หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 293-2 จับได้คาเตียง
ตอนที่ 293-2 จับได้คาเตียง
“นี่เจ้าเล่นละครเรื่องอะไรกัน” ในศาลารับลม ใต้เท้าเจ้าสำนักหันไปถามเฉียวเวย
หลังจากเกิดเรื่องของจีซวงได้ไม่เท่าไร จีหว่านก็ถูกแม่สามีของตนให้คนมา “จับ” ตัวกลับไปแล้ว ในศาลาจึงเหลือเพียงน้องชายกับพี่สะใภ้สองคน
เฉียวเวยจิบชาไปเรื่อยๆ “เรื่องอะไรหรือ”
ใต้เท้าเจ้าสำนักทำเสียงหึหึ “ไม่ต้องเสแสร้งแล้ว ข้าเห็นทุกอย่าง คนแซ่ฉินนั้นตกลงไปเอง แต่สตรีเบาปัญญาของตระกูลจีผู้นั้นกลับเป็นเจ้าที่ขัดขานางจนตกลงไป หนำซ้ำเจ้ายังตั้งใจให้คนช่วยนางขึ้นมาไม่ได้ เจ้าคิดอะไรอยู่กันแน่”
เฉียวเวยระบายยิ้ม “เจ้าฉลาดเพียงนี้ เจ้าลองเดาดูดีหรือไม่”
มุมปากใต้เท้าเจ้าสำนักพลันกระตุก ถ้าเขาเดาออกยังจะต้องถามนางอีกหรือ”
สายตาของเฉียวเวยสั่นระริก เอาข้อศอกวางลงบนโต๊ะแล้วเอ่ยอย่างมีนัยยะลึกซึ้งว่า “เฮ่อ หากข้าบอกเจ้าว่าสตรีที่ชื่อฉินเฉียวผู้นั้นไม่ใช่น้องสาวแท้ๆ ของท่านเขย เจ้าจะเชื่อหรือไม่”
ใต้เท้าเจ้าสำนักพึมพำว่า “นางก็ไม่ใช่ตั้งแต่แรกแล้วนี่”
เฉียวเวยอึ้งไป “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่านางไม่ใช่”
ใต้เท้าเจ้าสำนักตอบว่า “แค่ดูก็รู้แล้ว”
เฉียวเวยยิ่งงุนงงหนักเข้าไปใหญ่ “มองออกจากตรงใด”
ใต้เท้าเจ้าสำนักก็บอกไม่ถูก
คนบางคนสัญชาตญาณแม่นยำนัก บางคนไม่ช่างสังเกต บางทีเขาอาจจะเห็นรายละเอียดบางอย่างที่คนทั่วไปไม่ทันได้สังเกต ดังนั้นถึงได้รู้สึกว่าฉินเฉียวกับจีซวงไม่เหมือนน้องสามีกับพี่สะใภ้จริงๆ ตัวจีซวงเองก็คงจะพอจับสังเกตได้เช่นกันเพียงแต่นางไม่อยากจะยอมรับก็เท่านั้น
“น้ำในบ้านตระกูลจีของพวกเจ้าช่างโสมมดีจังนะ!” ใต้เท้าเจ้าสำนักยิ้มเยาะอย่างดูแคลน
เฉียวเวยยิ้มเรียบๆ “พูดอย่างกับเจ้าไม่ได้แซ่จีอย่างนั้นแหละ”
ใต้เท้าเจ้าสำนักเอ่ยอย่างหยิ่งผยองว่า “ข้าไม่ได้แซ่จีมาตั้งแต่แรก”
เฉียวเวยหน้าขรึมลง “จีหมิงเยี่ย”
ใต้เท้าเจ้าสำนักขมวดคิ้ว “ทำไม”
เฉียวเวยเลิกคิ้วยิ้ม
ใต้เท้าเจ้าสำนักเลยรู้สึกตัวว่าตนหลงกลเสียแล้ว สตรีนางนี้ช่างน่าโมโหนัก ช่างไร้ยางอายจนไร้ขีดสุดโดยแท้จริง!
ทั้งสองนั่งกันอยู่พักหนึ่งปี้เอ๋อร์ก็เดินเร็วๆ เข้ามา นางเขยิบเข้าไปข้างหูเฉียวเวย กำลังจะกระซิบบอกบางอย่าง ใต้เท้าเจ้าสำนักก็เอ่ยขึ้นอย่างดูแคลนว่า “ทำไม มีความลับอะไรที่ข้าฟังไม่ได้อีกงั้นหรือ”
เฉียวเวยยิ้มเย็น “ย่อมไม่ใช่แน่นอน ปี้เอ๋อร์ บอกให้เขาฟังด้วย”
ปี้เอ๋อร์ถลึงตาใส่ใต้เท้าเจ้าสำนัก ใต้เท้าเจ้าสำนักหันไปมองนาง ปี้เอ๋อร์พลันหน้าแดง ก้มหน้าลงด้วยความขัดเขิน คุณชายรองช่างหล่อเหลายิ่งนัก!
ใต้เท้าเจ้าสำนักเอ่ยเสียงเย็นว่า “หากยังทำท่าเพ้อใส่ข้าอีก ระวังข้าจะควักลูกตาเจ้าออกมาเสีย!”
เฉียวเวยตบศีรษะเขาทันที “ถ้ายังตะคอกใส่สาวใช้ข้าอีก ระวังข้าจะตัดลิ้นเจ้าทิ้งเสีย!”
ใต้เท้าเจ้าสำนักเบือนหน้าหนีไปอย่างน่าสงสาร
ปี้เอ๋อร์ยกมุมปากลอบยิ้ม ตั้งสติแล้วบอกว่า “ฮูหยินสี่อาละวาดหนักทีเดียว นางทะเลาะกับท่านเขยเสียยกใหญ่ ทว่าท่านเขย…ก็ง้อจนฮูหยินสี่หายโกรธได้อีกแล้ว”
หายโกรธเร็วเพียงนี้เชียวหรือ ท่านน้าผู้นี้ช่างโง่เขลาเสียจนอยากตบให้ได้สติสักสองฉาด
“ฮ่าๆ ฮ่าๆ ฮ่าๆๆ! ฮ่าๆๆๆๆ!” ใต้เท้าเจ้าสำนักแหงนหน้าหัวเราะเสียงก้อง
“เจ้าหัวเราะอะไร” เฉียวเวยมองค้อนเขาขณะถามขึ้น
ใต้เท้าเจ้าสำนักเอ่ยอย่างเย่อหยิ่งว่า “ข้าหัวเราะที่เจ้าคิดว่าตนเองฉลาด ที่แท้ก็แค่เท่านี้เอง”
เฉียวเวยระบายยิ้ม “ไม่เช่นนั้นเจ้ามาลองดู?”
ใต้เท้าเจ้าสำนักเอ่ยอย่างได้ใจว่า “ลองก็ลองสิ เรื่องเช่นนี้ใช้แค่กำลังไม่ได้หรอก ต้องใช้สมองด้วย”
เฉียวเวยมองหาไปทั่ว
ใต้เท้าเจ้าสำนักขมวดคิ้ว “เจ้าหาอะไร”
เฉียวเวยตอบว่า “สมองเจ้าอย่างไร”
ใต้เท้าเจ้าสำนักพลันหน้าบึ้ง
…
ใต้เท้าเจ้าสำนักไม่ได้สนใจกับน้ำโคลนในบ้านตระกูลจีเท่าไรนัก ท่านน้าหน้าโง่ผู้นั้นจะถูกหลอกไปทั้งชีวิตแล้วอย่างไร เกี่ยวอะไรกับเขาด้วย ทว่าหากเป็นเรื่องที่กระทั่งนางยักษ์ขมูขีนั่นยังจัดการไม่ได้ แล้วเขากลับทำได้ขึ้นมา จะไม่เท่ากับว่าตั้งแต่นี้ไป เขาจะอยู่เหนือกว่านางยักษ์นี่ขั้นหนึ่งแล้วหรอกหรือ
เฉียวเวยมองอีกฝ่ายด้วยความเลื่อมใส “เจ้าเก่งกาจจริงๆ เจ้าคิดวิธีการเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร วิธีการนี้แก้ปัญหาได้ถึงแก่นเลยทีเดียว ดีกว่าวิธีการที่ข้าคิดไว้เป็นร้อยเท่า เช่นนี้ท่านเขยฉินก็คงไม่เหลือทางให้ถอยแล้ว ท่านน้าเองก็จะได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเขา ผู้หญิงที่ชื่อฉินเฉียวนั่นก็มาจากไหนก็ไสหัวกลับไปทางนั้น ตระกูลจีก็จะได้ใสสะอาดเสียที ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นผลงานของเจ้า หมิงเยี่ย!”
“รู้แล้วสิว่าข้าเก่งกาจ”
แววเลื่อมใสนัยน์ตาเฉียวเวยเปลี่ยนเป็นความศรัทธาไปแล้ว “ใช่แล้วหมิงเยี่ย เจ้าฉลาดกว่าที่ข้าคิดมากนัก ก่อนหน้านี้ข้าเข้าใจเจ้าผิดไปเอง ข้าไม่ควรดูถูกเจ้า ไม่ควรรังแกเจ้า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าจะเคารพเจ้าด้วยดี เจ้าต่างหากที่ฉลาดเฉลียวที่สุดในบ้านตระกูลจีของพวกเรา!”
“รินชา”
“ได้เลย!”
“นวดไหล่”
“มาแล้ว!”
“ทุบหลัง”
“จัดไป!”
“นวดขา”
“รับบัญชา!”
พอเห็นนางยักษ์ถูกเขาเรียกใช้ให้ทำนู่นนี่นั่นราวกับเป็นลูกสะใภ้ ใต้เท้าเจ้าสำนักก็แหงนหน้าหัวเราะเสียงดังขึ้นมาอีกครั้ง “ฮ่าๆ ฮ่าๆๆ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ…ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ…”
“นี่ นี่ นี่!” เฉียวเวยฟาดไหล่เขาให้ทีหนึ่ง
เสียงหัวเราะของใต้เท้าเจ้าสำนักพลันหยุดชะงัก
เฉียวเวยมองอีกฝ่ายอย่างดูแคลน “หัวเราะอะไรเนี่ย”
ใต้เท้าเจ้าสำนักกระแอมเบาๆ แล้วกรอกตาบน “เจ้าสนใจข้า”
“ถึงแล้ว” เฉียวเวยเลิกผ้าม่านรถม้าออก
ใต้เท้าเจ้าสำนักเหลือบตามองไปด้านนอก “ที่นี่น่ะหรือ”
เฉียวเวยยิ้มเรียบๆ “ทำไม รังเกียจว่าผุพังหรือ ไม่ใช่เจ้าหรือที่บอกว่าให้หาโรงสุราบ้านๆ ที่ไม่เป็นที่สะดุดตาน่ะ”
ใต้เท้าเจ้าสำนักทำเสียงหึหึแล้วพึมพำว่า “นี่ก็…ออกจะไม่เป็นที่สะดุดตาเกินไปหน่อยกระมัง จะหาของอร่อยๆ กินยังไม่ได้เลย”
“พล่ามอะไรน่ะ” เฉียวเวยถามเสียงขรึม
“ไม่มีอะไร” ใต้เท้าเจ้าสำนักควักขวดกระเบื้องเคลือบขวดเล็กออกมา
เฉียวเวยเลิกคิ้ว “อย่าบอกข้านะว่าเจ้าคิดจะใช้แมลงกู่ ครั้งก่อนที่เจ้าใช้กู่ครองรักดูเหมือนผลลัพธ์จะไม่ดีเท่าไรนะ”
ใต้เท้าเจ้าสำนักบ่นว่า “ครั้งก่อนข้าเอายามาผิดหรอก! นี่ไม่ใช่แมลงกู่ แต่เป็นยาพิษ!”
สายตาเฉียวเวยพลันชะงัก “เจ้าจะวางยาท่านเขย?”
ใต้เท้าเจ้าสำนักบอกว่า “ใครจะวางยาเขากัน ข้าจะวางยาฉินเฉียวหรอก นี่เป็นยาเสน่ห์ชั้นดีที่ขายกันในตลาดมืดในชนเผ่าถ่าน่า แค่ใส่ลงไปเพียงหยดเดียว เทพเซียนก็กลายเป็นจอมโจรมหาเสน่ห์ได้ ขอเพียงพวกเรานัดฉินเฉียวมาที่นี่ได้ แล้วหยดยานี้ใส่ลงไปในน้ำชานางสองหยด แล้วเรียกท่านเขยอะไรของเจ้านั่นมา ข้ารับประกันว่านางสามารถรีดเอาน้ำมันจากตัวท่านเขยเจ้าออกมาได้จนไม่เหลือสักหยดแน่นอน!”
เฉียวเวยลูกคาง “อัศจรรย์เพียงนี้เชียวหรือ เจ้าเคยลองแล้ว?”
ใต้เท้าเจ้าสำนักกรอกตาแล้วพูดต่อว่า “จากนั้นเจ้าค่อยเรียกจีซวงมา ให้นางจับว่าพวกเขาคบชู้กันได้คาเตียง ยังต้องกลัวว่าจะฉีกหน้ากากเจ้าคนชั่วนั้นไม่ได้อีกหรือ”
เฉียวเวยเอ่ยอย่างใช้ความคิด “วิธีการนี้ก็นับว่าเป็นวิธีการที่ดี ท่านน้ากับท่านเขยนั้นเรียกออกมาได้ง่ายทั้งคู่ มีแค่ฉินเฉียวนี่ล่ะที่ไม่น่าจะง่ายเพียงนั้น อย่างไรข้าคงใช้ข้ออ้างว่าจะตรวจอาการให้บุตรชายของนางไม่ได้อีกแล้ว ต่อให้จะตรวจก็ควรตรวจที่จวนถึงจะถูก”
“บอกว่าเจ้าโง่ แล้วก็โง่จริงๆ เสียด้วย! เจ้าลืมแล้วหรือว่านางมาเมืองหลวงเพราะอะไร” ระหว่างทางมานี้ ใต้เท้าเจ้าสำนักจัดการสืบข้อมูลและศึกษาตัวต้นเรื่องของเรื่องนี้มาอย่างพร้อมพรักแล้ว คิดไม่ถึงว่าไม่ทันไรก็จะได้ใช้การเช่นนี้ การได้เชิดหน้ายืดอกต่อหน้านางยักษ์เช่นนี้มันช่างสะใจดีแท้!
ตกบ่าย ฉินเฉียวป้อนยาให้ถงเกอร์อยู่ในห้อง สาวใช้คนหนึ่งเดินเข้ามาส่งจดหมายฉบับหนึ่งให้นางอ่าน นางอ่านชื่อคนที่ส่งมาก่อน คนที่ส่งมาคือโจวซุ่น