หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 301-2 รู้เช่นเห็นชาติ ติดกับในที่สุด
ตอนที่ 301-2 รู้เช่นเห็นชาติ ติดกับในที่สุด
ทุกคนอดรู้สึกประหลาดใจกันไม่ได้ คนในห้องนี้ท่านพ่อเขาก็อยู่ ท่านย่าเขาก็อยู่ แต่ใครกลับเอาเขาไม่อยู่ทั้งสิ้น มีแค่คำพูดของพี่สะใภ้ใหญ่ที่เขาพอจะฟังเข้าหูอยู่บ้าง
เฉียวเวยหันมองทุกคน สายตาไม่ได้คมกล้าเท่าไรนักแต่กลับมีความหนักแน่นที่ทำให้ทุกคนค่อยๆ เงียบเสียงกันลง นางเอ่ยว่า “พี่หว่าน ท่านพอจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ตั้งแต่ต้นจนจบให้ฟังอีกรอบได้หรือไม่”
จีหว่านพยักหน้าพร้อมเล่าว่า “วันนี้เดิมทีข้าคิดจะมาหาหมิงเยี่ย ตอนออกจากจวนข้าบังเอิญได้พบกับหลีซื่อและพูดคุยกับนางอยู่หลายประโยค แล้วบังเอิญได้ยินเสียงน้องชายลูกพี่ลูกน้องของนาง จึงนึกได้ว่าข้าเคยได้ยินน้ำเสียงละม้ายคล้ายกันเช่นนี้จากที่ไหนมาก่อน ดังนั้นข้าเลยรีบมาหาเจ้า ข้าคิดว่าเจ้าอยู่ในห้องตรวจโรค พอเดินเข้ามาก็พูดโพล่งเรื่องนี้ขึ้นทันที แต่ใครจะรู้ว่าคนที่อยู่ข้างในไม่ใช่เจ้าแต่เป็นท่านเขย ท่านเขยพูดจาประหลาดๆ กับข้า ตอนนั้นข้าก็เริ่มมีลางสังหรณ์ไม่ดีแล้ว ข้าอยากจะเดินออกมาแต่เขาไม่ยอม เขาเลยพาข้าไปที่ศาลารับลม…”
จีซวงพูดแทรกเสียงเย็นว่า “เขาไม่ยอม? เจ้าอยู่ในบ้านชิงเหลียน ไม่ได้อยู่กลางป่ากลางเขา คนอยู่กันตั้งมากเพียงนั้น แค่เจ้าตะโกนขึ้นมาเขายังจะบังคับเจ้าเดินออกไปต่อหน้าคนตั้งมากเพียงนั้นได้หรือ”
จีหว่านขมวดคิ้ว “เขามีวรยุทธ์ เขาจับมือข้าไว้แน่น หากข้าไม่ทำตามเขาก็จะทำร้ายทารกในท้องข้า”
จีซวงทำเสียงหึ “เหตุใดข้าถึงไม่รู้ว่าเขามีวรยุทธ์ พี่รองเจ้ารู้หรือไม่”
จีเซิ่งส่ายหน้า เขาไม่รู้จริงๆ ท่านเขยฉินตอนอยู่ในสำนักศึกษา คะแนนด้านวรยุทธ์ของเขามักจะธรรมดา ทั้งขี่ม้ายิงธนูล้วนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขากับเจ้าสามทั้งสิ้น
เฉียวเวยพูดกับจีซวงว่า “ท่านน้าอย่าเพิ่งใจร้อนไป ข้ามีหลักฐานว่าเขามีวรยุทธ์ พี่หว่านเจ้าเชิญพูดต่อ”
จีหว่านเล่าต่อว่า “ตอนนั้นข้าพอรู้สึกได้แล้วว่าเขาคือคนในตอนนั้น แต่เพื่อลดความระแวดระวังของเขาลง ข้าเลยตั้งใจบอกว่าอาจจะเป็นเสียงของท่านอาสาม เขามองออกว่าข้ากำลังโกหกจึงบอกว่าข้าฉลาดมาก น่าเสียดายที่ความฉลาดช่วยชีวิตข้าไว้ไม่ได้ หลังจากนั้นเขาก็คิดจะผลักข้าตกน้ำ พวกเสี่ยวไป๋มาถึงกันพอดีถึงได้จัดการคุมตัวเขาไว้ได้”
สถานการณ์ในเวลานั้นคนที่ไม่เคยประสบมาก่อนคงจะไม่เข้าใจ สตรีนางหนึ่งที่รอคอยบุตรมาเป็นสิบปี หากต้องไปตะเกียกตะกายเอาชีวิตรอดอยู่ในน้ำ ต่อให้นางโชคดีได้รับการช่วยเหลือกลับขึ้นมาได้ แต่ก็มีความเป็นไปได้มากที่ลูกจะไม่อยู่แล้ว
พอฟังถึงตรงนี้ ใจที่นิ่งสงบของทุกคนก็เริ่มเอนเอียงไปทางจีหว่าน มีเพียงจีซวงที่ยังเอ่ยด้วยความดื้อดึงว่า “เจ้าสัตว์หน้าขนพวกนี้เดิมทีก็ไม่เคยอยู่กันสงบๆ อยู่แล้ว ข้าได้ยินว่าคราก่อนยังกัดสาวใช้ของพี่สะใภ้รองอยู่เลย”
นางพูดถึงเรื่องที่ต้าไป๋กัดหงซิ่งจนบาดเจ็บ ตอนนั้นเฉียวเวยเพิ่งอุ้มต้าไป๋กลับมาใหม่ๆ ยังคงมีสัญชาตญาณของสัตว์ป่า เห็นใครก็กัดคนนั้น ทั้งเฉียวเวย วั่งซู จิ่งอวิ๋นล้วนถูกมันกัดกันถ้วนหน้า เพียงแค่ยังไม่ถึงขั้นได้แผลเท่านั้น หงซิ่งโชคไม่ดี ขาถูกกัดจนห้อเลือด บวมอยู่หลายวันกว่าจะหาย
เฉียวเวยเอ่ยกลั้วหัวเราะเรียบๆ “ต้าไป๋เคยกัดคนก็จริง แต่เสี่ยวไป๋กับจูเอ๋อร์ว่าง่ายมาตลอด พวกมันไม่เคยก่อเรื่องมาก่อน หนำซ้ำที่ต้าไป๋กัดคนก็เป็นเรื่องเมื่อหลายเดือนมาแล้ว เวลานี้ต้าไป๋เชื่องจนไม่รู้จะเชื่องอย่างไร หลิวเกอร์อุ้มมันยังไม่เห็นเกิดเหตุใด ทำไมถึงไม่เห็นมันกัดหลิวเกอร์เลยเล่า”
ต้าไป๋เลยยืดอกขึ้น
เฉียวเวยพูดต่อ “เรื่องในตอนนั้นอันที่จริงก็ชัดเจนมากอยู่แล้ว แค่ทุกคนลองคิดดูว่าใครเป็นคนทำโลง ใครเป็นคนวางหมิงเยี่ยลงในโลง และเป็นใครที่เอาฝาโลงขึ้นมาปิด ข้าได้ยินว่าโลงศพของบ้านตระกูลจีเพื่อป้องกันไม่ให้ขึ้นรา ข้างในยังทายางของต้นหลงเซวี่ยเอาไว้ด้วย เมื่อทายางไม้นี้ลงไป โลงศพก็จะมิดชิดเสียจนลมลอดผ่านไม่ได้ หากเด็กธรรมดาเข้าไป ผ่านไปแค่ไม่ถึงหนึ่งช่วงจิบน้ำชาก็คงขาดใจตายอยู่ในนั้นไปแล้ว ข้าไม่แน่ใจว่าหมิงเยี่ยถูกคนขโมยตัวไปหลังเอาลงฝังแล้วหรือถูกเอาตัวไปก่อนเคลื่อนโลงศพไปฝัง แต่ที่มั่นใจได้ก็คือ หมิงเยี่ยไม่ได้อยู่ข้างในนั้นแค่ชั่วเวลาจิบชาหนึ่งถ้วยแน่นอน หากไม่มีใครทำอะไรกับโลงศพจริง เหตุใดหมิงเยี่ยถึงรอดมาได้ ข้าได้ยินว่าเดิมทีช่างไม้คนที่ทำโลงไม่ใช่ท่านเขย เพียงแต่เกิดเรื่องขึ้นระหว่างทาง แล้วตอนนั้นท่านเขยก็บังเอิญอยู่ในบ้านตระกูลจีพอดี ดังนั้นจึงขันอาสามารับหน้าที่สำคัญนี้ให้”
พอพูดถึงตรงนี้ จู่ๆ เฉียวเวยก็หันไปหาจีเซิ่ง “อารอง ท่านยังจำได้หรือไม่ว่าเวลานั้นเหตุใดท่านเขยถึงมาอยู่ในบ้านตระกูลจีได้”
จีเซิ่งย่อมจำได้ เพราะถึงอย่างไรช่วงนั้นก็เป็นช่วงที่หมิงเยี่ยเสียชีวิตพอดี เขาจึงจำเรื่องที่เกิดขึ้นทุกอย่างได้โดยละเอียด ช่วงหลายวันนั้นเป็นวันหยุดพอดี ดังนั้นทุกคนจะต้องกลับบ้าน เขากับน้องสามเองก็เก็บสัมภาระเรียบร้อย ระหว่างทางเห็นฉินปิงอวี่นั่งเหงาอยู่คนเดียวบนสนามหญ้าจึงคิดได้ว่าเขาเป็นคนจากต่างถิ่น ช่วงวันหยุดเทศกาลไม่มีบ้านให้กลับ ด้วยความสงสารจึงเชิญเขามาอยู่ที่บ้านตระกูลจีเป็นการชั่วคราว
หมิงเยี่ยสุขภาพไม่ดี เรื่องนี้พวกเขาต่างรู้ ผู้อาวุโสของตระกูลช่วยชีวิตหมิงซิวไว้ได้ ส่วนหมิงเยี่ยถูกอาการบาดเจ็บภายในรุกรานจึงอ่อนแอลงทุกวัน พวกเขายังไปเยี่ยมหมิงเยี่ยอยู่เลย หนึ่งคืนก่อนที่พวกเขาจะกลับสำนักศึกษา หมิงเยี่ยก็เสียชีวิตลง
หมิงเยี่ยจากไปค่อนข้างกะทันหัน แต่เดิมทีเขาก็บาดเจ็บหนักอยู่แล้ว ทั้งยังเป็นเด็กอายุไม่ครบเดือนจึงไม่มีใครสงสัยอะไร
ท่านหมอมาดูแล้ว ชีพจรเขาไม่เต้นแล้วจริงๆ
เวลานี้อากาศเริ่มร้อนจึงกลัวว่าศพจะอยู่ได้ไม่นาน ตระกูลจีรีบเรียกตัวช่างไม้มา แต่ใครจะรู้ว่าช่างไม้จะเกิดอุบัติเหตุระหว่างทาง ทางบ้านของฉินปิงอวี่เป็นช่างไม้ พอรู้เรื่องงานช่างอยู่บ้าง ทั้งยังเคยทำโลงศพมาก่อน จึงรับอาสาทำหน้าที่สำคัญนี้ ทำโลงศพให้กับหมิงเยี่ย เขาไม่หลับไม่นอนเลยหนึ่งวันหนึ่งคืน เหนื่อยจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง หนังสือหนังหาก็ไม่ได้ไปเข้าเรียน เขายังเคยนึกซึ้งใจ โชคดีที่พาฉินปิงอวี่กับมาบ้านด้วย ไม่อย่างนั้นหมิงเยี่ยคงไม่ได้ลงฝังอย่างครบถ้วนสมบูรณ์
แต่ดูจากตอนนี้แล้ว น่ากลัวว่าเขาจะพาหมาป่าเข้าบ้านเสียแล้ว…
เพียงแต่เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดฉินปิงอวี่ต้องทำเช่นนี้
สีหน้าจีซั่งชิงดูย่ำแย่ถึงขีดสุด เขานิ่งเงียบไปพักใหญ่ก่อนจะหันไปเอ่ยกับเฉียวเวยว่า “เมื่อกี้ที่เจ้าพูดบอกว่ามีหลักฐานว่าเขามีวรยุทธ์ นั่นเป็นเรื่องอะไรกันอีก”
เฉียวเวยทำหน้าจริงจัง “วันนั้นหมิงเยี่ยเผอิญได้ยินคนสองคนพูดคุยกันในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง แล้วมีการเอ่ยถึงว่าท่านเขยก็คือฉางเฟิงสื่อของพวกนาง”
“ฉางเฟิงสื่อ?” จีซั่งชิงสีหน้าพลันเปลี่ยน
ดวงตาเฉียวเวยพลันขยับ ดูจากท่าทางของพ่อสามีนางในเวลานี้ คงไม่ใช่ว่าเคยได้ยินชื่อฉางเฟิงสื่อมาก่อนกระมัง
จีซวง “พี่ใหญ่!”
จีซั่งชิงโบกมือ “เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว เรื่องนี้ข้าจะตัดสินเอง”
จีซวงขมวดคิ้ว “ท่านจะตัดสินอย่างไร ท่านคิดจะทำอะไรเขา”
จีซั่งชิงสบตากับน้องสาวพลางเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “จับเขาไปขังคุกก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
“อะไรนะ” จีซวงเดือดดาล “ท่าน…ท่านจะจับเขาไปขังคุกใต้ดิน? คุกใต้ดินไม่มีคนเข้าไปตั้งกี่ปีแล้ว ใช่ที่ที่คนจะอยู่ได้หรือ พี่ใหญ่ท่านจะทำเช่นนี้ไม่ได้นะ!”
จีซั่งชิงทำหน้าเคร่งเครียด “องครักษ์ มาเอาตัวเขาออกไป! จับขังคุกใต้ดิน!”
องครักษ์สองคนเข้ามาในห้อง ยกตัวท่านเขยฉินที่สลบไสลไม่ได้สติไปยังคุกใต้ดิน
จีซวงกอดแขนจีเหล่าฮูหยินไว้ “ท่านแม่! ท่านรีบห้ามพี่ใหญ่เร็วเข้า! ตัวเขาบาดเจ็บอยู่ คุกนั่นเอาชีวิตเขาได้เลยนะ!”
จีเหล่าฮูหยินถลึงตาใส่บุตรสาว “เจ้านี่มันหลงผิดจริงๆ! ดูสิว่าเขาทำร้ายตระกูลเราจนถึงขั้นไหนแล้ว!”
จีซวงรีบบอกว่า “บางทีอาจจะเข้าใจผิดกันก็ได้ เหตุใดพวกท่านถึงไม่เชื่อเขาเลยเล่า”
หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นที่มากล่าวหาท่านเขยฉิน บางทีจีเหล่าฮูหยินอาจจะไม่เชื่อ แต่อีกฝ่ายคนหนึ่งคือจีหว่าน อีกคนคือจีหมิงเยี่ย หากพูดเรื่องความใกล้ชิดแล้ว หลานรักทั้งสองคนนี้จะไม่ใกล้ชิดว่าลูกเขยที่มีความเกี่ยวโยงทางสายเลือดอยู่มากโขหรอกหรือ
จีซวงเห็นสีหน้าจีเหล่าฮูหยินดูไม่หวั่นไหวสักนิดก็ร้อนใจจนนั่งไม่ติด “ไม่ใช่พวกท่านหรือที่บอกให้ข้าให้อภัยเขา ใช้ชีวิตกับเขาให้ดี เหตุใดผ่านไปยังไม่ถึงวัน พวกท่านก็เปลี่ยนกันไปหมดแล้วเช่นนี้”
จีเหล่าฮูหยินเอ่ยเสียงเย็นว่า “นั่นเพราะข้าไม่รู้ว่าเขาถึงขั้นเป็นคนเช่นนี้! เจ้าก็ไม่ต้องพูดแล้ว พูดอะไรก็ไม่มีประโยชน์ทั้งนั้น เรื่องนี้พี่ใหญ่เจ้าเป็นคนตัดสินใจ เจ้าก็ต้องฟังพี่ใหญ่เจ้า เถาจือ!”
“เหล่าฮูหยิน!” เถาจือรีบเดินเข้ามา
จีเหล่าฮูหยินเอ่ยสั่งว่า “ประคองนายเจ้าออกไป ถ้าไม่มีอะไรก็ให้นางทำใจให้สงบ เลี้ยงดูบุตรอยู่ในห้อง อย่าออกมาเดินเพ่นพ่าน!”
“เจ้าค่ะ เหล่าฮูหยิน” เถาจือรับคำอย่างกล้าๆ กลัวๆ ประคองแขนจีซวงไว้แล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “ฮูหยิน พวกเรากลับกันก่อนเถิด เวลานี้คุณชายห้าน่าจะตื่นแล้ว คงกำลังร้องหาท่านอยู่เจ้าค่ะ”
จีซวงถูกเถาจือเกลี้ยกล่อมพาตัวออกไป
จีเหล่าฮูหยินโกรธไม่น้อย นางตาบอดไปแล้วจริงๆ ถึงได้คิดจะให้อภัยความผิดของบุรุษผู้นั้น บุรุษผู้นั้นเลวชาติตั้งแต่เปลือกนอกจนถึงข้างในกระดูก ไม่มีอะไรควรค่าแก่การให้อภัยเลยสักนิด!
จีเซิ่งกับหลี่ซื่อพากันกลับไปยังเรือนรอง จีเซิ่งเอาหมาป่าเข้าบ้านจึงรู้สึกผิดยิ่งนัก ส่วนเรื่องที่เกลี้ยกล่อมให้จีซวงยอมคืนนี้กับท่านเขยฉิน หลี่ซื่อก็มีส่วนไม่น้อย ทั้งสองจึงอับอายขายหน้ามิกล้าสู้หน้าใครอีก
เฉียวเวยกับใต้เท้าเจ้าสำนักก็เตรียมจะออกไปเช่นกันแต่กลับถูกจีซั่งชิงเรียกเอาไว้ “พวกเจ้าสองคนตามข้าไปที่เรือนถงก่อน”
“ข้าไปด้วย” จีหว่านเอ่ย
จีซั่งชิงตีหน้าขรึม “เจ้าจะมาด้วยทำไม ดูแลครรภ์ของเจ้าให้ดีต่างหากที่สำคัญ! หากครั้งนี้เจ้าอยู่สงบๆ ที่จวนกั๋วกง จะเกือบเอาชีวิตไม่รอดเช่นนี้หรือ”
จีหว่านแย้งกลับว่า “เหตุใดท่านถึงไม่บอกว่าหากไม่ใช่เพราะข้า ก็คงจับเจ้าหนูตัวร้ายนี้ไม่ได้เล่า!”
“เจ้า…” จีซั่งชิงแทบจะถูกบุตรสาวทำให้โมโหตาย
เฉียวเวยระบายยิ้ม “พี่หว่าน ท่านพ่อพูดถูก เวลานี้หน้าที่สำคัญของเจ้าคือรักษาครรภ์ให้แข็งแรง ข้ารับปากท่านว่าหากทางนี้มีอะไรคืบหน้า จะพาหมิงเยี่ยไปบอกเล่าให้เจ้าฟังแน่นอน”
จีหว่านเลิกคิ้ว “อย่างนี้ค่อยน่าฟังหน่อย”
…
จีซั่งชิงจัดการให้มีองครักษ์ถึงยี่สิบคนอารักขาจีหว่านกลับไปที่จวนกั๋วกง แล้วจึงพาเฉียวเวยกับใต้เท้าเจ้าสำนักไปที่เรือนถง
ทั้งสามเข้าไปในห้องหนังสือ
จีซั่งชิงทำมือบอกให้ทั้งสองนั่งลง
เฉียวเวยกับใต้เท้าเจ้าสำนักนั่งลงตรงข้ามเขา
เขาดึงเปิดลิ้นชัก ไม่รู้ว่าหาอะไรอยู่
เฉียวเวยเอ่ยขึ้นว่า “ท่านพ่อ เมื่อครู่ตอนข้าเอ่ยถึงฉางเฟิงสื่อสีหน้าท่านดูแปลกไป ใช่เพราะท่านรู้อะไรบางอย่างหรือไม่”
จีซั่งชิงค้นเอากล่องผ้าไหมออกมาจากในลิ้นชักแล้วส่งมาให้เฉียวเวย
เฉียวเวยเปิดกล่องออก ข้างในเป็นป้ายคำสั่งทรงดอกจิก บนป้ายมีรูปภาพนกชิงหลวนกับตัวอักษรบรรทัดหนึ่งที่เฉียวเวยอ่านไม่ออก แต่ต่อให้อ่านไม่ออกแต่กลับพอเดาจากลักษณะของมันได้ “อักษรเยี่ยหลัว?”
จีซั่งชิงมีท่าทีลังเล พักใหญ่ถึงได้เอ่ยว่า “นี่เป็นของของท่านแม่พวกเจ้า”
เฉียวเวยเลิกคิ้ว “ขององค์หญิง?”
ใต้เท้าเจ้าสำนักเขยิบเข้ามาดู
เฉียวเวบลูบรอยสลักด้านบนป้ายแล้วถามว่า “นี่คือตัวอักษรอะไรบ้างหรือ ท่านพ่อ”
จีซั่งชิงนิ่งไปแล้วถึงบอกว่า “ฉางเฟิงสื่อ”