หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 310-1 คนของซู่ซินจงมา ซาลาเปาน้อยไปเข้าเรียน (2)
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก
- ตอนที่ 310-1 คนของซู่ซินจงมา ซาลาเปาน้อยไปเข้าเรียน (2)
ตอนที่ 310-1 คนของซู่ซินจงมา ซาลาเปาน้อยไปเข้าเรียน (2)
หลังจากเสียงระฆังดัง การเรียนของวันนั้นก็เริ่มต้น
สำนักศึกษาหนานซานไม่ใช่สถานศึกษาประเภทที่เอาแต่เรียนในตำรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเยาว์วัยที่ยังไม่แน่ใจเป้าหมายในชีวิต ชั้นเรียนถูกจัดแบ่งอย่างเหมาะสมและสมดุล ตอนเช้าเรียนวิชาความรู้ ตอนบ่ายเรียนวรยุทธ์กับศิลปะ การเรียนวิชาความรู้มีสัดส่วนมากที่สุด แต่นั่นก็เพราะเนื้อหาที่ต้องร่ำเรียนในส่วนนั้นมีมากที่สุดเช่นกัน
อาจารย์ซุนในฐานะหัวหน้าอาจารย์ รับผิดชอบสอนวิชาความรู้ นอกจากเรียนตำราทั้งหกกับศาสตร์การคำนวนทั้งเก้า ก็ยังสอนสี่ตำราหาคัมภีร์อีกเล็กน้อยด้วย วันนี้บังเอิญเป็นวันที่สอนตำราบทกวี ‘ซือจิง’ พอดี
ในชั้นเรียน ‘ซือจิง’ ก่อนหน้านี้ ลูกศิษย์คนโปรดของอาจารย์ซุนก็คือจิ่งอวิ๋น ถัดมาก็คือคุณชายน้อยลิ่น นักเรียนสองคนนี้นับว่าอายุน้อยเมื่อเทียบกับสหายร่วมชั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจิ่งอวิ๋น ปีนี้เพิ่งจะอายุเต็มหกขวบเท่านั้น เด็กน้อยอายุเพียงเท่านี้กลับจดจ่อตั้งใจฟังคำสอนอย่างเต็มที่ อีกทั้งยังฟังเข้าใจทั้งหมด ทำให้อาจารย์ซุนถึงขั้นรู้สึกว่าตนเองมิควรสอนให้เด็กคนนี้เป็นเด็กดีจนเกินไป ทว่านับตั้งแต่ศิษย์สองคนของสำนักซู่ซินจงมาถึง เขาก็รู้สึกว่าในรายชื่อลูกศิษย์คนโปรดของตนเองมีลูกศิษย์เพิ่มอีกสองคน
“เนื้อหาที่จะเรียนกันวันนี้คือบทกวี ‘ต้นไม้โน้มกิ่ง’ บทกวีกล่าวไว้ดังนี้
ทิศใต้ต้นไม้โน้มกิ่ง เถาวัลย์อิงเกาะเกี่ยวพัน
วิญญูชนย่อมสุขสันต์ ยามปลอบขวัญช่วยผู้คน
ทิศใต้ต้นไม้โน้มกิ่ง เถาวัลย์อิงแผ่กิ่งก้าน
วิญญูชนย่อมสำราญ ยามเกื้อหนุนช่วยผู้คน
ทิศใต้ต้นไม้โน้มกิ่ง เถาวัลย์อิงโอบอินทรีย์
วิญญูชนย่อมเปรมปรีดิ์ ยามช่วยคนสมประสงค์
มีผู้ใดทราบหรือไม่ว่าบทกวีบทนี้หมายความว่าอย่างไร”
อาจารย์ซุนมักจะถามคำถามที่ลึกซึ้งเช่นนี้เสมอ ทุกครั้งสายตาของเขาจะหันไปหาคุณชายน้อยลิ่นกับจิ่งอวิ๋น ทว่าวันนี้เขาเพิ่งเอ่ยจบ ยังมิทันได้หันไปมองทั้งสองคน มนุษย์ตัวน้อยคนหนึ่งด้านหน้าก็ลุกขึ้นยืน “ข้าทราบ ท่านอาจารย์”
อาจารย์ซุนเพ่งสายตามองก็พบว่าเป็นศิษย์สำนักซู่ซินจงที่เพิ่งมาใหม่ สำนักซู่ซินจงเลื่องชือลือชาในด้านวรยุทธ์ อาจารย์ซุนไม่คิดว่าความสามารถทางศาสตร์วิชาความรู้ของเขาจะยอดเยี่ยมไปถึงไหน แต่อาจารยซุนก็ยังคงมีท่าทีใจกว้างอย่างยิ่ง ปล่อยให้หลี่ฟางเฟยถอดความบทกวี ผลปรากฏว่าไม่คลาดเคลื่อนจากความหมายของบทกวีสักนิด! ไม่เพียงเท่านั้น นางยังเพิ่มความคิดเห็นของตนเองอีกว่า “…บทกวีบทนี้กล่าวมิผิด แต่ข้าคิดว่าในฐานะวิญญูชนจะคิดถึงผู้อื่นเพียงอย่างเดียวมิได้ บางครั้งก็ต้องทำให้ตนเองมีความสุขตามสมควรก่อน ค่อยทำให้ผู้อื่นมีความสุขบ้าง มิอาจกล้ำกลืนทนทุกข์เพื่อความสุขของทุกคนได้ตลอดเวลา”
ความคิดเห็นนี้ผิดจากหลักคุณธรรมในคัมภีร์อยู่บ้าง แต่มีข้อดีคือแปลกใหม่และเป็นความจริงแท้ อาจารย์ซุนพยักหน้าอย่างพึงพอใจ เด็กหญิงคนหนึ่งมีความคิดเช่นนี้ ช่างน่ายินดีน่าฉลอง น่ายินดีน่าฉลองจริงๆ เชียว!
หลังจากนั้นหลี่ลั่วก็แสดงความสามารถอันยอดเยี่ยมในชั้นเรียนเฉกเช่นเดียวกับศิษย์พี่ มิว่าอาจารย์ซุนถามสิ่งใด เขาล้วนตอบได้อย่างคล่องแคล่ว นักเรียนใหม่สองคนแย่งความโดดเด่นที่แต่เดิมเป็นของจิ่งอวิ๋นกับคุณชายน้อยลิ่นไปจนหมด
สีหน้าของคุณชายน้อยลิ่นย่ำแย่เล็กน้อย พ่ายแพ้ให้กับจีจิ่งอวิ๋นคนเดียวก็หงุดหงิดพอแล้ว เหตุไฉนเด็กใหม่สองคนยังเก่งกว่าเขาอีกเล่า
แต่สีหน้าของจิ่งอวิ๋นสงบอย่างยิ่ง เขาตั้งใจฟังอาจารย์สอนพลางเช็ดมุมปากให้น้องสาวเป็นระยะ
ความโดดเด่นของหลี่ฟางเฟยกับหลี่ลั่วไม่ได้ปรากฏในด้านบทกวีเท่านั้น ความสามารถในวิชาคำนวนของพวกเขาก็ทำให้สหายร่วมชั้นเรียนทั้งหลายต้องมองพวกเขาเสียใหม่เช่นกัน
“นับทีละเจ็ดเหลือสอง นับทีละห้าหมดพอดี นับทีละเก้าเหลือสี่ดวง โคมไฟสีแดงจุดสว่างอยู่กี่ดวง” อาจารย์ซุนตั้งคำถาม
นี่เป็นปริศนาคำนวณประเภท ‘หานซิ่นนับทหาร[1]’ ของฉินจิ่วเสา[2] เป็นคำถามคำนวณที่ยากจะเข้าใจอย่างยิ่งข้อหนึ่ง ความหมายก็คือบนสะพานโคมไฟแห่งหนึ่งมีโคมไฟส่องสว่างแขวนอยู่มากมาย หากนับโคมไฟทีละเจ็ดดวงจะเหลือโคมไฟสองดวง หากนับโคมไฟทีละห้าดวงจะนับหมดพอดี แต่หากนับโคมไฟทีละเก้าดวงจะเหลือโคมไฟสี่ดวง ตอนนี้คำถามก็คือสะพานโคมไฟแห่งนี้มีโคมไฟทั้งหมดกี่ดวง
มีลูกศิษย์ในชั้นจำนวนไม่น้อยที่ฟังคำถามเข้าใจ พวกเขาเริ่มวาดบนกระดาษทันที ทว่ามิทันที่พวกเขาจะวาดอันใดออกมาได้ หลี่ฟางเฟยกับหลี่ลั่วก็ตอบออกมาเป็นเสียงเดียวกัน “สามร้อยสิบดวง”
ทุกคนตกตะลึง
อาจารย์ซุนถามว่า “พวกเจ้าคำนวณออกมาได้อย่างไร”
พูดเช่นนี้ย่อมหมายความว่าทั้งสองคนตอบถูก
หลี่ฟางเฟยยิ้มอย่างลำพอง “ตอบท่านอาจารย์ ใช้วิธีแปรจำนวนจนเท่ากับหนึ่ง[3]เจ้าค่ะ”
อาจารย์ซุนตกตะลึงจนพูดมิออก เด็กน้อยอายุน้อยเท่านี้กลับเข้าใจวิธีแปรจำนวนจนเท่ากับหนึ่งแล้ว ต้องขอบอกว่าสมัยก่อนตัวเขาเองยังต้องเรียนรู้อยู่เนิ่นนานนัก แม้ภายหลังจะเข้าใจแล้ว แต่หากให้คำนวณในใจก็ยังลำบากอยู่บ้าง
เด็กสองคนนี้ไม่ได้สอบเข้าเรียน หากเข้าสอบ ผู้ใดจะเป็นอันดับหนึ่งก็ยังไม่แน่
เด็กสองคนนี้แต่เดิมทีรับเข้ามาเพียงเพื่อจะให้ลูกศิษย์สองคนได้ไปแลกเปลี่ยนร่ำเรียนวิชาที่สำนักซู่ซินจงเท่านั้น แต่ตอนนี้รู้สึกว่าโชคดีจริงๆ ที่มีลูกศิษย์ที่ยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้มาเรียน
“ท่านพี่ ท่านคำนวณได้หรือไม่” วั่งซูถามจิ่งอวิ๋น
จิ่งอวิ๋นก็ไม่ได้ขยับพู่กันเช่นกัน แต่เขาคำนวณออกมาได้แล้ว เขาคำนวณออกมาได้เร็วกว่าทั้งสองคนเสียด้วยซ้ำ เขาขานอืมตอบเรียบๆ หนึ่งคำ
วั่งซูจับมือน้อยของพี่ชายที่อยู่ใต้โต๊ะ “ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านพี่เก่งกาจที่สุด!”
ตอนอยู่ในสำนักศึกษาที่หมู่บ้านซีหนิว บัณฑิตเฒ่าเคยแยกจิ่งอวิ๋นมาเรียนพิเศษตามลำพัง เขาสอน ‘คัมภีร์คำนวณของซุนจื่อ’ ให้จิ่งอวิ๋นตั้งแต่ตอนนั้น ในคัมภีร์มีโจทย์ที่คล้ายคลึงกันอยู่ ซิ่วไฉเฒ่าจึงสั่งสอนวิธีแปรจำนวนจนเท่ากับหนึ่งให้ด้วย วิธีคำนวณชนิดนี้ความจริงแล้วซับซ้อนอยู่บ้าง เด็กน้อยอายุเท่าจิ่งอวิ๋นย่อมไม่เข้าใจอย่างแน่นอน ซิ่วไฉเฒ่าจึงเพียงบอกให้ฟังเล็กน้อยเท่านั้น ไหนเลยจะคิดว่าจิ่งอวิ๋นกลับเรียนรู้จนใช้เป็นได้จริงๆ
แต่อาจารย์ซุนมิทราบว่าจิ่งอวิ๋นก็คำนวณเป็นเช่นกัน เขาเหลือบมองคุณชายน้อยลิ่นที่เกาหัวตนเองจนผมเผ้ากลายเป็นรังนก แม้จิ่งอวิ๋นจะมีพรสวรรค์เหนือกว่าคุณชายน้อยลิ่น แต่ได้ยินมาว่าก่อนนี้เด็กน้อยผู้นี้ร่ำเรียนอยู่ในสำนักศึกษาในชนบทแห่งหนึ่งเท่านั้น อาจารย์ที่นั่นจะสั่งสอนเรื่องซับซ้อนเช่นนี้ให้ได้อย่างไรเล่า
คาบเรียนตอนเช้าจบลง อาจารย์ซุนเสมือนหนึ่งได้สมบัติล้ำค่า หลังจากกลับไปห้องหนังสือ พบผู้ใดก็เอ่ยชมหลี่ฟางเฟยกับหลี่ลั่วให้ฟังยกหนึ่ง เพียงไม่นานอาจารย์ทั้งสำนักก็ทราบว่าสำนักซู่จงซินส่งลูกศิษย์ผู้แสนยอดเยี่ยมมาสองคน
ในเมื่อสำนักซู่ซินจงส่งศิษย์ที่ยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้มา ถ้าเช่นนั้นลูกศิษย์จากสำนักศึกษาของพวกเขาที่จะส่งไปแลกเปลี่ยนย่อมด้อยเกินไปไม่ได้
“ให้ผิ่นหมิงไปดีหรือไม่” อธิการเสนอ
ปีนี้ผิ่นหมิงอายุสิบเก้าปี เขาเข้ามาในสำนักศึกษาแปดปีแล้ว เป็นหนึ่งในลูกศิษย์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดของสำนักศึกษา
รองอธิการเจียงกล่าวว่า “ไม่เหมาะกระมัง ผิ่นหมิงมีเรื่องที่ต้องร่ำเรียนมากเกินไป ไม่อยู่เสียครึ่งปี การเรียนย่อมล่าช้าจนยากจะตามทัน หาคนอายุใกล้เคียงกันที่ไม่มีภาระต้องร่ำเรียนหนักหนานักจะดีกว่ากระมัง”
ผู้ที่ภาระการเรียนไม่หนักย่อมมีแต่พวกลูกศิษย์ใหม่
ลูกศิษย์ใหม่ที่ผลการเรียนโดดเด่นที่สุดย่อมเป็นจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูสองพี่น้อง เด็กทั้งสอง คนหนึ่งเก่งบุ๋น คนหนึ่งเก่งบู๊ เรียกได้ว่าบุ๋นบู๊เพียบพร้อมพอดี เพียงแต่ว่าพวกเขาเพิ่งจะอายุหกปี จะส่งเด็กอายุน้อยเช่นนี้ไปสำนักซู่ซินจงหรือ
“ข้าคิดว่าได้” รองอธิการเจียงยิ้ม “ท่านลืมแล้วหรือว่าอัครมหาเสนาบดีก็เป็นศิษย์ของสำนักซู่ซินจง ที่ดินศักดินาของตระกูลจีก็คือที่ตั้งสำนักซู่ซินจง พวกเขามีคนดูแลมากมายนัก ฟ้าเป็นใจ ดินเกื้อหนุน คนสามัคคี ส่งพวกเขาสองคนไปเหมาะยิ่งกว่าผู้ใดในสำนัก”
การเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนของจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูจึงถูกกำหนดลงเช่นนี้ อธิการเขียนจดหมายฉบับหนึ่งกราบทูลต่อฮ่องเต้ ฮ่องเต้เคารพการตัดสินใจของสำนักศึกษา ฝั่งฮ่องเต้เห็นด้วยแล้ว ปกติย่อมไม่มีหนทางเปลี่ยนได้อีก
ข่าวส่งมาถึงบ้านชิงเหลียนอย่างรวดเร็วยิ่งนัก เฉียวเวยพองขนทันควัน “อะไรนะ ให้จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูไปสำนักซู่ซินจงหรือ”
ใต้เท้าเจ้าสำนักกินส้มอยู่ กลีบส้มหล่นดัง ตุ้บ!
ศิษย์น้องเล็กเองก็ตกตะลึงเช่นกัน
ปี้เอ๋อร์เกาศีรษะ “ข้าอธิบายได้ไม่กระจ่าง ให้หมิงอันเข้ามาพูดเถิดเจ้าค่ะ!”
เฉียวเวยเรียกหมิงอันเข้ามา
หมิงอันบอกข่าวที่สืบมาจากในวังให้เฉียวเวยฟังอย่างไม่ตกหล่น “สำนักซู่ซินจงส่งลูกศิษย์ที่ยอดเยี่ยมอย่างยิ่งมายังสำนักศึกษาสองคน พวกเขาอายุใกล้เคียงกับเด็กน้อยในชั้นเรียนของจิ่งอวิ๋น เด็กสองคนนั้นเก่งกาจอย่างน่าเหลือเชื่อ สำนักศึกษาเห็นผู้อื่นส่งเด็กที่เก่งกาจเช่นนั้นมา พวกเขาย่อมมิสะดวกจะส่งเด็กโง่เง่าสองคนไป จึงเลือกจิ่งอวิ๋นกับวั่งซู ผู้ใดให้พวกเขาสองคนเป็นสองอันดับแรกในการสอบเข้าเรียนเล่า”
เฉียวเวยหักนิ้ว “สำนักศึกษาไม่รับนักเรียนเข้ากลางคันไม่ใช่หรือ สำนักซู่ซินจงหน้าใหญ่เพียงใดกัน บอกจะยัดเด็กน้อยสองคนเข้ามาก็เข้ามาได้”
หมิงอันตอบว่า “ฮ่องเต้พระราชทานอนุญาตเป็นพิเศษขอรับ”
“ฮ่องเต้พระราชทานอนุญาตให้เรื่องนี้เป็นพิเศษเพื่อการใด ข้าลำบากลำบนตั้งมากกว่าจะส่งลูกสองคนเข้าไปในสำนักศึกษาได้ นั่งก้นยังมิทันอุ่นก็ต้องกลายเป็นลูกศิษย์ของสำนักซู่ซินจงแล้วหรือ” เฉียวเวยหักนิ้วดังก๊อกอีกหน “ข้าโกรธจนคิดอะไรไม่ออก ไม่รู้สึกเจ็บแล้ว!”
ใต้เท้าเจ้าสำนักสีหน้าเฉยชา “ก็ที่เจ้าหักอยู่มันมือของข้า”
เฉียวเวยรั้งมือกลับมา
ใต้เท้าเจ้าสำนักมองนิ้วมือที่บวมเป็นก้อนหมั่นโถว หน้าดำพูดอันใดมิออก
เฉียวเวยหรี่ตาลง “ต้องเป็นฝีมือฟู่ปั๋วเจินคนนั้นแน่!”
ศิษย์น้องเล็กตะลึง “ท่านหมายถึงศิษย์พี่ห้าหรือ เขาจะทำเช่นนี้เพราะเหตุใด”
เฉียวเวยตอบว่า “ก็เพื่อให้ข้าส่งเจ้าให้เขาน่ะสิ”
ศิษย์น้องเล็กแย้งเสียงแผ่ว “ศิษย์พี่ห้า…เลวร้ายถึงเพียงนั้นจริงหรือ”
เฉียวเวยเหล่มองนางแล้วถามว่า “จะไม่เลวร้ายถึงเพียงนั้นได้อย่างไร เจ้าลืมแล้วหรือว่าคนผู้นั้นจับเจ้าไปอย่างไร หากเอ็นดูเจ้าจากใจจริงก็สมควรเกลี้ยกล่อมเจ้าให้กลับไปดีๆ นี่ทั้งลักพาตัวทั้งจับมัด ดูอย่างไรก็ไม่ใช่คนดี!”
ศิษย์น้องเล็กก้มหน้าอย่างเศร้าหมอง “ขออภัยด้วย ข้าทำให้พวกท่านเคราะห์ร้ายไปด้วย”
ในโลกภายนอกสำนักซู่ซินจงนับว่ามีชื่อเสียงเลื่องลือ การได้ไปร่ำเรียนที่นั่นย่อมเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง ทว่าเมื่อเด็กๆ ไป นางก็ย่อมต้องไปด้วย แต่หมิงซิวกลับไปมิได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ครอบครัวก็ต้องแยกจากกัน นี่ไม่ใช่สิ่งที่นางต้องการ
“สำนักซู่ซินจง…ก็ไม่เลวร้ายนะ” ศิษย์น้องเล็กเอ่ยขึ้นมาอย่างระมัดระวัง
เฉียวเวยตอบเรียบๆ “ข้ารู้ว่ามันไม่เลวร้าย หากเลวร้ายศิษย์พี่ของเจ้าจะไปหรือ องค์ชายเก้าจะไปหรือ คุณหนูจากจวนเทพสงครามแห่งหนานฉู่จะไปหรือ”
“ถ้าอย่างนั้นท่านยังกังวลอันใดกัน” ศิษย์น้องเล็กถาม
เฉียวเวยจิบชาหนึ่งคำ “พูดไปเจ้าก็ไม่เข้าใจ เย็นแล้ว เจ้ากลับห้องไปพักเถิด”
“อืม”
ศิษย์น้องเล็กวางขนมในมือลง แล้วลุกขึ้นจากไปอย่างเงียบๆ
เฉียวเวยหันไปมองหมิงอันอีกหน “นายท่านของเจ้าติดธุระอันใดอยู่ เย็นป่านนี้แล้วจึงยังไม่กลับมา”
หมิงอันยิ้มแหยตอบว่า “งานราชการจัดการเสร็จหมดแล้ว แต่ถูกฝ่าบาทเรียกหา ดูเหมือนว่าจะมีเรื่องสำคัญบางอย่างขอรับ”
เฉียวเวยพยักหน้า “เข้าใจแล้ว เจ้าออกไปเถิด”
“ขอรับ ฮูหยิน” หมิงอันถอยออกไป
เฉียวเวยเห็นใต้เท้าเจ้าสำนักยังนิ่งสนิท จึงอดมิได้ถามขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า “เจ้าไม่ไปหรือ”
“เจ้าบอกให้ข้าไปแล้วหรืออย่างไร” ใต้เท้าเจ้าสำนักย้อนถาม
ดวงตาของเฉียวเวยจับจ้อง “ทุกคนไปกันหมดแล้ว เจ้าไม่ไปหรือ”
“ไม่ไป” ใต้เท้าเจ้าสำนักตอบ
เฉียวเวยมองเขา แล้วยิ้มน้อยๆ “มานั่งอยู่ที่ห้องข้า ไม่กลัวคนรักตัวน้อยของเจ้าแวะมาหาเจ้าหรือไร”
ใต้เท้าเจ้าสำนักว่าอย่างดูแคลน “ชิ! คิดว่าข้าอยากพบนางหรือ!” พูดพลางก็อ้าปากหาว แต่ดวงตาทอประกายระยิบระยับ แล้วบอกว่า “ข้าง่วงแล้ว!”
เฉียวเวยมองเขาอย่างขบขัน
ใต้เท้าเจ้าสำนักเดินออกไปอย่างอืดอาด ก้าวข้ามธรณีประตูอย่างยืดยาด ทว่าพอก้าวพ้นใต้ฝ่าเท้ากลับประหนึ่งเหยียบอยู่บนสายลม โกยแน่บกลับห้องราวกับควันสายหนึ่ง
เฉียวเวยขำจนเกือบจุก
[1]หานซิ่นนับทหาร คือปริศนาคำนวณที่ให้คำนวณหาตัวเลขจำนวนหนึ่งจากตัวหารและผลหารที่ต่างกันของจำนวนนั้น เหมือนตอนหานซิ่นนับทหารที่เหลือรอดจากการรบโดยการดูเศษเหลือของทหาร หลังจากให้ทหารจัดแถว 3 คน 5 คน และ 7 คน
[2]ฉินจิ่วเสา นักคณิตศาสตร์ผู้โด่งดังของจีนโบราณ เกิดในสมัยราชวงศ์ซ่งใต้
[3]วิธีแปรจำนวนจนเท่ากับหนึ่ง วิธีคำนวณรูปแบบหนึ่งที่ฉินจิ่วเสานักคณิตศาสตร์สมัยราชวงศ์ซ่งใต้คิดออกมา หลักการของวิธีคำนวนนี้สอดพ้องกับแนวคิดสมภาคที่นำเสนอโดย คาร์ล ฟรีดริค เกาส์ นักคณิตศาสตร์ชาวเยอรมัน