หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 298-1 ฉีกอกท่านเขย (2)
ตอนที่ 298-1 ฉีกอกท่านเขย (2)
เฉียวเวยไม่คิดเลยว่าคำตอบจากปากฉินเฉียวจะกลายเป็นสวินหลัน ถึงแม้ลักษณะของฉินเฉียวจะมีส่วนคล้ายสวินหลันอยู่ส่วนหรือสองส่วนก็ตาม แต่องค์หญิงดีเลิศกว่าสวินหลันอยู่มากเกินไป อายุขององค์หญิงก็เหมาะกับท่านเขยฉินมากกว่า เหตุใดคนที่ท่านเขยฉินมีใจให้ถึงไม่ใช่องค์หญิงแต่เป็นสวินหลันไปได้
นางไม่คิดว่าฉินเฉียวจะโกหกเพราะถึงอย่างไรฉินเฉียวก็ไม่มีเหตุผลที่จะทำเช่นนั้น ดังนั้นคงเป็นได้เพียงความจริงแล้วว่าท่านเขยฉินมีใจฝักใฝ่ในสวินหลันจริงๆ
นางจำได้ว่าจีหว่านเคยเอ่ยถึงเรื่องหนึ่งกับนาง ที่จีซวงไม่ชอบใจสวินหลันนั้นเริ่มต้นจากที่ท่านเขยดื่มสุราจนเมามายแล้วเข้าไปโอบกอดสวินหลัน ทุกคนเชื่อกันว่าท่านเขยไม่ได้ตั้งใจ มีเพียงจีซวงเท่านั้นที่ปล่อยวางเรื่องนี้ไม่ได้ นางจึงเห็นว่าสวินหลันเป็นตะปูในตามาตลอด
จะบอกว่าท่านน้าผู้นี้โง่เขลา แต่นางก็เป็นเพียงคนเดียวที่ไม่ถูกครอบครัวของสวินหลันปิดหูปิดตา แต่จะบอกว่านางฉลาด นางก็ถูกท่านเขยปั่นหัวจนหมุนติ้วไปหมด เลยไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะพูดอย่างไรดี
รถม้ากลับมาถึงบ้านตระกูลจี เฉียวเวยกลับไปยังบ้านชิงเหลียน ใต้เท้าเจ้าสำนักรีบแทรกตัวมาขวางหน้าพร้อมถามด้วยความร้อนใจว่า “เป็นอย่างไรบ้างๆ สตรีนางนั้นรับปากรึยัง”
เฉียวเวยเข้าไปในห้องแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ ถอนหายใจบอกว่า “นางก็รับปากแล้วล่ะ เพียงแต่หาได้มีประโยชน์อันใดไม่”
“หมายความว่าอย่างไร” ใต้เท้าเจ้าสำนักขมวดคิ้ว
เฉียวเวยอธิบายว่า “สตรีที่ท่านเขยหมายปองไม่ใช่องค์หญิง แต่เป็นสวินหลัน”
สวินหลันไม่มีฐานะอะไรให้กล่าวถึงในบ้านตระกูลจีอีกแล้ว ถึงขั้นไม่อาจนับว่านางเป็นภรรยาของจีซั่งชิงได้อีก การที่เขามีใจคิดไม่ซื่อกับนางจึงไม่เพียงพอให้จีซั่งชิงตัดสินใจขับไล่เขาออกจากบ้านตระกูลจี
“สวินหลันเป็นใคร” ใต้เท้าเจ้าสำนักโพล่งถามขึ้น
เฉียวเวยบอกว่า “มารดาผู้ให้กำเนิดของหลิวเกอร์”
ใต้เท้าเจ้าสำนักเบ้ปากด้วยความดูแคลน “ก็คือภรรยาคนที่สองของท่านพ่อข้าที่วางยาเขาแล้วสุดท้ายถูกไล่ออกไปเฝ้าสุสานคนนั้นน่ะหรือ”
เรื่องของสวินหลันไม่มีใครตั้งใจบอกเล่าให้เขาฟัง แต่เขาอยู่ที่บ้านนี้มานานเพียงนี้ย่อมได้ยินเรื่องราวมาบ้างไม่มากก็น้อย ซึ่งเรื่องที่ได้ยินบ่อยที่สุดก็คือเรื่องของสวินหลัน บางคนบอกว่านางทำให้สาวใช้ต้องตาย บางคนบอกว่านางดวงซวยทำให้คู่หมั้นต้องตาย และก็มีบางคนบอกว่านางกับจีซั่งชิงไม่รักใคร่ปรองดองกัน ลงมือวางยาสามีตัวเองได้หน้าตาเฉย เป็นเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งเติมเขาไม่รู้ เขาแค่ฟังเป็นเรื่องสนุกเท่านั้น
เฉียวเวยไม่ได้ถามว่าเขารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร เพียงพยักหน้าบอกว่า “นางนั่นแหละ ตัวนางก็มีลักษณะขององค์หญิงอยู่หลายส่วนเช่นกัน และด้วยเหตุนี้พ่อเจ้าถึงได้รักใคร่เอ็นดูนางเป็นพิเศษ”
ใต้เท้าเจ้าสำนักส่งเสียงเชอะด้วยความดูแคลน แต่พอหันไปเห็นเฉียวเวยทำหน้าครุ่นคิดจึงอดถามขึ้นไม่ได้ว่า “เจ้าใจลอยทำไมน่ะ”
เฉียวเวยเอามือเท้าคางขณะเอ่ยอย่างใช้ความคิดว่า “ข้าคิดถึงเรื่องเรื่องหนึ่งอยู่”
ใต้เท้าเจ้าสำนักปอกสาลี่ลูกหนึ่ง “เรื่องอะไร”
เฉียวเวยขมวดคิ้ว หยิบสาลี่ซีกหนึ่งที่ปอกแล้วขึ้นมา “เจ้าเคยได้ยินเรื่องที่ก่อนหน้านี้สวินหลันเคยหมั้นหมายมาแล้วสามครั้งหรือไม่”
ใต้เท้าเจ้าสำนักกินสาลี่พลางบอกว่า “เคยได้ยินสิ ได้ยินว่าดวงนางทำพวกเขาตายหมดเลยไม่ใช่หรือ!”
เฉียวเวยบอกว่า “นี่เป็นสิ่งที่บอกกับคนนอก ในความเป็นจริงพวกเขาตายเพราะอุบัติเหตุ มีคนตั้งใจทำเช่นนี้ พวกเราเชื่อกันว่าเป็นฝีมือสวินหลัน แต่สวินหลันเป็นเพียงสตรีในห้องหับ นางไม่มีความสามารถมากเพียงนั้น ดังนั้นพวกเราจึงเริ่มสงสัยว่าสวินหลันมีคนคอยช่วยเหลืออยู่”
มือที่กำลังกินสาลี่ของใต้เท้าเจ้าสำนักพลันชะงัก “ท่านเขยสารเลวนั่น?”
เฉียวเวยพยักหน้า “หากท่านเขยมีใจคิดไม่ซื่อกับสวินหลันจริง เช่นนั้นการที่ ‘ดวง’ ของสวินหลันทำให้คู่หมั้นทั้งสามคนของนางตาย ก็จะอธิบายได้แล้ว เขาไม่ต้องการให้สวินหลันแต่งงาน ดังนั้นจึงตั้งใจสร้างสถานการณ์ว่าเป็นอุบัติเหตุ จนกระทั่งสวินหลินแต่งงานเข้าตระกูลจี ท่านเขยถึงได้รามือไป”
ใต้เท้าเจ้าสำนักเอ่ยด้วยความงุนงงเหลือแสนว่า “เหตุใดเขาถึงต้องรามือ เหตุใดถึงไม่จัดการฆ่าบิดาใจทรามของข้าไปด้วยเลยเล่า”
เฉียวเวยถลึงตาใส่เขา “เจ้าคิดว่าประมุขตระกูลจีจัดการได้ง่ายเพียงนั้นเลยหรือ เจ้าอย่าออกนอกเรื่อง ข้ายังพูดไม่จบ”
ใต้เท้าเจ้าสำนักกินสาลี่ของตนต่อไปเงียบๆ
เฉียวเวยนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดต่อว่า “เขาเป็นอาจารย์ ก่อนที่จะเป็นอาจารย์เขาอยู่บ้านว่างๆ มาตลอด บางครั้งก็ช่วยท่านน้าข้าดูแลร้านค้ากับไร่นา คนเช่นนี้จะวางแผนการมากมายเช่นนั้นได้อย่างไร เพื่อนในยุทธภพของข้าคนหนึ่งเคยพยายามพาพยานเข้ามาเมืองหลวง แต่ตอนนั้นได้เจอกับนักฆ่ากลุ่มนั้น วรยุทธ์ของคนเหล่านั้นไม่เป็นรองศิษย์ของสมาคมกระบี่เลย…”
ใต้เท้าเจ้าสำนักถามขัดว่า “ศิษย์สมาคมกระบี่เป็นใคร”
เฉียวเวย “สมาคมกระบี่เป็นสำนักหนึ่งในยุทธภพ มีชื่อเสียงเทียบเท่าซู่ซินจง”
“ซู่ซินจงคืออะไรอีก” ใต้เท้าเจ้าสำนักถามต่อ
เฉียวเวยตอบเรียบๆ ว่า “สำนักอาจารย์ของพี่ใหญ่เจ้า”
“อ้อ”
“อย่าออกนอกเรื่อง!”
ใต้เท้าเจ้าสำนักรีบหุบปากฉับ
เฉียวเวยพูดต่อว่า “สมมติว่าท่านเขยฉินเป็นคนร้ายที่ก่อกวนการแต่งงานของสวินหลันจริง เช่นนั้นฐานะของเขาจะต้องไม่ธรรมดาอย่างภาพลักษณ์ภายนอกแน่นอน น่ากลัวว่าแม้แต่ประวัติครอบครัวของเขาก็คงเป็นเรื่องโกหก”
ใต้เท้าเจ้าสำนักพลันมีประกายสว่างวาบขึ้น “อ๊า! เขาคงไม่ใช่หนอนบ่อนไส้คนนั้นหรอกกระมัง”
เฉียวเวยเอามือลูบคาง “จะว่าไปก็พอมีความเป็นไปได้จริงๆ หากเขาเป็นหนอนบ่อนไส้จริง เช่นนั้นก็อธิบายได้แล้วว่าเหตุใดเขาถึงอดกลั้นไม่ลงมือทำร้ายท่านพ่อมาตลอด เขามีเป้าหมายที่สำคัญกว่านั้นในบ้านตระกูลจี เลยจะให้ความรู้สึกส่วนตัวที่มีต่อสตรีมาทำลายแผนของเขาไม่ได้ และยิ่งห้ามแหวกหญ้าให้งูตื่นจนทำให้คนอื่นรู้ถึงฐานะที่แท้จริงของตน”
ใต้เท้าเจ้าสำนักกระตุกมุมปากด้วยความได้ใจ “เรื่องที่เขาเป็นหนอนบ่อนไส้น่าจะไล่เขาออกจากตระกูลจีได้แล้วกระมัง”
ไอเจ้าคนสารเลวนี่ เขาไม่อยากเห็นหน้ามันเลยแม้แต่วันเดียว!
เฉียวเวยลุกขึ้นยืน จัดระเบียบแขนเสื้อแล้วเอ่ยว่า “จะใช่หนอนบ่อนไส้รึไม่ จะอาศัยแค่การคาดเดาคงไม่พอ”
ใต้เท้าเจ้าสำนักมองนางด้วยสายตาสงสัย “เจ้าคิดจะทำอะไร”
เฉียวเวยเปิดตู้หยิบเอายาสมานแผลออกมาขวดหนึ่งแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยว่า “ได้ยินว่าเมื่อคืนท่านเขยถูกท่านพ่อเจ้ากับนายท่านรองซ้อม ไม่รู้ว่าเป็นอะไรหนักหนารึไม่ ข้าจะไปดูเขาสักหน่อย”
…
ท่านเขยฉินถูกจีซังชิงกับจีเซิ่งทำร้ายร่างกายอย่างรุนแรงไปยกหนึ่ง เดิมทีก็บาดเจ็บหนักอยู่แล้ว ซ้ำยังยืนหยัดที่จะคุกเข่าอยู่ที่เรือนลั่วเหมยทั้งคืน พอฟ้าสว่าง ร่างกายรับไม่ไหวจึงหมดสติไป
เขาถูกส่งตัวกลับเรือนสี่ จีเหล่าฮูหยินกลัวจะถึงแก่ชีวิตเลยเรียกหาท่านหมอมารักษา
ท่านหมอพอตรวจอาการเสร็จก็เขียนใบสั่งยาสลายเลือดคั่งกับยาบำรุงภายในเอาไว้ให้ ตอนเฉียวเวยเดินเข้าไปในเรือน สาวใช้กำลังต้มยาให้ท่านเขยอยู่ในลาน
สาวใช้พอเห็นเฉียวเวยก็วางพัดในมือลง ลุกขึ้นทำความเคารพเฉียวเวย “ฮูหยินน้อย”
เฉียวเวยพยักหน้าเล็กน้อย เอ่ยถามด้วยสีหน้าปกติว่า “ข้าได้ยินว่าท่านเขยป่วย ได้เชิญท่านหมอมาแล้วหรือยัง”
สาวใช้ตอบว่า “เชิญแล้วเจ้าค่ะ เดิมทีคิดจะไปหาฮูหยินน้อย แต่เวลานั้นฮูหยินน้อยออกไปส่งคุณหนูไปสำนักศึกษาแล้ว เหล่าฮูหยินจึงให้พวกเราไปเชิญท่านหมอเฉิงจากหอหลิงจือมาแทน ท่านหมอเฉิงตรวจดูอาการเสร็จก็เขียนใบสั่งยาไว้ให้ บ่าวกำลังต้มอยู่เลยเจ้าค่ะ”
“แผลของท่านเขยเป็นอย่างไรบ้าง” เฉียวเวยถาม
สาวใช้ตอบตามจริงว่า “ท่านหมอบอกว่าสาหัสอยู่เจ้าค่ะ เวลานี้…ยังลุกจากเตียงไม่ไหว เมื่อคืนน่าจะโดนลมหนาวเข้าไป เมื่อครู่จึงตัวร้อนเล็กน้อยเจ้าค่ะ”
เฉียวเวยตอบเสียงเรียบว่า “ข้าจะไปดูหน่อย”
สาวใช้รีบเดินไปตรงระเบียงทางเดินแล้วเปิดผ้าม่านให้ “เชิญฮูหยินน้อย”
เฉียวเวยเข้าไปในห้อง กลิ่นฉุนของยาสมานแผลลอยออกมาเตะจมูก ประตูหน้าต่างปิดสนิท ผ้าม่านทิ้งตัวปิด แสงในห้องมืดสลัว ท่านเขยฉินนอนคว่ำอยู่บนเตียง คล้ายว่าหลับไปแล้ว
เฉียวเวยเดินเบาๆ เข้าไปที่หน้าต่าง เปิดผ้าม่านออก แสงที่แยงตาลอดเข้ามาถูกท่านเขยฉินที่กำลังหลับตาอยู่ เปลือกตาเขาพลันขยับลืมตาขึ้นอย่างอ่อนล้า
พอเห็นว่าเป็นเฉียวเวย เขาก็พยายามยกยิ้มอย่างยากลำบาก “เสี่ยวเวยนี่เอง”
เฉียวเวยเดินช้าๆ เข้าไปหา ยกเก้าอี้มานั่งลงข้างเตียง มองอีกฝ่ายพร้อมยิ้มบางๆ “เหตุใดต้องทำเช่นนี้ด้วย”
ท่านเขยฉินอึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะหลุบตาลงยิ้ม “เสี่ยวเวยพูดเรื่องอะไรน่ะ”
เฉียวเวยยิ้ม “เมื่อวานข้าทำตัวไม่น่ารักกับท่านเขยเพียงนั้น ท่านเขยไม่จำเป็นต้องแสร้งทำเหมือนชอบข้ามากมายนักก็ได้”
ท่านเขยฉินยิ้มทั้งหน้าตาซีดเซียว “เจ้าพูดถึงเรื่องนั้นเองหรือ เจ้าเองก็เป็นห่วงท่านน้าเจ้า ข้าไม่โทษเจ้าหรอก”
เฉียวเวยคลี่ยิ้ม “พวกเราไม่ต้องพูดอ้อมค้อมกันแล้ว วันนี้ข้าไปหาฉินเฉียวมา นางสารภาพทุกอย่างหมดแล้ว”
สายตาท่านเขยฉินพลันชะงัก