หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 314-2 สามตัวจ้อยแสดงอำนาจข่ม ชนะขาดลอย
ตอนที่ 314-2 สามตัวจ้อยแสดงอำนาจข่ม ชนะขาดลอย
นางสวมกระโปรงยาวสีฟ้าอ่อน ยืนนิ่งสงบอยู่ท่ามกลางหมู่มวลบุปผา งามดุจเทพธิดา บริสุทธิ์ดุจดวงจันทรา
ใต้เท้าเจ้าสำนักหรี่ตาลงอย่างเย็นชาแล้วเดินอาดๆ เข้าไปทักด้วยน้ำเสียงชั่วร้าย “โอ๊ะ ข้าก็คิดว่าผู้ใด บังเอิญเช่นนี้เชียว!”
มือที่กำลังลูบดอกระฆังแก้วของฟู่เสวี่ยเยียนหยุดนิ่ง จากนั้นหันมามองเขาอย่างเฉยชา
ใต้เท้าเจ้าสำนักหัวเราะเหอะๆ “มองอะไร ไม่เคยเห็นบุรุษหล่อเหลาเช่นนี้หรืออย่างไร”
ฟู่เสวี่ยเยียนเด็ดกลีบดอกไม้มากลีบหนึ่ง ก่อนจะซัดมันเข้าใส่ใต้เท้าเจ้าสำนัก ใต้เท้าเจ้าสำนักแววตาสั่นไหว เบี่ยงกายถอยหลบ กลีบดอกไม้เฉียดผ่านหน้าอกของเขา แม้จะไม่ได้กรีดเขาให้เป็นแผลที่ใด แต่ความเย็นยะเยือกเสียดแทงถึงกระดูกนั่นก็ส่งผ่านอาภรณ์ตัวบางเข้ามาด้านใน เพียงพริบตาเดียวที่เฉียดผ่านหน้าอกของเขา ทั้งร่างของเขาก็เกือบถูกแช่แข็ง
กลีบดอกไม้พุ่งเข้าไปที่กิ่งของต้นเหมย ตัดบุปผาดอกหนึ่งร่วงลงมา
ใต้เท้าเจ้าสำนักมองดอกไม้ที่หล่นร่วงบนผืนหญ้า แล้วกลืนน้ำลายเสียงดัง
ฟู่เสวียเยี่ยนเด็ดดอกระฆังแก้วออกมาดอกหนึ่งแล้วหมุนตัวเดินจากไป
ใต้เท้าเจ้าสำนักกัดฟัน “เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
ฟู่เสวี่ยเยียนไม่สนใจเขา
ใต้เท้าเจ้าสำนักยกมุมปากอย่างเย็นชา เขาล้วงกระดิ่งทองแดงอันน้อยคู่นั้นออกมาจากอกเสื้อแล้วแกว่งเบาๆ
ฟู่เสวี่ยเยียนหมุนตัวกลับมาทันใด บรรยากาศกดดันข่มใต้เท้าเจ้าสำนักจนใจสั่นขวัญผวา ใต้เท้าเจ้าสำนักรีบยัดกระดิ่งทองแดงกลับเข้าไปในอกเสื้อ ฟู่เสวี่ยเยียนใช้วิชาตัวเบาเหินเข้ามาหาใต้เท้าเจ้าสำนักมือเรียวงามตั้งท่าเป็นกรงเล็บพุ่งเข้ามาหาลำคอของใต้เท้าเจ้าสำนัก
ใต้เท้าเจ้าสำนักถูกนางทำเอาตกใจจนนิ่งอึ้ง ทว่าตอนที่นางกำลังจะคว้าลำคอของเขาได้ จู่ๆ มือของนางก็เลี้ยวเปลี่ยนทางล้วงเข้ามาในอาภรณ์ของเขา
“เฮ้ย เจ้าจะทำอะไร!” ใต้เท้าเจ้าสำนักตะปบเสื้อตรงที่มือนางล้วงเข้าไป
ฟู่เสวี่ยเยียนยกมืออีกข้างหนึ่งขึ้นมาหมายจะฟันฝ่ามือใส่เขา
ใต้เท้าเจ้าสำนักถลึงตาใส่ “อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ตัวตนของเจ้า กล้าตีข้า ข้าจะป่าวประกาศเรื่องที่เจ้าเป็นคนเยี่ยหลัว! เรื่องที่เจ้าหลับนอนกับข้า ข้าก็จะโพนทะนาด้วย! ดูซิว่าเจ้าจะยังมีหน้าอยู่ที่สำนักซู่ซินจงต่อหรือไม่!”
ฟู่เสวี่ยเยียนจ้องเขาเขม็ง หน้าอกพองขึ้นยุบลงอย่างรุนแรง
ใต้เท้าเจ้าสำนักเชิดคาง “ปล่อยมือ ได้ยินหรือไม่”
ฟู่เสวี่ยเยียนกดฝ่ามือ
ใต้เท้าเจ้าสำนักพองขน “ข้าจะพูดแล้วนะ!”
ฟู่เสวี่ยเยียนเอ่ยเสียงเย็นชา “คืนของให้ข้า มิฉะนั้นเจ้าจะไม่มีโอกาสแม้แต่พูด”
ใต้เท้าเจ้าสำนักเถียง “เจ้าปล่อยข้าก่อน แล้วข้าจะหยิบให้เจ้า”
ฟู่เสวี่ยเยียนมองเขาอย่างระแวง นางลังเลเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ชักมือกลับ
ใต้เท้าเจ้าสำนักยกเท้าได้ก็วิ่งทันที “ผู้ใดจะคืนให้เจ้ากัน เจ้าโง่!”
ฟู่เสวี่ยเยียนสีหน้าเย็นชา ผ้าแพรขาวผืนหนึ่งพุ่งออกมาจากแขนเสื้อรัดเอวของใต้เท้าเจ้าสำนักไว้แล้วกระชากเขากลับมาอย่างแรงจนล้มกลิ้งบนพื้น
ใต้เท้าเจ้าสำนักสงสัยยิ่งนักว่าอวัยวะของตนเองกระเด็นกระดอนเปลี่ยนตำแหน่งหมดแล้วหรือยัง ต้องลงมือรุนแรงเช่นนี้ด้วยหรือ จำเป็นด้วยหรือ!
ในตอนที่ฟู่เสวี่ยเยียนก้าวเข้าไปหาใต้เท้าเจ้าสำนักอย่างเย็นชา ทันใดนั้นเสียงบุรุษเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นไม่ไกล “ศิษย์พี่หญิงฟู่ บังเอิญเช่นนี้เชียว ท่านก็กำลังชมบุปผาอยู่เหมือนกันหรือ”
ฟู่เสวี่ยเยียนดึงผ้าแพรขาวกลับมา
ใต้เท้าเจ้าสำนักกุมก้นที่กระแทกพื้นจนแทบแยกเป็นสองเสี่ยงแล้วลุกขึ้นยืน
ศิษย์พี่ห้าก้าวยาวเข้ามาจากทางเข้าอีกทางหนึ่งของสวนดอกไม้ เขาหน้าตาหล่อเหลาเกลี้ยงเกลา มุมปากยกโค้งนิดๆ แววตาแฝงรอยยิ้ม ทั่วทั้งร่างคล้ายกับจะแผ่บรรยากาศนุ่มนวลประหนึ่งหยกออกมา
เขาเห็นใต้เท้าเจ้าสำนักก็ทักทายอย่างมีมารยาทอย่างยิ่ง “ที่แท้ก็คุณชายรองจี ปั๋วเจินเป็นเกียรติที่ได้พบ”
ทำตัวมีมารยาทไปไย นี่จะเสแสร้งแกล้งทำให้ผู้ใดดู ตอนไปจับตัวศิษย์น้องเจ้าที่ตระกูลจีเหตุไฉนไม่เห็นเจ้าทำตัวมีมารยาทเช่นนี้
ศิษย์พี่ห้าเห็นคนไม่รับไมตรีก็เหมือนจะไม่ถือสา เขายิ้มอย่างอ่อนโยน เดินเข้าไปใกล้ฟู่เสวี่ยเยียนแล้วเอ่ยว่า “วันนี้อากาศไม่เลว ข้าเดินเล่นรอบๆ เป็นเพื่อนศิษย์พี่หญิงฟู่ดีหรือไม่”
เจ้าตัวหน้าไม่เอาย อะไรคือเดินเล่นรอบๆ บิดาว่าเจ้าคิดจะจีบหญิงล่ะสิ!
ฟู่เสวี่ยเยียนเหล่มองเขาอย่างเฉยชาแล้วตอบว่า “ข้าไม่อยากไป”
ศิษย์พี่ห้าคลี่ยิ้ม “ถ้าเช่นนั้นข้าคุยเป็นเพื่อนศิษย์พี่หญิงฟู่ในสวนก็แล้วกัน”
ฟู่เสวี่ยเยียนตอบอีกว่า “ข้าไม่อยากคุยกับเจ้า”
สีหน้าของศิษย์พี่ห้ากระอักกระอ่วนวูบหนึ่ง “ถ้าเช่นนั้น…ศิษย์พี่หญิงฟู่อยากกินอะไรสักหน่อยหรือไม่ ข้าจะให้คนยกมา ผลไม้ของสำนักซู่ซินจงของพวกเราหวานฉ่ำยิ่งนัก”
ฟู่เสวี่ยเยียนตอบว่า “ข้าไม่อยากกิน”
ศิษย์พี่ห้าชวนอีกว่า “ถ้าเช่นนั้นข้ายกชามาให้ศิษย์พี่หญิงฟู่สักสองกาดีหรือไม่ ใบชาของสำนักซู่ซินจงเป็นของที่พวกเราปลูกเอง อร่อยกว่าชาด้านนอกมากนัก”
ใต้เท้าเจ้าสำนักยิ้มหยัน “ผู้อื่นเห็นเจ้าแล้วรำคาญ เจ้าเป็นคนโง่หรือจึงยังหน้าหนาอยู่อีก”
แววตาของศิษย์พี่ห้าเย็นชาลงทันควัน เขาเดินเข้ามาหาใต้เท้าเจ้าสำนัก น้ำคำแฝงการข่มขู่ “เมื่อครู่ข้าเห็นเจ้าไม่เคารพศิษย์พี่หญิงฟู่ ศิษย์พี่หญิงฟู่เป็นศิษย์ของสำนักซู่ซินจง เจ้ารังแกนางก็เท่ากับเป็นศัตรูกับสำนักซู่ซินจงทั้งสำนัก”
ใต้เท้าเจ้าสำนักยกมุมปากที่สีแดงสดยิ่งกว่าอิสตรีขึ้นมา “อ้อ ที่แท้เมื่อครู่เจ้าก็เห็นหมดแล้ว ถ้าเช่นนั้นเจ้ายังแสร้งทำท่าเป็นมิตรกับข้าอีกหรือ เจ้าคนนี้เหตุไฉนจึงจอมปลอมเช่นนี้”
ศิษย์พี่ห้าเป็นลูกศิษย์ที่สวี่หย่งชิงเชื่อใจและให้ความสำคัญที่สุด ตำแหน่งในสำนักซู่ซินจงของเขาสูงยิ่งกว่าศิษย์พี่ใหญ่ นอกจากศิษย์น้องเล็ก ไม่มีผู้ใดกล้าทำให้เขาโมโห เจ้าหมอนี่เพิ่งมาถึงได้ครึ่งวัน แต่กลับกล้าพูดจาไม่ให้เกียรติเขาต่อหน้าฟู่เสวี่ยเยียน ไม่สั่งสอนเขาสักยก คงผิดต่อฐานะของตัวเอง!
ศิษย์พี่ห้าฟาดฝ่ามือใส่ใต้เท้าเจ้าสำนัก
ใต้เท้าเจ้าสำนักเลิกคิ้วสูง!
ฟู่เสวี่ยเยียนสะบัดแขนเสื้อ ตบมือของศิษย์พี่ห้าออก
ศิษย์พี่ห้านับว่าเป็นคนเก่งกาจในสำนักซู่ซินจง แต่กลับถูกสตรีนางหนึ่งปัดป้องพละกำลังได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ วรยุทธ์ของสตรีนางนี้สูงส่งมากเพียงใดกันแน่ แน่นอนว่าเทียบกับเรื่องนี้สิ่งที่เขาสงสัยยิ่งกว่าก็คือเหตุไฉนฟู่เสวี่ยเยียนต้องลงมือช่วยจีหมิงเยี่ยด้วย
ฟู่เสวี่ยเยียนเอ่ยอย่างเย็นชา “ข้าต้องการชมบุปผาอย่างเงียบสงบคนเดียว ผู้ใดก็อย่าได้มารบกวนความสุนทรีย์ของข้า พวกเจ้าอยากจะทะเลาะกันก็ไปทะเลาะกันที่อื่น”
ศิษย์พี่ห้ากำหมัดแน่น หันไปมองใต้เท้าเจ้าสำนักแวบหนึ่ง จากนั้นจึงหันมาเอ่ยด้วยสีหน้าอ่อนโยนกับฟู่เสวี่ยเยียน “รบกวนความสุนทรีย์ของศิษย์พี่หญิงฟู่แล้ว ขออภัยจริงๆ ข้านึกขึ้นมาได้ว่ายังมีงานในสำนักที่ต้องจัดการ วันหน้าค่อยมาคารวะศิษย์พี่หญิงฟู่ใหม่”
กล่าวจบก็จากไปอย่างมิใคร่ยินยอม
รอเขาเดินจากไปไกลแล้ว ใต้เท้าเจ้าสำนักจึงหรี่ดวงตาดอกท้ออันงดงาม ขยับเข้าไปใกล้ฟู่เสวี่ยเยียน แล้วพูดขึ้นมาอย่างลำพอง “เมื่อครู่เจ้าตั้งใจสินะ เจ้ากลัวเขาทำร้ายข้า คงไม่ใช่ว่า…เจ้าหวั่นไหวกับข้าแล้วกระมัง”
ฟู่เสวี่ยเยียนฟาดหนึ่งฝ่ามือออกมาอย่างไม่เกรงใจสักนิด ส่งใต้เท้าเจ้าสำนักปลิวหวือ
ใต้เท้าเจ้าสำนักลอยไปห้อยอยู่บนกิ่งต้นหรงสูงสิบกว่าเมตรท่าทางพิลึกพิลั่น เขาร้องโอดโอยแล้วถ่มใบไม้กำหนึ่งออกมาจากปาก…
…
กล่าวถึงหลังจากศิษย์พี่ห้าออกจากสวนดอกไม้ เขาก็ถูกสวี่หย่งชิงเรียกตัวไปทันที
“วันนี้เจ้าทำอะไรลงไป” สวี่หย่งชิงถามอย่างเคร่งขรึม
ศิษย์พี่ห้าเป็นหนึ่งในลูกศิษย์ที่สวี่หย่งชิงภูมิใจที่สุด อีกฝ่ายจะใช้น้ำเสียงเคร่งขรึมเช่นนี้พูดกับตนน้อยครั้งนัก ศิษย์พี่ห้ารู้สึกว่าท่าไม่ดีทันที เขาประสานหมัดค้อมกายคำนับ ไม่กล้าปิดบังแม้แต่นิดเดียว “ศิษย์บุ่มบ่ามไปชั่วขณะ ขอท่านอาจารย์โปรดอภัยด้วย!”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าบุ่มบ่ามเรื่องใด” สวี่หย่งชิงถาม
แววตาของศิษย์พี่ห้าวูบไหว “ศิษย์…ไม่สมควรลงมือกับน้องชายของศิษย์พี่สี่”
สวี่หย่งชิงเอ่ยเสียงเข้ม “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขาพลัดพรากจากครอบครัวมานานหลายปี ศิษย์พี่สี่ของเจ้ารักเขามากมายเพียงใด เจ้าแตะเขา ไม่กลัวศิษย์พี่สี่จะมาชำระแค้นกับเจ้าหรือ”
ศิษย์พี่ห้าย่อมเคยเห็นวิธีจัดการคนของจีหมิงซิวมาแล้ว หัวใจกระตุกวูบอย่างช่วยไม่ได้ แต่ครุ่นคิดเพียงครู่เดียว ก็นึกขึ้นได้ว่าศิษย์พี่สี่แตกหักกับอาจารย์แล้ว อาจารย์จะทอดทิ้งไม่สนใจตนเพื่อศิษย์พี่สี่ได้อีกหรือ
แน่นอนว่าในหัวใจคิดเช่นนี้ แต่ปากพูดอีกอย่างหนึ่ง “ที่แห่งนี้คือสำนักซู่ซินจง ศิษย์พี่สี่คิดว่าตนเองยังเป็นอัครมหาเสนาบดีอยู่หรือไร”
สวี่หย่งชิงขมวดคิ้ว “สำนักซู่ซินจงแล้วอย่างไร เขาเป็นศิษย์เก้ากระบี่ เจ้ากี่กระบี่”
…เจ็ดกระบี่
ศิษย์พี่ห้ากำหมัดแน่น
สวี่หย่งชิงถอนหายใจอีกหน “เอาเถิด เรื่องนี้ข้าจะไปอธิบายกับศิษย์พี่สี่ของเจ้าเอง ให้เขาอย่าคิดแค้นเจ้า”
ศิษย์พี่ห้าเอ่ยตอบโดยที่ใจไม่ยินยอม “ขอบพระคุณท่านอาจารย์”
สวี่หย่งชิงเอ่ยต่อว่า “ข้ายังพูดไม่จบ”
ศิษย์พี่ห้าค้อมกายลงไปอีกหน
สวี่หย่งชิงเอ่ยบอกด้วยสีหน้าจริงจัง “ระหว่างเจ้ากับฟู่เสวี่ยเยีนมันเรื่องอะไรกัน”
ศิษย์พี่ห้าหลุบตาลง “ข้า…ข้าเห็นศิษย์พี่หญิงฟู่อยู่คนเดียวในสวนดอกไม้ดูเบื่อหน่าย จึงเข้าไปถามว่านางต้องการสิ่งใดหรือไม่”
สวี่หย่งชิงเอ่ยว่า “เจ้าอย่าไปรบกวนนางให้มาก นางไม่ใช่คนที่เจ้าจะไปหาเรื่องด้วยได้”
ศิษย์พี่ห้าแย้ง “ท่านอาจารย์ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะไปรบกวนนาง ข้าเพียง..”
สวี่หย่งชิงเอ่ยขัดเขา “นางไม่ใช่คนที่เจ้าจะไปแตะต้องได้”
“ศิษย์ไม่ได้…” ศิษย์พี่ห้ายังเอ่ยอยู่ สวี่หย่งชิงก็ตวัดสายตาคมปลาบมาหาเขา เขาพลันรู้สึกว่าความคิดที่ซ่อนไว้ของตนเองถูกมองทะลุในทันที เขาก้มหน้าพึมพำว่า “ศิษย์ทราบแล้ว แต่เดิมศิษย์เพียงชื่นชมกิริยาท่าทางของนางเท่านั้น หาได้มีความคิดมิสมควรอันใดไม่ ในเมื่อท่านอาจารย์เอ่ยเช่นนี้ วันหน้าข้าจะอยู่ห่างนางให้ไกล”
สวี่หย่งชิงทราบว่าลูกศิษย์คนนี้รับปากเพียงฉากหน้าเท่านั้น ในใจยยังรู้สึกมิยินยอมอยู่ จึงเตือนเขาว่า “ยังไม่ต้องพูดถึงข้า แม้แต่ผู้อาวุโสทั้งห้าก็มิกล้าล่วงเกินนางง่ายๆ นางมิใช่คนที่ศิษย์สำนักซู่ซินจงคนหนึ่งจะคู่ควร”
เดิมทีศิษย์พี่ห้าคิดจะให้อาจารย์ช่วยเอ่ยปากสู่ขอฟู่เสวี่ยเยียน ดูท่าคงเป็นไปมิได้แล้ว เขาจัดการอารมณ์ของตนเองอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงยกยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “ศิษย์เกือบจะทำผิดมหันต์เสียแล้ว ขอบคุณท่านอาจารย์ที่ตักเตือนศิษย์!”
สวี่หย่งชิงกล่าวจากจริงใจ “ศิษย์พี่สี่คนก่อนหน้าเจ้าต่างมิอาจไปจากแผ่นดินเกิดของตนเองได้ เจ้าเป็นตัวเลือกเจ้าสำนักที่ดีที่สุด ข้าเห็นค่าเจ้ายิ่งนักจึงหวังว่าเจ้าจะไม่ก่อเรื่องร้ายอันใดจนส่งผลต่ออนาคตของตัวเจ้าเอง”
“ศิษย์เข้าใจแล้ว!”
ศิษย์พี่ห้าเดินออกมาจากเรือนของสวี่หย่งชิง สีหน้าเคารพบนใบหน้าค่อยๆ เลือนหายไป ‘ศิษย์พี่สี่คนก่อนหน้าเจ้าต่างมิอาจไปจากแผ่นดินเกิดของตนเองได้ เจ้าเป็นตัวเลือกเจ้าสำนักที่ดีที่สุด’ หมายความว่าอย่างไร จะบอกว่าตำแหน่งเจ้าสำนักนี่เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่เอาถึงได้เหลือตกมาถึงเขาอย่างนั้นหรือ
ท่านอาจารย์ปากบอกว่าเห็นความสำคัญของเขา แต่ในหัวใจของท่านอาจารย์ ตนยังสู้ศิษย์พี่ทั้งหลายในลำดับก่อนหน้ามิได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งศิษย์พี่สี่ ต่อให้ศิษย์พี่สี่ทะเลาะกับท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์ก็ยังตัดใจขับไล่เขาออกจากสำนักไม่ลง หากเปลี่ยนเป็นเขา ที่ต่อต้านอาจารย์เพราะสตรีนางหนึ่ง อาจารย์จะเมตตาถึงเพียงนี้ ใจอ่อนถึงเพียงนี้หรือไม่
ท่านอาจารย์ก็เพียงดูแคลนชาติกำเนิดของเขาไม่ใช่หรือ
หากฟู่เสวี่ยเยียนคนนั้นสูงส่งอาจเอื้อมไม่ถึงเพียงนั้นจริง เหตุใดพี่ชายของนางจึงยินดีสู่ขอศิษย์น้องเล็กจากสำนักซู่ซินจงเล่า
ศิษย์น้องเล็กคู่ควรกับพี่ชายของนาง แต่เขาว่าที่เจ้าสำนักคนนี้กลับไม่คู่ควรกับนางอย่างนั้นหรือ
“ฟู่!”
ในที่สุดใต้เท้าเจ้าสำนักก็ปีนลงมาจากต้นไม้สูงสิบกว่าเมตรสำเร็จ
ศิษย์พี่ห้าชะงักเท้า หรี่ตามองเขา
เมื่อครู่ระหว่างที่อีกฝ่ายกับฟู่เสวี่ยเยียนทะเลาะกัน เขามองเห็นทั้งหมด แต่เพราะอยู่ไกลจึงไม่ทราบว่าทั้งสองคุยสิ่งใดกัน แต่ฟู่เสวี่ยเยียนล้วงมือเข้าไปในเสื้อของเขา เห็นชัดว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองคนไม่ธรรมดา
ว่าที่เจ้าสำนักคนนี้อย่างเขาไม่คู่ควรแตะต้องฟู่เสวี่ยเยียน แต่เจ้าโง่คนนี้ทำได้หรือ
ใต้เท้าเจ้าสำนักถูมือที่แดงก่ำเพราะเสียดสีกับเปลือกไม้ เขาหมุนตัวมาก็พบว่าศิษย์พี่ห้าอยู่ห่างออกไปเพียงช่วงแขน เขาตกใจสะดุ้ง “เจ้าเป็นผีหรืออย่างไร! กลางวันแสกๆ ทำคนตกใจเกือบตาย!”
ศิษย์พี่ห้าไม่ตอบ เพียงมองเขาอย่างเย็นชา
“มองอะไรมิทราบ” ใต้เท้าเจ้าสำนักกลอกตา หมุนตัวเดินไปทางที่พักของตนเอง เพิ่งเดินออกมาได้ก้าวเดียวก็ถูกศิษย์พี่ห้ารั้งหัวไหล่ไว้ เขาหันกลับมาอย่างรำคาญ “เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่ วันนี้บิดาอารมณ์ไม่ดี ไม่อยากทะเลาะด้วย วันหน้าค่อย…”
พูดยังไม่ทันจบ ศิษย์พี่ห้าก็สกัดจุดเขา