หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 320-1 น้องเฉียวผู้องอาจ ชนะอีกหน!
ตอนที่ 320-1 น้องเฉียวผู้องอาจ ชนะอีกหน!
ในเมื่อผู้อาวุโสห้าถูกต้อนจนออกจากเวที ทั้งยังกองอยู่กับพื้นลุกไม่ขึ้น รอบนี้เฉียวเวยจึงชนะอย่างงดงาม
แน่นอนว่าผลลัพธ์เช่นนี้ผิดจากที่ทุกคนคาด หากไม่นับจีหมิงซิวกับครอบครัว แม้แต่ผู้อาวุโสห้าเองก็คิดไม่ถึงอย่างสิ้นเชิงว่าตนจะถูกสาวน้อยที่ไม่รู้อะไรสักอย่างเอาชนะ สาเหตุที่เขาสลบไป ประการแรกเป็นเพราะร่วงลงมาอย่างน่าอนาถ ประการที่สองเพราะใช้กำลังภายในเกิดขีดจำกัดจนเกิดผลสะท้อนกลับ แต่สาเหตุที่สำคัญที่สุดเป็นเพราะเขาโมโหยิ่งนักจริงๆ เขาจึงโมโหจนเป็นลมไปทั้งอย่างนั้น
ทำให้ผู้อาวุโสห้าผู้กิริยาท่าทางดุจนักพรตเทพเซียนกลายเป็นเช่นนี้ได้ ไม่ง่ายเลย
ศิษย์พี่ห้าฟาดฝ่ามือลงบนราวกั้น!
สีหน้าของสวี่หย่งชิงซับซ้อนอยู่บ้าง ในฐานะคนที่เคยท้าสู้กับผู้อาวุโสทั้งห้า เขามองออกได้ไม่ยากว่าหลังจากผ่านการฝึกฝนหลายสิบปี กำลังภายในของผู้อาวุโสทั้งหลายก้าวหน้าขึ้นมาก หากในปีนั้นเขาเผชิญหน้ากับผู้อาวุโสห้าที่ฝีมืออยู่ในระดับนี้ เขาจะท้าสู้สำเร็จได้หรือไม่ก็ยังไม่แน่ ต่อให้ท้าสู้ชนะก็คงไม่มีทางไม่บาดเจ็บสักนิดเหมือนเฉียวเวย
สาวน้อยคนนี้ดูไปแล้วทำสิ่งใดไม่เป็นสักอย่าง แต่สุดท้ายกลับไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด
จะบอกว่านางโชคดีก็ดี หรือจะบอกว่านางเจ้าเล่ห์ก็ช่าง สุดท้ายแล้วนางก็ชนะ
ทว่าชนะเพียงหนึ่งหนย่อมไม่มีสิ่งใดยิ่งใหญ่ ต่อจากนี้ยังมีผู้อาวุโสที่วรยุทธ์สูงส่งอยู่อีกสี่คน แต่ละคนเก่งกาจกว่าคนก่อนหน้า พวกเขาไม่มีทางถูกสาวน้อยคนนี้ใช้เล่ห์เพทุบายจัดการได้อย่างแน่นอน
“นั่นมารดาของข้า มารดาของข้ายอดเยี่ยมมากใช่หรือไม่” วั่งซูถามศิษย์พี่จากสำนักศิษย์ใหม่ผู้น่ารักทุกคน
โลกของเด็กน้อยเรียบง่ายกว่าผู้ใหญ่มากนัก ในหัวใจของพวกเขาท่านอาจารย์เป็นบุคคลที่ร้ายกาจอย่างยิ่งของอย่างยิ่งแล้ว ส่วนผู้อาวุโส นั่นเป็นตัวตนเสมือนหนึ่งเทพ มารดาของทรราชน้อยล้มเทพเจ้าได้ ย่อมร้ายกาจยิ่งนัก!
ตรงกันข้ามกับศิษย์ในพวกนั้น ไม่รู้ว่าพวกเขาไม่อยากยอมรับว่าตนเองสู้สตรีที่มาจากโลกภายนอกคนหนึ่งไม่ได้หรืออย่างไร พวกเขาจึงดึงดันคิดว่าเฉียวเวยเพียงโชคดีเท่านั้น
ก็ได้ ความจริงก็โชคดีจริงๆ
เฉียวเวยหวาดกลัวจึงหลบก็เท่านั้น ไหนเลยจะรู้ว่าผู้อาวุโสห้าจะเหินลอยออกไปเอง
จีหมิงซิวจิบชาหนึ่งคำ มุมปากยกโค้งนิดๆ
เฉียวเวยหันไปมองจีหมิงซิว จีหมิงซิวก็เงยหน้ามองนาง ดวงตาสี่ข้างสบประสาน มุมปากของจีหมิงซิวยกโค้งขึ้นน้อยๆ อย่างไม่รู้ตัว หางล่องหนด้านหลังเฉียวเวยกวัดแกว่งอย่างลำพอง จีหมิงซิวกลั้นไม่ไหว หัวเราะออกมา
ศิษย์พี่ห้าเห็นทั้งสองคนเมียงมองกันไปเมียงมองกันมา ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ในหัวใจจึงริษยาขึ้นมาเล็กน้อย เขาเดินมาข้างกายจีหมิงซิวแล้วมองจีหมิงซิวอย่างดูแคลน “ศิษย์พี่สี่อย่าได้ลำพองเร็วเกินไปนัก ผู้อาวุโสห้าเพียงแต่ประมาทจึงติดกับของนางก็เท่านั้น หลังจากนี้นางจะไม่โชคดีเช่นนี้อีกแล้ว”
จีหมิงซิวหัวเราะหยันออกมาคำหนึ่ง
ใต้เท้าเจ้าสำนักเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าไม่พูดก็ไม่มีผู้ใดหาว่าเจ้าเป็นใบ้หรอกนะ เจ้าไม่ยินยอมถึงเพียงนี้ เจ้าก็ลงไปสู้เองเลยสิ! ต่อให้เป็นวิทยายุทธ์แมวสามขาของเจ้า แม้แต่ฝ่ามือเดียวของผู้อาวุโสห้าก็คงรับไว้ไม่ได้กระมัง!”
ศิษย์พี่ห้ามองเขาอย่างเย็นชา
ใต้เท้าเจ้าสำนักเอ่ยว่า “อะไร ข้าพูดผิดหรือ ก็ไม่รู้ว่าหนก่อนผู้ใดกันถูกสกัดจุดจนกระดิกไม่ได้ สุดท้ายปล่อยให้คนถอดเสื้อผ้าล่อนจ้อน…”
“เจ้า…”
ศิษย์พี่ห้าโกรธจนสำลัก เขาเงื้อกำปั้นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ทว่ามือที่กำลังยกชาดื่มของจีหมิงซิวสะบัดเบาๆ ถ้วยก็พาลมปราณสายหนึ่งไปกระแทกข้อพับของศิษย์พี่ห้า โจมตีถูกเส้นเอ็นของเขา แขนครึ่งท่อนของเขาชาหนึบในทันใด
เขาทั้งโกรธทั้งโมโหหันไปมองจีหมิงซิว จีหมิงซิวยกถ้วยชาขึ้นมาอีกหน แล้วดื่มชาอย่างไม่สนใจ
ใต้เท้าเจ้าสำนักหัวเราะหยัน “เจ้าไปได้แล้ว อยู่ขวางหูขวางตาข้างหน้าให้มันน้อยๆ หน่อย สู้ก็สู้ไม่ได้ ด่าก็ด่าไม่ชนะ คิดจะทำให้ตัวเองอับอายหรืออย่างไร”
ศิษย์พี่ห้าโกรธจนหน้าซีดเผือด สะบัดแขนเสื้อกลับไปพิงราวกั้น
บนเวทีประลอง เฉียวเวยจัดแขนเสื้อ เพื่อให้สะดวกกับการตบตี นางจึงสวมอาภรณ์แขนแคบ เสื้อตัวบนยาวเพียงต้นขาคล้ายกระโปรงแต่ก็ไม่เหมือน ใช้สายคาดเอวสีขาวเส้นหนึ่งผูกไว้แน่น สวมคู่กับกางเกงขายาว เท้าสวมรองเท้าหุ้มข้อสีอ่อนที่เคลื่อนไหวสะดวกคู่หนึ่ง ปี้เอ๋อร์อยากจะให้นางสวมรองเท้าปักลาย แต่รองเท้าปักลายหลุดง่ายเกินไป นางไม่อยากจะสู้ไปๆ แล้วรองเท้าหลุดหายหรอกนะ
“เอ๋ ตอนนี้” เฉียวเวยเคาะปลายรองเท้ากับพื้นหินเบาๆ สองที “ไม่มีผู้ใดขึ้นมาแล้วหรือ วันนี้ประลองเสร็จแล้วหรือไร หรือว่าผู้อาวุโสสี่คนที่เหลือสละสิทธิกันหมดแล้ว”
“สาวน้อยโอหัง ข้าจะจัดการเจ้า!”
เสียงแหบห้าวเสียงหนึ่งดังขึ้น ร่างอันห้าวหาญร่างหนึ่งใช้วิชาตัวเบาเหินขึ้นมาบนเวทีประลอง อายุของคนผู้นี้ดูเหมือนจะเยาว์วัยกว่าผู้อาวุโสห้าอยู่สักหน่อย ท่าทางจะอายุไม่ถึงห้าสิบปี รูปร่างไม่สูง ออกจะท้วมอยู่นิดๆ แต่ใบหน้ามีหนวดเครา แววตาดุดัน รอบร่างมีบรรยากาศแข็งแกร่งอย่างน่าประหลาด การปรากฏตัวของเขาทำให้ลูกศิษย์ที่ ‘ฝึกปรือ’ มาไม่มากพอเหล่านั้นอกสั่นขวัญผวาอยู่เงียบๆ
ตำแหน่งที่เขาร่อนลงมายืนบังเอิญอยู่หน้าเจ้าตัวน้อยทั้งสามพอดี เจ้าตัวน้อยทั้งสามแหงนหน้ามองเขาอย่างสงสัยใคร่รู้ เขาเหมือนจะสัมผัสได้ถึงสายตาของเจ้าตัวน้อยทั้งสามจึงหมุนตัวมาอย่างดุร้าย ก้มลงมาหาเจ้าตัวน้อยทั้งสามอย่างดุร้าย ก่อนจะแยกเขี้ยวขู่คำราม!
ศิษย์ตัวน้อยทั้งหลายต่างถูกขู่จนตัวสั่นเทา แต่เจ้าตัวน้อยทั้งสามมองเขาด้วยสีหน้ามึนงง จิ่งอวิ๋นไม่กลัวจริงๆ ส่วนหลิวเกอร์ครึ่งหนึ่งกลัวครึ่งหนึ่งเป็นคนงุ่มง่ามจึงยังไม่ทันมีปฏิกิริยาตอบสนอง วั่งซูกะพริบตาปริบๆ เอื้อมมือน้อยอวบอ้วนออกมาดึงเคราของเขา
จึ้ก!
เคราหย่อมน้อยหลุดออกมา
เจ้าเด็กซน เจ้ากำลังดึงหนวดเสือเฒ่าอยู่นะ!
ชายฉกรรจ์โกรธจนทนไม่ไหว เขายกกำปั้นขึ้นทันที
หลิวเกอร์ร้องไห้จ้า!
เขานิ่งอึ้ง
จิ่งอวิ๋นปลอบว่า “เจ้าจะร้องไห้ทำไมเล่า เขาเพียงล้อเจ้าเล่นเท่านั้น เขาไม่ตีเจ้าจริงๆ หรอก ผู้อาวุโสสำนักซู่ซินจงใจกว้างยิ่งนัก ไม่ถือสาหาความกับเด็กน้อยหรอก”
มารดามันสิ พูดเสียราวกับว่าบิดาใจแคบนักเสียอย่างนั้น!
ชายฉกรรจ์จึงไม่ต่อยแล้ว
หลิวเกอร์ร้องไห้บอกว่า “เขา…เขา …เมื่อครู่ท่าทางเขาน่ากลัวมาก…”
พูดถึงตอนที่ฉีกปากแยกเขี้ยว
รู้ว่าท่านปู่คนนี้น่ากลัวย่อมถูกต้องแล้ว! ชายฉกรรจ์เหล่มองเจ้าเด็กน้อยขนยังไม่ขึ้นคนนี้ แล้วแค่นเสียงดังเหอะเดินจากไป
คนเดินไปไกลแล้ว แต่จู่ๆ หลิวเกอร์ที่อยู่ด้านหลังก็แผดเสียงร้องไห้ออกมาอีกหน จนเขาตกใจเกือบสะดุดหน้าคว่ำ!
หลิวเกอร์ร้องไห้โฮ “เขาจะตีข้า…”
ชายฉกรรจ์ “…”
…
ชายฉกรรจ์ผู้นี้มิใช่ใครอื่น เขาก็คือผู้อาวุโสสี่ผู้โด่งดังแห่งสำนักซู่ซินจง เพราะถนัดใช้เพลงหมัด ผู้คนในยุทธภพจึงมอบฉายาให้เขาว่ายมราชหมัดเหล็ก หมัดที่เขาต่อยออกมาหนักยิ่งนัก ไม่มีผู้ใดรับหมัดของเขาแล้วมีชีวิตรอด แม้แต่สวี่หย่งชิงในปีนั้น ตอนที่ท้าสู้กับเขาก็ไม่กล้ารับหมัดของเขาตรงๆ
ข้อด้อยของการให้ความสำคัญกับพละกำลังมากเกินไปมักจะเป็นการทำให้วิชาท่าร่างไม่ว่องไวพอ เขาเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น แต่ความไม่ว่องไวที่ว่านี้หมายถึงเมื่อเทียบกับยอดฝีมือผู้มีวรยุทธ์เป็นเอกในใต้หล้าทั้งหลาย สำหรับเฉียวเวยผู้วรยุทธ์ไก่กาเช่นนี้ วิชาตัวเบาของเขาก็นับว่าล้ำเลิศแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเขายังครอบครองอาวุธอยู่ชิ้นหนึ่ง นั่นก็คือ…แส้เก้าท่อน
สมัยสวี่หย่งชิงสู้กับผู้อาวุโสสี่ เขาต้องเผชิญความลำบากจากแส้เก้าท่อนอยู่ไม่น้อย ทว่าเมื่อเทียบกับหมัดของผู้อาวุโสสี่ สวี่หย่งชิงยินดีรับแส้ของเขามากกว่า
ศิษย์พี่ห้ายกมุมปากขึ้นอย่างหยิ่งยโสและลำพองใจ “ดูซิว่าหนนี้เจ้ายังจะชนะได้อย่างไร”
ศิษย์น้องแปดจิ๊ปากเอ่ยว่า “จบแล้วๆ นางดันต้องมาต่อกรกับผู้อาวุโสสี่ ผู้อาวุโสสี่คงต่อยนางสมองกระจุยแน่! ประเดี๋ยวนางจะต้องนึกเสียใจที่ตนเองไม่พ่ายแพ้ในมือผู้อาวุโสห้าไปเสีย!”
พ่ายแพ้ให้ผู้อาวุโสห้า อย่างน้อยก็ยังเก็บชีวิตไว้ได้ แต่พ่ายแพ้ให้ผู้อาวุโสสี่ นั่นย่อมไม่มีหนทางรอดแต่อย่างใดแล้ว