดบัญชีของหอหลิงจือออกมาให้เฉียวเวยดู เฉียวเวยใช้เวลาหนึ่งชั่วยามในการดูสมุดบัญชีจนจบ ต้องบอกเลยว่าการที่อาสี่ถูกตระกูลเฉียวทิ้งให้ออกไปอยู่ข้างนอกเสียหลายปี ให้เป็นเพียงหลงจู๊ในพื้นที่เล็กๆ นั้นนับว่าเสียดายความสามารถเขาแล้วจริงๆ
ความสามารถในการทำการค้าของอาสี่ไม่เป็นรองเถ้าแก่หรงเลย การที่หอหลิงจือไปอยู่ในความดูแลของเขา ไม่ถึงสองปีก็สามารถพลิกฟื้นภาพลักษณ์อันเหลวแหลกที่เรือนรองทำไว้กลับมาได้แล้ว เมื่อชื่อเสียงปากต่อปากดีขึ้น รายได้จึงเพิ่มสูงขึ้นเป็นก้าวกระโดด
สูตรยาบางสูตรของหอหลิงจือเป็นสูตรที่ท่านแม่นางขโมยมาจากตำหนักธิดาเทพ ตำหนักธิดาเทพไม่ใช่ตำหนักที่ดีอะไร แต่สูตรยานั้นนับว่าเป็นเลิศ รักษาโรคซับซ้อนได้ไม่น้อย
เมื่อกลับออกมาจากจวนเอินปั๋ว เฉียวเวยก็ไปที่ศาลบรรพชนเพื่อจุดธูปไหว้ท่านย่า
ตอนเฉียวเวยไปจุดธูปให้ท่านย่าที่ศาลบรรพชนนั้น กลับไม่รู้เลยว่าจีซวงแทบจะถล่มบ้านชิงเหลียนอยู่แล้ว
เรื่องนี้ต้องเริ่มจากเมื่อคืนท่านเขยฉินไม่ได้กลับบ้าน ทำให้จีซวงต้องนอนเปลี่ยวเหงาอยู่คนเดียว นางพลิกตัวไปมานอนไม่หลับอยู่บนเตียง เดี๋ยวให้แม่นมอุ้มบุตรออกไป อีกเดี๋ยวก็ให้อุ้มกลับมา ไม่รู้ว่าเพราะนางให้อุ้มกลับไปกลับมาเช่นนี้หลายครั้งเกินไปหรืออย่างไร เด็กน้อยเริ่มร้องไห้งอแงมาตั้งแต่กลางดึก นางยังคิดว่าเด็กหิวนม จึงให้แม่นมป้อนนมให้เขา แต่ไม่ว่าจะพยายามป้อนอย่างไร ก็จะหยุดร้องแค่ช่วงนั้น แต่พอปากกลับมาว่างก็ร้องไห้จ้าขึ้นมาอีก
แม่นมทั้งสามเคยเลี้ยงเด็กมากันทุกคน แค่ดูจะอาการของเด็กก็รู้ว่าไม่สู้ดี ลองจับตามเนื้อตัวดูก็คล้ายว่าร้อนกว่าปกติอยู่เล็กน้อย แม่นมคนหนึ่งพูดขึ้นว่าน่ากลัวเด็กจะป่วยเสียแล้ว จีซวงจึงโมโหจนไล่ตะเพิดแม่นมคนนั้นออกไป
“ใครกล้าแช่งลูกข้า ไสหัวออกไปจากบ้านตระกูลจีให้หมด!”
จีซวงกำลังโมโหอะไร โมโหเรื่องที่บุตรของตนร้องไห้ไม่หยุดจนนางไม่รู้จะทำอย่างไร หรือโมโหที่ว่าในขณะที่ตนกำลังร้อนใจแทบเป็นแทบตาย แต่กลับตามหาบิดาของบุตรชายไม่พบ
แม่นมกับบ่าวไพร่ทั้งหลายต่างรู้แก่ใจกันดี แต่ไม่มีใครกล้าบอกให้นางฟัง
เรือนเหนือผ่านค่ำคืนนั้นมาพร้อมความวุ่นวาย พอฟ้าสว่าง เด็กร้องไห้เหนื่อยแล้วจึงหลับไป จีซวงคิดจะไปพักผ่อนเช่นกัน แต่ในช่วงเวลานั้นนางกลับเห็นตุ่มบนใบหน้าของบุตรชาย นี่ไม่ได้เกิดจากคำ “สาปแช่ง” ของแม่นม แต่นางเป็นคนเห็นเองกับตา
จีซวงไม่เคยมีผื่นหน้าตาเช่นนี้ขึ้นมาก่อน ไม่รู้ว่าคืออะไร แต่บุตรชายเอาแต่ร้องไห้ ซ้ำตัวยังร้อนจัด น่าจะไม่ใช่สัญญาณที่ดีอะไร
“ใครก็ได้!” นางตะโกนเรียก
“ฮูหยิน” เถาจือเดินเข้ามา
จีซวงบอกว่า “เจ้ารีบไปที่เรือนชิงเหลียนที ไปเชิญฮูหยินน้อยมาที่นี่หน่อย!”
“เจ้าค่ะ!”
เถาจือไปแล้ว
แต่น่าเสียดายที่เฉียวเวยออกจากบ้านไปแล้ว
จีซวงมองท้องฟ้าที่เริ่มมีแสงสว่างให้เห็นก่อนจะเอ่ยอย่างเกินจริงว่า “นี่ฟ้ายังไม่ทันสว่างเลย เหตุใดนางจึงออกไปข้างนอกแล้วเล่า”
เถาจือตอบเสียงเบาว่า “วันนี้เป็นวันที่นายน้อยทั้งสามไปเข้าเรียนเจ้าค่ะ”
เหตุใดเรื่องต้องมาเกิดวันเดียวกับที่เด็กพวกนั้นเข้าเรียนด้วยนะ จีซวงหงุดหงิดใจยิ่งนัก นางสั่งเถาจือว่า “เจ้าออกไปเชิญท่านหมอข้างนอกมาที!”
เดิมทีในละแวกบ้านตระกูลจีมีหอหลิงจืออยู่ แต่หอหลิงจือแห่งนั้นมีเฉียวเจิงอยู่โยงอยู่คนเดียว พอเฉียวเจิงไม่อยู่ จึงต้องย้ายท่านหมอจากที่อื่นมาแทน แต่ท่านหมอคนเดียวต้องตรวจโรคให้คนไข้ที่เข้ามาหามากเพียงนั้น จึงไม่อาจแยกร่างมาตรวจถึงที่บ้านให้ได้ จำต้องอุ้มเด็กไปหา
จีซวงไม่อยากให้บุตรชายออกไป “ตากแดดตากลม” ข้างนอก จึงให้เถาจือไปเชิญท่านหมอจากที่อื่นมา
ท่านหมอตรวจอาการเสร็จวินิจฉัยว่าเด็กกำลังออกหัด
การที่เด็กเล็กตัวเท่านี้ออกหัด เรียกได้ว่าอันตรายถึงชีวิตเลยทีเดียว
จีซวงตกใจมาก “รักษาได้หรือไม่”
ท่านหมอตอบด้วยความหนักใจ “บอกตามตรงว่าสูตรยาของข้านี้อาจจะรักษาไม่ได้ผลชะงัดนัก ท่านไปให้หมอที่หอหลิงจือตรวจจะดีกว่า สูตรยารักษาหัดของพวกเขายอดเยี่ยมนัก น้อยคนที่จะรักษาไม่หาย”
จีซวงไม่รู้ว่าเฉียวเวยจะกลับมาเมื่อไร ด้วยอารามร้อนใจจึงให้คนออกไปเตรียมรถม้า
หลี่ซื่อได้ยินข่าวจึงรีบไปจากเรือนตะวันออก ยังมีจีหว่านอวี๋ติดตามนางไปด้วยอีกคน
จีหว่านอวี๋ถามด้วยความเป็นห่วงว่า “ท่านแม่ อยู่ดีๆ น้องชายออกหัดได้อย่างไร”
จีซวงมองนางด้วยความไม่ชอบใจ “เรื่องนี้ข้าต้องถามเจ้าถึงจะถูก! เมื่อวานที่เจ้าไปข้างนอก ไปจับเด็กที่ออกหัดมาใช่หรือไม่ กลับมาถึงได้ทำน้องชายเจ้าติดไปด้วยน่ะ”
จีหว่านอวี๋อึ้งไป อ้ำๆ อึ้งๆ ตอบว่า “ข้า…ข้าก็แค่จับเฉยๆ แต่ข้าล้างมือแล้วนะ!”
จีซวงหัวเสียยิ่งนัก “วันๆ ไม่เอาทำอะไร คิดแต่จะออกไปข้างนอก! จนเอาโรคสกปรกๆ กลับมาด้วย ดูทำน้องชายเจ้าป่วยเข้า!”
จีหว่านอวี๋ก้มหน้าลงด้วยความเสียใจ
หลี่ซื่อเกลี้ยกล่อมว่า “เอาล่ะๆ เจ้าอย่าโทษนางเลย เป็นความคิดของข้าเอง ข้าเป็นคนพานางออกไป นางก็ไม่ได้ถูกตัวเด็กคนนั้นมากมายอะไร เจ้าดูสิตัวนางเองก็ไม่เป็นอะไรไม่ใช่หรือ”
จีซวงเอ่ยด้วยความหงุดหงิดว่า “นางโตขนาดนี้แล้วก็ต้องไม่เป็นอะไรสิ! แต่น้องชายนางยังเป็นเด็กตัวเท่านี้!”
จีหว่านอวี๋พลันรู้สึกผิด หากรู้แต่แรกว่าติดต่อไปถึงน้องชายได้ นางคงไม่ไปจับตัวเด็กผู้นั้นมั่วซั่ว…
จีซวงด่าว่าบุตรสาวไปยกใหญ่ จีหว่านอวี๋คิดแต่ว่าตนเองเป็นคนทำให้น้องชายไม่สบาย เลยไม่กล้าพูดอะไรทั้งสิ้น
แต่เป็นหลี่ซื่อที่ทนดูไม่ไหว จึงพูดกับจีซวงว่า “เวลานี้จะโทษหว่านอวี๋ไปก็ไม่มีประโยชน์ รีบคิดว่าจะรักษาเขาให้หายอย่างไรจะดีกว่า”
จีซวงตาแดงก่ำ “เฉียวเวยอยู่ที่จวนทุกวัน! แต่วันเช่นนี้ก็ดันมาออกไปข้างนอก! อาสะใภ้รอง ท่านว่าเหตุใดข้าจึงโชคร้ายเพียงนี้”
“โชคร้ายไม่ได้มาเพียงครั้งเดียว” หลี่ซื่อตบไหล่จีซวง เหลือบมองเด็กที่นางอุ้มอยู่แล้วบอกว่า “เจ้ายังไม่เคยออกหัดกระมัง ระวังเจ้าจะติดไปด้วย ให้คนอื่นเอาไปอุ้มเถิด”
จีซวงอุ้มบุตรชายในห่อผ้าไว้แน่น “ไม่ต้อง ข้าจะอุ้มเอง”
หลี่ซื่อเอ่ยกับเถาจือว่า “ของนายน้อยเจ้าเก็บเรียบร้อยดีแล้วหรือยัง”
เถาจือตอบ “เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”
หลี่ซื่อหันไปพูดกับจีซวงว่า “พวกเราไปกันเถิด”
แม่นมสามคนถูกจีซวงไล่ตะเพิดไปแล้วคนหนึ่ง ยังเหลืออีกสองคน แต่สองคนนี้ยังไม่เคยออกหัดทั้งคู่ ทั้งสองจึงมองจีซวงด้วยความขลาดกลัว
จีซวงโมโหจนอยากจะไล่ตะเพิดพวกนางออกไปด้วย หลี่ซื่อจับมือนางไว้ “เอาล่ะๆ ช่วงเวลาเช่นนี้เจ้าอย่าเพิ่งโกรธไปเลย เดี๋ยวจะทำเด็กตกใจเสีย” ระหว่างนั้นก็พูดกับแม่นมว่า “พวกเจ้ารับใช้คุณชายห้ามานานเพียงนี้ ถ้าจะติดคงติดไปนานแล้ว ยังไม่รีบตามมาอีก”
ทั้งสองก้มหน้าเดินตามไป
คณะของพวกเขาขึ้นนั่งรถม้าไปที่หอหลิงจือ
สาวใช้เลิกผ้าม่านขึ้น ให้จีซวงกับหลี่ซื่อลงจากรถม้า
จีซวงเดินพลางพร่ำบ่นไปพลางว่า “เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ พ่อเขาก็มาไม่อยู่อีก เฉียวเวยก็ไม่อยู่ เชิญท่านหมอมาก็เชิญไม่ได้ อาสะใภ้รอง ท่านว่าข้าโชคร้ายกว่านี้ได้อีกหรือไม่”
พูดจบทั้งสองก็มาถึงหน้าประตูพอดี แต่กลับเห็นคนไข้คนแล้วคนเล่าเดินกันออกมา จีซวงเลยถามชายสูงวัยคนหนึ่งที่อยู่ข้างๆ “เหตุใดพวกเจ้าจึงไม่ตรวจอาการแล้วหรือ”
ชายสูงวัยผู้นั้นตอบว่า “เมื่อครู่มีคนเจ็บหนักมา ท่านหมอจะช่วยชีวิตเขาก่อนจึงไม่มีเวลาตรวจโรคให้อีกพักใหญ่ ให้พวกเราที่เร่งรีบ ไปหอหลิงจือที่อื่นก่อน แต่ถ้าไม่รีบตกบ่ายค่อยมาใหม่”
จีซวงแทบอยากจะเป็นบ้า!
หลี่ซื่อเอ่ยปลอบเสียงเบาว่า “เจ้าอย่าเพิ่งร้อนใจไป หอหลิงจือที่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างจากที่นี่ไม่ไกล นั่งรถม้าไปไม่เท่าไรก็ถึงแล้ว”
ทั้งสองจึงอุ้มเด็กขึ้นรถม้า
รถม้ามาถึงหอหลิงจืออีกแห่งหนึ่งอย่างรวดเร็ว ครั้งนี้นับว่าไม่เกิดเหตุไม่คาดฝันอะไรขึ้นอีก ท่านหมอสามคนอยู่ตรวจกันพร้อมหน้า ไม่นานก็ถึงตาพวกเขา
จีซวงร้อนใจจนร้องไห้ออกมา “ท่านหมอ ลูกชายข้าเป็นอย่างไรบ้าง รักษาให้หายได้หรือไม่”
ท่านหมอเอ่ยด้วยท่าทีสงบว่า “ฮูหยินอย่าเพิ่งเป็นกังวลไป หอหลิงจือของพวกเรารักษาโรคหัดมาไม่น้อย ผลลัพธ์ที่ได้ดีเยี่ยมยิ่งนัก โอกาสที่จะรักษาบุตรชายท่านให้หายนับว่ามีอยู่มากทีเดียว”
จีซวงยังไม่อาจวางใจได้เต็มที่
หลี่ซื่อเห็นว่าด้านนอกมีคนมาก เสียงอึกทึกวุ่นวาย จึงเอ่ยขึ้นว่า “คุณหนูของเถ้าแก่ร้านเป็นสะใภ้ตระกูลจีของพวกเรา ข้าเป็นอาสะใภ้รองของนาง ท่านนี้คือท่านน้าของนาง ท่านช่วยหาห้องให้พวกเราสักห้องหนึ่งจะได้หรือไม่”
ท่านหมอพอได้ยินว่าอีกฝ่ายเป็นถึงเครือญาติของตระกูลเฉียวจึงรีบลุกขึ้นบอกว่า “ฮูหยินทั้งสองเชิญข้างใน!”
จีซวงกับหลี่ซื่อได้รับเชิญเข้าไปยังห้องส่วนตัวด้านใน นี่เป็นห้องที่จัดเตรียมไว้ให้เฉียวเวย นางมาไม่บ่อยนัก โดยมากจึงว่างอยู่
ท่านหมอเขียนใบยาให้ จีซวงร้อนรนภายในเล็กน้อย จึงส่งเด็กให้แม่นมอุ้ม ส่วนตนเองไปที่ห้องสุขา
ตอนออกมาจากห้องสุขา นางบังเอิญพบสตรีสาวนางหนึ่ง สตรีสาวนางนั้นอุ้มเด็กคนหนึ่งอยู่ กำลังพูดกับเด็กต้มยาว่า “จะรบกวนเจ้าช่วยข้าต้มยาอีกชุดหนึ่งได้หรือไม่”
เด็กต้มยาบอกว่า “ไม่ได้ เตาไม่พอแล้ว”
สตรีนางนั้นเอ่ยว่า “เช่นนั้น… ยาถ้วยนี้แบ่งให้ข้าสักหน่อยได้หรือไม่ เมื่อวานข้าไปซื้อยามาแล้วแต่ไม่ทันระวังเลยทำตกน้ำไป วันนี้ข้าจะมาซื้อใหม่อีกชุด แต่รอกลับไปต้มเองไม่ไหว”
เด็กต้มยาดูลำบากใจ “เรื่องนี้…”
“มีเรื่องอะไรหรือ”
หลังจากเสียงที่คุ้นหูดังขึ้น บุรุษคนหนึ่งในชุดผ้าไหมสีน้ำเงินก็เดินออกมาจากโถงกลาง เขาเข้าไปหยุดยืนข้างกายสตรีนางนั้น แล้วรับเด็กในมือนางไปอุ้มแทน
เด็กคนนั้นกอดคอเขาไว้อย่างรวดเร็ว แล้วพิงซบไหล่เขาอย่างเหนื่อยอ่อน
จีซวงเดินเข้าไปด้วยความแปลกใจ ก่อนจะตบไหล่บุรุษผู้นั้นจากทางด้านหลัง
บุรุษผู้นั้นหันกลับมา เผยให้เป็นใบหน้าที่จีซวงจดจำได้จนวันตาย