หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 30 เด็กอัจฉริยะ
จีหมิงซิวสีหน้ากระตุกวูบหนึ่งแล้วคลายผ้าพันคอออกส่งคืนให้เฉียวอวี้ซี
เฉียวอวี้ซีช้อนตามองเขา “ใต้เท้า…”
“ข้าไม่หนาว” จีหมิงซิวเอ่ยเสียงราบเรียบจบก็พลิกกายขึ้นอาชา
เฉียวอวี้ซีถูกปฏิเสธจนกระอักกระอ่วนเล็กน้อย แต่เมื่อคิดให้ละเอียดก็ดูเหมือนว่าตนจะทำไม่ถูกต้องนัก ไม่สมควรมอบของที่แนบชิดติดกายเช่นนี้ให้บุรุษผู้หนึ่ง ต่อให้อีกฝ่ายจะเป็นคู่หมั้นของตนก็ตาม
นางลูบใบหน้าร่อนผ่าวอย่างขัดเขินแล้วเอ่ยเสียงเบา “ซีเอ๋อร์เติบโตมาบนเขาแต่เล็ก ไม่ค่อยเข้าใจธรรมเนียมนัก หากทำสิ่งใดไม่สมควร ขอใต้เท้าโปรดอภัย”
จีหมิงซิวพยักหน้าอย่างเฉยเมย “ไม่เป็นอะไร คุณหนูเฉียวเชิญขึ้นรถเถิด”
“เจ้าค่ะ” เฉียวอวี้ซีพยักหน้าอย่างว่าง่ายแล้วเยียบม้านั่งไม้ขึ้นไปบนรถ
แม้ใต้เท้าจะไม่สนิทสนมกับนางนัก แต่วันเวลายังอีกยาวไกล เมื่อพวกเขาแต่งงานกันและนางกลายเป็นภรรยาที่ถูกต้องชอบธรรมที่สุดในใต้หล้า ใต้เท้าจะต้องค้นพบความดีของนางแน่นอน
…
เหมันต์ฤดูกลางวันสั้นกลางคืนยาว เมื่อเฉียวเวยไปถึงบ้านของซิ่วไฉเฒ่าเพื่อรับเด็กๆ ฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว ชั้นเรียนจบลงนานแล้ว เด็กโตที่ต้องช่วยทำงานในบ้านทั้งหลายทยอยกันกลับบ้าน เอ้อร์โก่วจื่อกับน้องชายยังอยู่ พวกเขากำลังหยอกเสี่ยวไป๋เล่นอยู่กับจิ่งอวิ๋นและวั่งซู
เมื่อเห็นเฉียวเวย จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูจึงรีบวิ่งเข้ามาหา
เอ้อร์โก่วจื่อเรียก “น้าเฉียว” อย่างสนิทสนม เขารู้สึกว่าคำเรียกขานนี้ไม่ถูกต้องนัก มารดาของจิ่งอวิ่นดูเด็กยิ่งกว่าพี่สาวของเขาเสียอีก จะเรียกว่าท่านน้าได้เช่นไรเล่า แต่หากไม่เรียกน้า เขาก็ต้องนับรุ่นห่างจากจิ่งอวิ๋นคนละรุ่น
เฉียวเวยยิ้มพลางเอ่ยทักทายเอ้อร์โก่วจื่อ แล้วส่งถังหูลู่ที่ซื้อมาจากในเมืองให้เด็กน้อยทั้งห้าคนแบ่งกัน ทุกคนกินกันอย่างเบิกบานใจ
แต่เฉียววั่งซูกลับไม่ยอมกิน นางถือถังหูลู่ไว้แล้วเข้ามากอดเฉียวเวยโดยที่ขอบตาแดงระเรื่อ
ไม่ได้พบหน้ามารดาหนึ่งวัน นางโศกเศร้ายิ่งนัก
ตอนเฉียวเวยส่งลูกมาเข้าเรียน นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าพวกเขาจะเศร้าใจ ชาติก่อนนางเป็นเด็กกำพร้า ได้เข้าโรงเรียนอนุบาลสวัสดิการ ในนั้นมีเด็กที่เหมือนนางหลายคน ทุกเช้าที่มาเรียนทุกคนล้วนตื่นเต้น ไม่เคยมีใครเศร้า
ยิ่งตอนนางมาส่งจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูที่บ้านซิ่วไฉเฒ่า เด็กน้องทั้งสองดูอารมณ์ดี นางจึงไม่ได้คิดไปทางนั้น
เฉียววั่งซูเริ่มแรกก็สนุกพอสมควรจริงๆ เพราะมีเพื่อนตัวน้อยมากมาย ทว่าเล่นไปได้สักพักนางก็คิดถึงมารดา แต่อาจารย์บอกว่ากลับบ้านไม่ได้ นางจึงเศร้าใจยิ่งนัก
ไม่ผิด เฉียววั่งซูตัวน้อยเริ่มประเดิมชีวิตการเรียนวันแรกด้วยการร้องไห้
ทุกคนนั่งเรียงแถวอยู่ด้านหน้าเรียนหนังสือ แต่นางซุกอยู่ในมุมด้านหลังร่ำไห้
ซิ่วไฉเฒ่าใช้วรยุทธ์สารพัดวิชาแล้ว แต่กล่อมอย่างไรก็ไม่สำเร็จ นางร้องไห้ได้เศร้าโศกอย่างยิ่ง
จิ่งอวิ๋นคือผู้ที่มานั่งอยู่ในมุมเป็นเพื่อนนาง นางจึงอดทนผ่านวันนี้มาได้ ตอนเที่ยงป้าหลัวมาส่งอาหาร จิ่งอวิ๋นก็เป็นคนป้อน จิ่งอวิ๋นเอาแต่ดูแลน้องสาวจนไม่ได้ฟังอาจารย์สอนดีๆ
เฉียวเวยฟังเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นจากปากเอ้อร์โก่วจื่อจบก็ปวดใจแทบไม่ไหว “แม่ไม่ดีเอง แม่ไม่ควรไปนานขนาดนั้น วันพรุ่งนี้แม่จะมารับพวกเจ้าเร็วขึ้น ดีหรือไม่”
เฉียววั่งซูกอดคอมารดาแน่น น้ำตาไหลแหมะๆ พอได้ยินคำพูดของมารดาก็พยักหน้ารับ
แต่เพราะตอนกลางวันโศกเศร้ามาก เฉียววั่งซูเป็นตายก็ไม่ยอมลงมาจากอ้อมแขนของมารดา จะไปไหนก็ต้องอุ้ม เฉียวเวยใจอ่อนยวบไปทั้งดวง
เฉียวเวยนำกระดาษขาวจำนวนเล็กน้อยมาให้ซิ่วไฉเฒ่า ไม่ใช่ของชั้นดีอย่างกระดาษเซวียนจื่อ[1] เป็นเพียงกระดาษหยาบธรรมดา เขียนตัวหนังสือแล้วขรุขระอยู่บ้าง แต่สำหรับซิ่วไฉเฒ่ายากจนในหมู่บ้านแห่งหนึ่งก็นับว่าเป็นสมบัติที่หายากยิ่งแล้ว
ซิ่วไฉเฒ่าซาบซึ้งจนน้ำตาไหล สาบานว่าต่อจากนี้จะภักดีต่อคุณหนูให้ดียิ่งขึ้นอีก!
หิมะโปรยปรายลงมาอย่างหนัก เฉียวเวยรีบพาลูกๆ กลับขึ้นเขา แล้วจุดกระถางถ่านทองแดง แต่สิ่งที่เอามาเผาคือไม้ฟืนแห้งจึงมีควันมากจนเหมือนถูกรมควันอยู่เล็กน้อย ทั้งสามคนถูกควันรมจนน้ำตาไหลพราก ยังดีที่ในที่สุดก็จุดไฟสำเร็จ
เฉียวเวยหยิบผ้านวมมาเช็ดหิมะบนศีรษะกับบนตัวของเด็กๆ
เฉียววั่งซูเห็นปิ่นเล่มใหม่บนศีรษะของมารดาก็ตาวาวเอ่ยว่า “ว้าว สวยนักเชียว!”
เฉียวเวยถูกชมในใจพลันรู้สึกยินดี นางลูบปลายจมูกของบุตรสาวแล้วเอ่ยว่า “แม่ซื้อของสวยๆ มาให้วั่งซูกับพี่ชายด้วยเหมือนกัน”
วั่งซูปรบมืออย่างตื่นเต้น “อะไรหรือ อะไรหรือ”
เฉียวจิ่งอวิ๋นกลอกลูกตามองผ่านตะกร้ากับห่อผ้าบนโต๊ะ
เฉียวเวยหยิบของในตะกร้าออกมาทีละอย่าง เนื้อแพะ เนื้อแดดเดียว หมูสามชั้น ไข่เค็มกับอาหารสดอีกจำนวนหนึ่งและขนมของว่างสำหรับวันตรุษ
เด็กน้อยทั้งสองมองจนตาค้าง พวกเขาโตจนป่านนี้ยังไม่เคยเห็นของน่าอร่อยมากมายเช่นนี้มาก่อน ปาท่องโก๋ ถั่วทอด เมล็ดแตง ขนมพุทราหิมะ ขนมถั่วตัด…สวรรค์ แล้วยังมีลูกพลับแห้งอีกด้วย!
เฉียวเวยมองท่าทางตาโตอ้าปากค้างของเด็กๆ แล้วรู้สึกว่าน่ารักเหมือนใจจะละลาย “ตอนนี้แม่หาเงินได้ไม่มากจึงได้แต่ซื้อของเหล่านี้ให้พวกเจ้า รอวันหน้าแม่หาเงินได้มาก จะพาพวกเจ้าไปซื้อของที่อร่อยกว่านี้ มากกว่านี้ที่เมืองหลวง!”
เด็กน้อยสองคนพยักหน้าอย่างตื่นเต้น!
เฉียวเวยเช็ดมือให้ลูกๆ “อยากกินอะไรก็หยิบเอง”
เฉียววั่งซูหยิบลูกพลับแห้งขึ้นมาแทะทีละคำเล็กๆ เพราะกลัวว่าไม่ทันระวังประเดี๋ยวจะกินหมด
เฉียวจิ่งอวิ๋นคว้าถั่วทอดขึ้นมากำหนึ่ง
เฉียวเวยหยิบเสื้อผ้าใหม่ออกมาจากห่อผ้าเป็นอย่างต่อไป ก่อนหน้านี้ตลอดทั้งปีเด็กๆ ไม่เคยได้สวมเสื้อผ้าใหม่ ทว่าครั้งนี้แต่ละคนกลับมีชุดสี่ชุด ดีใจยิ่งกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว
“เอ๋ ท่านแม่ สิ่งนี้คืออะไรหรือ” เฉียววั่งซูหยิบกล่องไม้ท้ออันประณีตกล่องหนึ่งออกมาจากในห่อผ้า
“ข้าดูหน่อยซิ” เฉียวเวยถือขึ้นมาดู นี่เป็นกล่องของร้านต้าฟัง นางจำสัญลักษณ์รูปดอกกุหลาบด้านบนได้ แต่นอกจากปิ่นเล่มนั้นบนศีรษะของนาง นางก็ไม่ได้ซื้อของชิ้นอื่นมาอีกนี่นา
เฉียวเวยเปิดออกดูก็พบว่าด้านในมีปิ่นดอกเหมยหยกน้ำผึ้งราคาหนึ่งร้อยตำลึงเล่มนั้นนอนนิ่งอยู่
ปิ่นเล่มนี้ คุณชายผู้นั้นไม่ได้ซื้อไปหรอกหรือ เหตุใดจึงมาอยู่ในห่อผ้าของนางได้เล่า
“ท่านแม่ สวยกว่าปิ่นที่อยู่บนศีรษะของท่านอีก” เฉียววั่งซูเอ่ยขึ้นมา
เฉียวเวยถอนหายใจ “แน่นอนสิ เล่มที่อยู่บนศีรษะแม่นี่น่ะเพิ่งจะราคาห้าสิบอีแปะเท่านั้น ส่วนนั่นราคาตั้งหนึ่งร้อยตำลึงเงิน”
เฉียววั่งซูไม่เข้าใจเรื่องเงิน แต่รู้สึกวันมันสวยยิ่งนัก “ท่านแม่ ท่านลองปักดูสิ”
เฉียวเวยก็อยากประดับเหมือนกันแต่ว่า…มันไม่ใช่ของตนนี่สิ
เฉียวเวยเก็บปิ่นอย่างดี ของล้ำค่าเช่นนี้ คุณชายจะต้องไม่ทันระวังใส่เข้ามาในห่อผ้าของนางเป็นแน่ จะดีจะเลวก็เป็นถึงผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตตนเอาไว้เชียวนะ นางมิกล้าแอบยักยอกของของเขาไว้หรอก วันไหนมีวาสนาพบหน้าเขาอีกค่อยคืนให้เขาก็แล้วกัน แต่ไม่รู้ว่าจะมีวันนั้นหรือไม่
ตกกลางคืนเฉียวเวยตุ๋นน้ำแกงวุ้นเส้นเนื้อแพะหนึ่งหม้อ แล้วผัดหมูสามชั้นซอสน้ำแดงใส่หูหลัวปัวหนึ่งจาน กับผักกาดขาวหนึ่งชาม แล้วนึ่งหมั่นโถวอีกสองสามลูก ทั้งสามคนกิ่นกันจนอิ่มหน่ำ
หลังจากอาบน้ำเสร็จ เฉียวเวยกับเด็กๆ ก็นอนบนเตียง เฉียวเวยนอนอยู่ด้านนอก บุตรสาวกับบุตรชายนอนอยู่ด้านใน จิ่งอวิ๋นนอนหลับค่อนข้างเรียบร้อย ห่มผ้าคลุมทั้งตัว ตอนนอนท่าไหน ตอนตื่นก็ยังท่านั้น แต่วั่งซูไม่ได้เลย ท่านอนของสาวน้อยคนนี้พรรณนาได้คำเดียวว่าทนมองไม่ได้
“คืนนี้ห้ามถีบผ้าห่มออกอีกเข้าใจหรือไม่” เฉียวเวยห่มผ้าให้บุตรสาว
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” เฉียววั่งซูตอบอย่างว่าง่าย
เฉียวเวยยิ้มอย่างอ่อนโยน “วิชาที่อาจารย์สอนวันนี้เข้าใจหรือไม่”
“เข้าใจเจ้าค่ะ” เฉียววั่งซูตอบเสียงหวาน
เฉียวเวยหัวเราะ “เจ้าไม่ได้เอาแต่ร้องไห้หรือ ฟังเข้าใจเสียด้วย ถ้าเช่นนั้นเจ้าเล่ามาซิว่าอาจารย์สอนอันใด”
“ท่านอาจารย์…ท่านอาจารย์….ท่านอาจารย์สอน…” เฉียววั่งซูทำหน้าสับสนมึนงง ท่านอาจารย์สอนอะไรแล้วนะ!
เฉียวจิ่งอวิ๋นถอนหายใจเหมือนจนปัญญา “มนุษย์แต่กำเนิด บังเกิดสันดานดี คล้ายคลึงแต่เดิมที ผิดแผกที่ประสบการณ์ มิสอนสั่งแล้วไซร้ นิสัยเปลี่ยนผัน แนวทางสอนนั้น คือใจมั่นแน่วแน่[2]”
มากขนาดนี้เชียว!
เฉียวจิ่งอวิ๋นเอ่ยต่อ “ฟ้าสีคราม ดินสีเหลือง จักรวาลเวิ้งว้าง ตะวันขึ้นแล้วตก ดวงจันทร์เต็มแล้วแหว่ง ดาราเรียงเต็มฟ้า เหมันต์มาเยือน คิมหันต์ลาจาก ถึงสารทเก็บเกี่ยวกักตุนยามหนาว เศษปีบรรจบ นับครบหนึ่งเดือน บรรเลงดนตรีขับกล่อมฟ้าดิน[3] ตอนนี้เพิ่งสอนเท่านี้”
ตอนนี้…เพิ่งสอนเท่านี้หรือ
บุตรชายคงมิได้รู้สึกว่าซิ่วไฉเฒ่าสอนน้อยเกินไปหรอกกระมัง
[1] กระดาษเซวียนจื่อ กระดาษชั้นดีที่ไว้เขียนอักษรหรือวาดภาพ
[2] ส่วนหนึ่งของบทประพันธ์ซานจื้อจิงหรือคัมภีร์ตรีอักษร เป็นหนึ่งในสามบทเรียนฝึกอ่านสำคัญยามเริ่มเรียนหนังสือในสมัยโบราณ สามอักษรประกอบเป็นหนึ่งวรรค เนื้อหาเกี่ยวกับวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ ปรัชญา คุณธรรมและอื่นๆ
[3] ส่วนหนึ่งของบทประพันธ์เชียนจื้อเหวิน ซึ่งเป็นการนำอักษรหนึ่งพันตัวมาเรียงร้อยให้มีเสียงสัมผัส เป็นหนึ่งในสามบทเรียนฝึกอ่านสำคัญยามเริ่มเรียนหนังสือในสมัยโบราณ