หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 320-2 น้องเฉียวผู้องอาจ ชนะอีกหน!
ตอนที่ 320-2 น้องเฉียวผู้องอาจ ชนะอีกหน!
ศิษย์พี่ห้ายิ้มหยัน “แน่นอนอยู่แล้ว ท่านอาจารย์เคยบอกว่าสมัยนั้นคนที่เขาต่อสู้ด้วยอย่างยากลำบากที่สุดก็คือผู้อาวุโสสี่ สู้กันอยู่ถึงหนึ่งชั่วยามกว่า รอจนกระทั่งผู้อาวุโสสี่ข่มกลั้นโทสะมิไหวเผยช่องโหว่ออกมา เขาถึงบีบให้ผู้อาวุโสสี่ลงจากเวทีไปได้อย่างหวุดหวิด ท่านอาจารย์ฝืนทนจนกลับไปถึงเรือน ยังมิทันเดินเข้าห้องก็ล้มคว่ำ ศิษย์พี่สะใภ้สี่ผู้บอบบางของพวกเรา ต้องเผชิญหน้ากับคนที่ร้ายกาจเช่นนี้ คนงามช่างอายุสั้นจริงๆ!”
“เจ้าคือผู้อาวุโสสี่หรือ” เฉียวเวยมองสำรวจขึ้นลงแล้วถามเขา
ผู้อาวุโสสี่ยกแส้เก้าท่อนในมือขึ้นมา แส้หวดอากาศดังฟึบๆ หัวใจดวงน้อยของเฉียวเวยสั่นระริก สายตาเหลือบมองด้านล่างเวที
ผู้อาวุโสสี่เอ่ยอย่างดูแคลน “ไม่ต้องมองหาหรอกสาวน้อย เจ้าไม่มีโอกาสหนีแล้ว”
ขนตาของเฉียวเวยสั่นระริก “ใคร ใครบอกว่าข้าจะหนี ข้ากำลังอบอุ่นร่างกายอยู่ต่างหาก!”
พูดจบก็บริหารหน้าอกด้วยท่าทางถูกต้องตามแบบฉบับสองสามหน
ผู้อาวุโสสี่ทำหน้าหยิ่งผยอง เอ่ยคำพูดด้วยท่าทางโอหังมิเห็นหัวผู้ใดในใต้หล้า “ข้าเห็นการต่อสู้ระหว่างเจ้ากับผู้อาวุโสห้าแล้ว วรยุทธ์ของเจ้าไม่ได้เรื่อง อาศัยว่าขาวิ่งไว แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าแส้เก้าท่อนของข้านี่ เอาไว้มัดขาเช่นนี้ของเจ้าโดยเฉพาะ”
เฉียวเวยยืดหน้าอกเล็กๆ ขึ้น แล้วตอบด้วยท่าทีหยิ่งผยองยิ่งกว่าเขา “เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าจะมัดได้ ข้าว่องไวนักล่ะ! ทั้งสำนักซู่ซินจงไม่มีผู้ใดว่องไวกว่าข้าแล้ว! ประเดี๋ยวข้าไม่เพียงแต่จะแย่งแส้ของเจ้า ข้ายังจะซัดเจ้าลงไปจากเวทีประลองอีกด้วย!”
“ฮ่าๆ ฮ่าๆ ฮ่าๆ ..ฮ่าๆ ฮ่าๆ ฮ่าๆ…” ผู้อาวุโสสี่ไม่เคยได้ยินคำพูดที่โอหังและน่าขันเช่นนี้มาก่อน เขาหัวเราะออกมาทันที เขาแหงนหน้ามองฟ้าหัวเราะไม่เลิก หัวเราะจนควบคุมตัวเองไม่ได้ ทว่าทันใดนั้นเขาก็หัวเราะไม่ออก
เขาก้มหน้าลงมาเห็นกำปั้นน้อยที่เข้ามาประชิดท้องของตนตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบ กำปั้นน้อยต่อยเข้ามาตรงแน่วไม่ตรงไม่เฉ ตรงกับจุดตายของเขาพอดี
เขามองเจ้าของกำปั้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ เจ้าของกำปั้นมองเขาอย่างจริงจัง เขาถลึงตาใส่ได้เพียงหนเดียว ร่างกายก็แข็งทื่อเหมือนแท่งน้ำแข็งหงายล้มไปด้านหลัง!
ทุกคนตกตะลึงจนนิ่งอึ้ง
หากความพ่ายแพ้ของผู้อาวุโสห้าทำให้พวกเขาตกตะลึงอย่างยิ่ง ถ้าเช่นนั้นการที่ผู้อาวุโสสี่ถูกโจมตีหนเดียวล้มก็ทำให้พวกเขาตกตะลึงจนสติหลุด
ต้องทราบว่าดีเลวผู้อาวุโสห้าก็สู้กับเฉียวเวยอยู่นาน สู้กันจนหัวร้อน ไม่ทันระวังเกิดพลาดพลั้งร่วงตกไปจากเวทีประลอง ตั้งแต่ต้นจนจบ ผู้อาวุโสห้าแตะไม่ถูกชายเสื้อของเฉียวเวยแม้แต่น้อย ส่วนเฉียวเวยเองก็แตะไม่ถูกผู้อาวุโสห้าแม้แต่ปลายเส้นผม
เฉียวเวยที่เป็นเช่นนี้โจมตีผู้อาวุโสสี่ทีเดียวจนล้มคว่ำได้อย่างไร
ผู้อาวุโสสี่เป็นถึงยมราชหมัดเหล็กเชียวนะ!
สวี่หย่งชิงตกตะลึงจนลุกขึ้นยืน
คู่ต่อสู้ที่เขาสู้ด้วยอย่างกินแรงมากที่สุดกลับถูกสาวน้อยคนนี้จัดการอย่างง่ายดายปานนี้ นี่มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้!
ศิษย์พี่ห้าตวาดอย่างเกรี้ยวกราด “รอบนี้ไม่นับ! เจ้าลอบโจมตี! ผู้อาวุโสสี่ยังไม่ทันเอ่ยวาจาจบ เจ้าก็ออกกระบวนท่าแล้ว!”
“ใช่แล้ว ผู้อาวุโสสี่ยังไม่ทันเตรียมตัวให้ดีเลย” ศิษย์น้องแปดเอ่ยตาม
เฉียวเวยกล่าวขึ้นเรียบๆ “เมื่อครู่ข้าก็ยังพูดไม่ทันจบ ผู้อาวุโสห้ายังออกกระบวนท่าแล้วเลย! ข้าก็ยังไม่ได้เตรียมใจให้พร้อมเหมือนกัน! ตอนนั้นพวกเจ้าเหตุไฉนไม่ก้าวออกมาบอกว่าผู้อาวุโสห้าลอบโจมตีข้าบ้าง สองมาตรฐานอย่างร้ายกาจ ไม่รู้สึกอับอายบ้างหรือไร”
ศิษย์น้องแปดตวาด “ถึงอย่างนั้นเจ้าก็โจมตีจุดตายของเขาไม่ได้สิ!”
เฉียวเวยแค่นเสียงขึ้นจมูก “ผู้อาวุโสห้าไม่ได้โจมตีจุดตายของข้าหรือไร”
นางโจมตีไปที่จุดชี่ไห่หรือที่ปกติเรียกกันว่าจุดตันเถียน[1] ของผู้อาวุโสสี่ ผู้อาวุโสห้าโจมตีจุดหวาไก้[2]ของนาง ตำแหน่งต่างกัน แต่สำหรับผู้ฝึกวรยุทธ์แล้วพวกมันล้วนเป็นจุดตายที่คร่าชีวิตได้
ศิษย์น้องแปดสะอึกไม่มีช่องทางให้เถียงอย่างสิ้นเชิง ศิษย์พี่ห้ากำราวกั้นไว้แน่น มุมปากกระตุกอยู่สักพัก
จีหมิงซิวเปิดปากพูดด้วยท่าทางสบายๆ “ข้าจำได้ว่ากฎข้อที่สามวรรคที่สิบเจ็ดของสำนักระบุไว้ว่า ‘นับตั้งแต่ขึ้นมาบนเวที เป็นหรือตายรับผิดชอบตนเอง จงจำไว้ว่าต้องระมัดระวัง’ หากข้าไม่ได้เข้าใจผิด ความหมายย่อมหมายความว่าขอเพียงเดินขึ้นมายังเวทีประลอง การประลองก็นับว่าเริ่มต้นขึ้นแล้ว ดังนั้นการกระทำของผู้อาวุโสห้ากับเจ้าสำนักเฉียวจึงไม่นับว่าเป็นการลอบโจมตี มิทราบว่าท่านอาจารย์กับผู้พิทักษ์ทั้งสองคิดเห็นว่าอย่างไร”
จะคิดเห็นอย่างไรได้เล่า เจ้าขนกฎของสำนักออกมาแล้วเช่นนี้!
ตามหลักแล้ว สาวน้อยคนนี้ย่อมไม่ทราบกฎข้อนี้ อีกฝ่ายไม่บอกว่าเริ่ม นางย่อมไม่กล้าลงมือก่อนอย่างแน่นอน แต่ผู้อาวุโสห้าดันทำตัวอย่างให้นางดูเสียเอง ครานี้ดีแล้ว ตอนนี้นางจึงครูพักลักจำเอามันมาใช้กับผู้อาวุโสสี่บ้าง
ผู้พิทักษ์ซ้ายขวาโกรธจนเจ็บหัวใจ!
แพ้ชนะเป็นเรื่องธรรมดาของการศึก ทว่าพ่ายแพ้อย่างโง่เง่าถึงเพียงนี้ก็ขายหน้าอยู่จริงๆ…
เฉียวเวยชนะด้วยการไม่ปล่อยให้กรรมการได้เป่านกหวีด
สวี่หย่งชิงไม่รู้ว่าในหัวใจของตนเองรู้สึกอย่างไรยามประกาศผลการประลองรอบนี้
ผู้อาวุโสสี่ที่สลบไปอีกครั้งถูกลูกศิษย์ทั้งหลายหามลงไป
สวี่หย่งชิงเค้นคำพูดออกมาจากลำคออย่างยากลำบาก “การประลองวันนี้จบเพียงเท่านี้ วันพรุ่งนี้ค่อยประลองใหม่”
“เหตุใดไม่สู้แล้วเล่า” เฉียวเวยถาม
สวี่หย่งชิงสีหน้าไร้อารมณ์ตอบว่า “กฎของสำนักระบุไว้ว่าแต่ละวันท้าสู้กับผู้อาวุโสได้อย่างมากที่สุดสองคน”
เฉียวเวยหันไปมองจีหมิงซิว จีหมิงซิวพยักหน้าเล็กน้อย เฉียวเวยจึงตอบว่า “ถ้าเช่นนั้นก็ได้ วันพรุ่งนี้ก็วันพรุ่งนี้!” สวี่หย่งชิงสะบัดแขนเสื้อเดินจากไป
ศิษย์พี่ห้าตบราวกั้นอย่างโมโห!
จีหมิงซิวเดินลงจากอัฒจันทร์ไปยังเวทีประลอง เขายืนอยู่ใต้เวที ยื่นมือออกมาหาเฉียวเวย เฉียวเวยกำลังจะจับมือเขากระโดดลงไปก็ถูกเขาจับมาอุ้มท่าเจ้าสาวลงจากเวที
ศิษย์ทั้งหลายถูกป้อนอาหารหมาอย่างไม่ทันป้องกัน ชีวิตช่างเปล่าเปลี่ยวนัก! เปล่าเปลี่ยวเฉกเช่นหิมะ!
ดวงหน้าน้อยของเฉียวเวยแดงระเรื่อ นางรีบกระโดดลงมาจากอ้อมอกของเขา
จีหมิงซิวหัวเราะเบาๆ แล้วจับจูงมือของนาง
ฟู่เสวี่ยเยียนที่อยู่บนอัฒจันทร์มองภาพนี้อยู่เงียบๆ สายตาจับบนใบหน้าของจีหมิงซิว
ใต้เท้าเจ้าสำนักเดินเข้ามาเมียงมองฟู่เสวี่ยเยียน เขามองตามสายตาของฟู่เสวี่ยเยียนไปพบพี่ชายของตนเอง ทันใดนั้นจมูกก็แค่นเสียงดังเหอะ “เจ้ามองเจ้าหมอนั่นทำอะไร เขาหน้าตาดีสู้ข้าได้หรือ”
ฟู่เสวี่ยเยียนเหล่มองเขา แล้วเดินจากไปพร้อมกับสีหน้าเฉยชา
[1]จุดตันเถียน จุดลมปราณกึ่งกลางลำตัวบริเวณท้องน้อย
[2]จุดหวาไก้ จุดลมปราณบริเวณกึ่งกลางลำตัวช่วงซี่โครงซี่ที่หนึ่ง