หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 302-1 ความจริงยิ่งกว่านั้น
ตอนที่ 302-1 ความจริงยิ่งกว่านั้น
เฉียวเวยไม่แปลกใจสักนิดที่จีซั่งชิงอ่านภาษาเยี่ยหลัวเข้าใจ เพราะถึงอย่างไรในหอเก็บหนังสือของบ้านตระกูลจีก็มีหนังสือโบราณที่เขียนด้วยภาษาเยี่ยหลัวอยู่ไม่น้อย จีซั่งชิงเป็นคนค่อนข้างไม่ซับซ้อน แต่เรื่องความรู้ไม่มีข้อให้ติติง สำหรับเขาการเรียนภาษาหนึ่งย่อมไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพียงแต่นี่ไม่ได้หมายความว่าเขารู้ถึงฐานะโหราจารย์ของบรรพบุรุษตระกูลจี
“เหตุใดในมือองค์หญิงถึงมีตราคำสั่งของฉางเฟิงสื่อได้”
“เมื่อครู่เจ้าบอกว่านี่คือภาษาเยี่ยหลัว?”
เสียงของเฉียวเวยกับจีซั่งชิงแทบจะดังขึ้นพร้อมกัน
ใต้เท้าเจ้าสำนักมองทั้งสองด้วยสายตาประหลาด
เฉียวเวยลูบคิ้วพลางหัวเราะแหะๆ
คิ้วของจีซั่งชิงขมวดเข้าหากันเล็กน้อย “พวกเจ้ามีอะไรปิดบังข้าอยู่รึไม่”
เฉียวเวยลูบคอ “ไม่มี”
“ไม่มีจริงๆ?” จีซั่งชิงจ้องหน้าเฉียวเวยขณะถาม
เฉียวเวยถอนหายใจ “เอาเถิด ความจริงคือมีอยู่เล็กน้อย”
จีซั่งชิงมองหน้านางเงียบๆ เป็นการบอกให้นางพูดต่อไป
ถึงอย่างไรเขาก็เป็นบิดาผู้ให้กำเนิดจีหมิงซิว เป็นประมุขแห่งตระกูลจี โดยหลักการแล้วก็มีสิทธิ์ที่จะรู้ความจริง ยิ่งไปกว่านั้นความจริงนี้คนเยี่ยหลัวก็รู้กันแล้ว ไม่นานทางตระกูลจีคงไม่ได้อยู่กันสงบสุขอีก เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องหลบซ่อนปิดบังอีกแล้ว
“ท่านพ่อรู้ถึงประวัติความเป็นมาของภาษาเยี่ยหลัวหรือไม่” เฉียวเวยถาม
จีซั่งชิงพยักหน้า อักษรเยี่ยหลัวเป็นอักษรของชนเผ่าเยี่ยหลัว ชนเผ่าเยี่ยหลัวเป็นผู้รวมใต้หล้าเป็นหนึ่ง หลังจากสถาปนาราชวงศ์เทียนฉี่แล้ว ทั้งราชวงศ์ก็เริ่มใช้อักษรประเภทนี้สืบต่อกันมา เพียงแต่ราชวงศ์เทียนฉี่ล่มสลายไปนานหลายปี แต่ละแคว้นจึงเริ่มใช้อักษรแบบใหม่จนไม่มีใครรู้จักภาษาเยี่ยหลัวกันแล้ว จีซั่งชิงรู้จักภาษานี้แต่กลับคิดว่ามันเป็นอักษรของแคว้นเล็กๆ ที่ไหนสักแคว้น ไม่ได้รู้ว่ามันก็คือภาษาเยี่ยหลัว
“บรรพบุรุษตระกูลจีเหตุใดถึงได้มีหนังสือภาษาเยี่ยหลัวมากมายเช่นนี้” เขาพึมพำ
“เรื่องนี้น่ะ…” เฉียวเวยระบายยิ้ม “ท่านพ่อเคยได้ยินชื่อชนเผ่าถ่าน่ารึไม่”
“เคยได้ยิน เหนือเยี่ยหลัว ใต้ถ่าน่า ชนเผ่าทั้งสองนี้เคยเป็นชนเผ่าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในหมู่โจวทั้งเก้าชนเผ่าทั้งหนึ่งร้อยแปด หลังจากเยี่ยหลัวรวบรวมใต้หล้าเป็นหนึ่งได้แล้ว ถ่าน่าถึงแม้จะยอมสิโรราบตามเยี่ยหลัว แต่กลับยึดครองชีพจรแห่งชีวิตของรัชทายาททุกคน ไม่มีโหราจารย์ก็ไร้ซึ่งรัชทายาท ผู้สืบทอดตำแหน่งฮ่องเต้ทุกยุคสมัยล้วนผ่านการคัดเลือกโดยโหราจารย์ทั้งสิ้น ดังนั้นหากดูจากจุดนี้แล้ว ราชวงศ์เยี่ยหลัวอันที่จริงก็ถูกควบคุมโดยชนเผ่าถ่าน่า เรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกับอักษรเยี่ยหลัวในบ้านตระกูลจีหรือ” จีซั่งชิงไม่เข้าใจ
พ่อสามีผู้นี้ปกติไม่เห็นเคยพูดอะไร ไม่คิดเลยว่าจะรู้เรื่องทุกอย่างละเอียดเช่นนี้
เฉียวเวยจึงยิ่งไม่คิดจะปิดบังบอกออกไปตามตรงว่า “บรรพบุรุษของตระกูลจีก็คือโหราจารย์รุ่นสุดท้ายของชนเผ่าถ่าน่า”
“แค่กๆๆ!” ใต้เท้าเจ้าสำนักขมวคคิ้วที่เป็นทรงสวยของตนแล้วยืดอกขึ้น!
จีซั่งชิงถึงกับตาโตอ้าปากค้าง
เฉียวเวยอาศัยจังหวะช่วงที่เขายังไม่หายตกใจ เล่าประวัติความเป็นมาของชนเผ่าลึกลับตั้งแต่ต้นจนจบให้จีซั่งชิงฟังเสียเลย
จีซั่งชิงได้ฟังเสร็จก็นิ่งอึ้งไปนาน เขาเคยไปยังเขตต้องห้ามของบ้านตระกูลจีมาก่อน รู้ว่าประวัติตระกูลจีต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่ แต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่าจะไม่ธรรมดาถึงขั้นนี้ เฉียวเวยก็เช่นกัน นางเป็นถึงจั๋วหม่าน้อยของชนเผ่าลึกลับ เรื่องนี้ช่าง…ช่างน่าตกใจเกินไปแล้ว!
แน่นอนว่า ที่เขาตกใจที่สุดก็คือบุตรชายคนเล็กของเขาถึงขั้นเติบโตมาในสถานที่เช่นนั้น เมื่อคิดถึงความลำบากที่บุตรชายคนเล็กของตนต้องเผชิญตลอดหลายปีนั้น สองมือเขาก็กำหมัดแน่น “คนพวกนั้นเป็นใครกันบ้าง”
เฉียวเวยตอบว่า “ตอนนี้สงสัยว่าจะเป็นคนเยี่ยหลัว”
จีซั่งชิงกำลังคิดจะบอกว่าคิดไม่ถึงว่าเยี่ยหลัวจะยังมีทายาทเหลืออยู่ คำพูดแล่นมาถึงริมฝีปากก็นึกขึ้นได้ว่ากระทั่งชนเผ่าถ่าน่าที่ถูกสังหารล้างชนเผ่าก็ยังมีผู้สืบทอด การที่ราชวงศ์เยี่ยหลัวมีปลาที่หลุดจากแหออกมามากเพียงนั้นจึงไม่น่าใช่เรื่องแปลกอะไร “ในเมื่อพวกเขากลับมาแล้ว เหตุใดถึงไม่มีผู้ใดรับรู้”
ความยิ่งใหญ่เมื่อในอดีตของชนเผ่าเยี่ยหลัว จนถึงทุกวันนี้เวลานึกย้อนกลับไปก็ยังทำให้แต่ละแคว้นอกสั่นขวัญแขวนได้อยู่ดี ด้วยเหตุนี้ ราชวงศ์ของทุกแคว้นจึงหวั่นเกรงชนเผ่าเยี่ยหลัวกันยิ่งนัก หากพวกเขารู้ เกรงว่าคงไม่นิ่งเฉยกันอยู่เช่นนี้
เฉียวเวยคิดแล้วเอ่ยว่า “หมิงซิวเคยบอกว่า ตอนนั้นที่องค์หญิงได้รับบาดเจ็บอาจจะเกี่ยวข้องกับสำนักซู่ซินจง ดังนั้นข้าจึงเดาว่าคนเยี่ยหลัวน่าจะแฝงตัวอยู่ในซู่ซินจง ซู่ซินจงไม่เป็นส่วนหนึ่งของต้าเหลียงและไม่ถูกควบคุมโดยหนานฉู่ ทั้งสองแคว้นล้วนไม่มีอำนาจในการตรวจสอบหรือแทรกแซง หากในนั้นมีใครหลบซ่อนอยู่ โลกภายนอกก็ยากที่จะรับรู้ได้”
จีซั่งชิงนิ่งใคร่ครวญ “ฉินปิงอวี่เป็นคนเยี่ยหลัว?”
เฉียวเวยพยักหน้า “น่าจะใช่”
จีซั่งชิงกำหมัดแน่นจนเกิดเสียงดัง สีหน้านิ่งขรึมราวกับทะเลสาบที่ไร้การเคลื่อนไหว “เขาแฝงตัวอยู่ในบ้านตระกูลจีมานานปีเพียงนี้เพราะคิดจะทำอะไรกันแน่”
เฉียวเวยบอกว่า “คิดจะยึดครองตระกูลจี ควบคุมชนเผ่าลึกลับ”
จีซั่งชิงหลับตาลง “น่าสงสารท่านน้าของเจ้า…”
ใต้เท้าเจ้าสำนักอ้าปากหาว
สองคนนี้พูดพล่ามกันอยู่นั่น น่าเบื่อจริงๆ!
จีซั่งชิงแค่คิดว่าข้างกายถึงขั้นมีสายลับจากต่างชนเผ่าแฝงตัวอยู่ ในใจก็มีความรังเกียจแผ่ซ่านออกมาโดยไม่รู้ตัว “เรื่องขององค์หญิงเมื่อตอนนั้นใช่ฝีมือคนกลุ่มนี้หรือไม่”
เฉียวเวยพยักหน้า
จีซั่งชิงทุบกำปั้นลงกับโต๊ะทันที สั่นสะเทือนไปถึงใต้เท้าเจ้าสำนักที่ฟุบหลับอยู่บนโต๊ะจนเกือบตกลงมาจากเก้าอี้!
จีซั่งชิงรีบขอโทษเป็นพัลวัน “ขอโทษที… เจ้านอนต่อเถิด ข้าไม่ทำเจ้าตกใจแล้ว…”
ใต้เท้าเจ้าสำนักปรายตามองอีกฝ่ายด้วยความรังเกียจ เอามือกอดอก ถลึงตามองกาน้ำชาบนโต๊ะด้วยความอารมณ์เสีย ไม่นอนแล้ว!
พอคิดถึงอะไรได้ เฉียวเวยก็ถามว่า “ใช่สิท่านพ่อ แล้วตราคำสั่งนี้มันเรื่องอะไรกัน”
จีซั่งชิงบอกว่า “นี่เป็นสิ่งที่ท่านแม่เจ้ามอบไว้ให้ข้าก่อนสิ้นใจ นางไม่ได้บอกอะไรทั้งสิ้น ถึงแม้ข้าจะรู้ว่าบนป้ายเขียนไว้ว่าอะไรแต่กลับไม่รู้ถึงความหมายของมัน ที่เมื่อครู่เจ้าบอกว่าท่านเขยของเจ้าคือฉางเฟิงสื่อของคนพวกนั้น ข้าถึงได้นึกออกว่ายังมีตราคำสั่งนี้อยู่”
เฉียวเวยนิ่งคิดก่อนบอกว่า “ครานั้นที่องค์หญิงมีปากเสียงใหญ่โตกับท่านปู่ หลังจากนั้นก็พาหมิงซิวกับพี่หว่านออกจาตระกูลจีไป ท่านก็ย้ายออกตามองค์หญิงไปด้วย บางทีอาจเป็นเพราะองค์หญิงเจอตราคำสั่งนี้และรู้ถึงฐานะของท่านเขย แล้วยังตอนที่พี่หว่านได้ยินเสียงร้องไห้ของหมิงเยี่ยในโถงพิธีศพ องค์หญิงก็น่าจะรู้เรื่องนี้ องค์หญิงกลัวว่าฉางเฟิงสื่อจะทำมิดีมิร้ายพี่หว่าน ถึงได้ตั้งใจมีปากเสียงกับท่านปู่เพื่อเป็นข้ออ้างในการย้ายออกไปจากบ้านตระกูลจี”
“ข้าไม่เข้าใจมาตลอดว่าเหตุใดเจาหมิงจะต้องอาละวาดใส่ท่านพ่อข้าเสียใหญ่โตเพียงนั้น…ที่แท้ก็เพราะเรื่องนี้…” ในใจจีซั่งชิงรู้สึกเสียใจ ในความเสียใจนั้นกลับรู้สึกโทษตัวเองเสียยิ่งกว่า “เหตุใดนางถึงไม่บอกข้า…เพราะเหตุใด…”
เฉียวเวยบอกว่า “องค์หญิงอาจคิดที่จะปกป้องพวกท่านกระมัง”
เพราะถึงอย่างไรความแข็งแกร่งของคนเยี่ยหลัว องค์หญิงก็ได้รับรู้มาอย่างลึกซึ้งแล้ว นางแค่เพียงโดนเข้าไปฝ่ามือเดียวก็ต้องเสียสละกำลังภายในของผู้อาวุโสไปถึงเจ็ดท่านถึงจะรักษาชีวิตเด็กคนหนึ่งเอาไว้ได้ แล้วนางจะให้สามีของตนมาตกที่นั่งลำบากเช่นเดียวกับนางได้อย่างไร
“อันที่จริงข้าไม่เข้าใจมาตลอดว่าตอนนั้นท่านแม่ข้ามาถึงบ้านตระกูลจีได้อย่างไร”
“หมายความว่าอย่างไร” จีซั่งชิงหันไปมองเฉียวเวย
เฉียวเวยนิ่งใช้ความคิดไปครู่หนึ่ง “เพราะท่านแม่ข้าเข้ามาในบ้านตระกูลจี ถึงได้รู้ว่าบ้านตระกูลจีสามารถปกป้องข้าได้ ดังนั้นจึงคิดทำทุกวิถีทางให้ข้าได้แต่งงานเข้าตระกูลจี ท่านพ่อ ท่านว่าเช่นนี้พอจะเป็นไปได้หรือไม่ ว่าองค์หญิงเป็นคนหลอกล่อให้ท่านแม่ข้ามาที่นี่”
จีซั่งชิงอึ้งไป “เจ้าจะบอกว่า…เจาหมิงนาง…รู้ถึงฐานะของแม่เจ้า?”
เฉียวเวยขมวดคิ้ว “ข้าก็เพียงเดาไปเรื่อยเปื่อย แต่ข้าคิดว่าหากมีเพียงคนเดียวจากทั้งใต้หล้าที่จะรู้ถึงฐานะของท่านแม่ข้า คนผู้นั้นก็จะต้องเป็นองค์หญิง องค์หญิงฉลาดปราดเปรื่องเพียงนั้น เพื่อคุ้มครองสามีกับบุตรของตน นางยินดีที่จะแบกรับการดูหมิ่นมาหลายปี แล้วนางจะยอมทิ้งภัยร้ายอันยิ่งใหญ่ขนาดนี้ไว้แล้วจากโลกนี้ไปแต่เพียงผู้เดียวได้อย่างไร นางปูทางรอไว้ให้หมิงซิวเรียบร้อยแล้ว”
ท่านแม่นางคิดว่าการที่นางได้แต่งงานเข้าตระกูลจี จะทำให้นางหลบหนีจากการตามล่าสังหารของตำหนักธิดาเทพได้ แต่กลับไม่รู้ถึงแผนการขององค์หญิง การที่หมิงซิวได้ชนเผ่าลึกลับมาก็เท่ากับว่าเขาได้เปรียบมากที่จะต่อกรกับเยี่ยหลัว
ในความสัมพันธ์ที่ต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์นี้ คนที่ได้ประโยชน์สูงสุดก็คือองค์หญิง
สตรีผู้อ่อนแอผู้นี้จากโลกนี้ไปตั้งแต่เมื่อสิบแปดปีก่อน แต่ทางที่นางปูรอไว้ให้หมิงซิวนี้ใช่แค่สิบแปดปีนี้หรือสิบแปดปีต่อไปเมื่อไรกัน
…
เฉียวเวยนั่งอยู่ในเรือนถงต่ออีกพักหนึ่ง นางพูดคุยกับจีซั่งชิงไปไม่น้อย แล้วถึงได้พาใต้เท้าเจ้าสำนักที่จะหลับแหล่มิหลับแหล่กลับไป
ส่วนเรื่องของท่านเขยฉิน พวกเขาตกลงร่วมกันแล้วว่าจะรอให้หมิงซิวกลับมาสอบสวนและจัดการเขาอีกที เพราะถึงอย่างไรหากท่านเขยฉินเป็นคนร้ายที่ทำร้ายองค์หญิงเมื่อครานั้นจริง หมิงซิวน่าจะอยากเป็นคนจัดการกับความแค้นส่วนนี้เอง
ทั้งสองกลับกันไปได้ไม่เท่าไร จีซวงก็มาหา
จีซั่งชิงยังคงจมอยู่ในอารมณ์แห่งความเศร้าโศก ไม่มีอารมณ์จะสนใจจีซวง เขาให้คนไล่จีซวงกลับไปแต่จีซวงไม่ยอมเลยบุกเข้ามาหาเขาเสียเลย บ่าวในเรือนถงต่างเคยเห็นถึงความร้ายกาจของกูหน่ายนายผู้นี้มาแล้วถึงไม่กล้าเสี่ยงชีวิตเข้าไปขวาง จีซวงเลยได้บุกเข้าไปถึงห้องของพี่ใหญ่
“พี่ใหญ่!”
จีซวงก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไป