หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 323-1 มีข่าวดี
ตอนที่ 323-1 มีข่าวดี
เมื่อคืนจีหมิงซิวบอกข้อมูลของผู้อาวุโสสามกับผู้อาวุโสรองให้เฉียวเวยฟังแล้ว ตอนพูดถึงผู้อาวุโสสาม เขายังบอกว่าวิชาตัวเบาของนางยอดเยี่ยม มีข้อได้เปรียบตรงที่อาภรณ์ไหมฟ้าอันตรายถึงชีวิต แต่เมื่อเอ่ยถึงผู้อาวุโสรอง จีหมิงซิวกลับพูดกับเฉียวเวยเพียงไม่กี่คำว่า ‘อย่าฝืน สู้ไม่ได้ก็หนี’
ดูจากจุดนี้ก็ทราบแล้วว่าแม้แต่จีหมิงซิวยังไม่คิดว่าเฉียวเวยจะชนะ
เฉียวเวยชนะติดกันมาหลายรอบ เสียงโห่ร้องดังขึ้นเรื่อยๆ หัวใจเองก็ฟูฟ่องพองโตตาม แม้นางจะเข้าใจดีว่าส่วนใหญ่แล้วตนเองมิได้อาศัยวรยุทธ์สู้อย่างตรงไปตรงมา แต่ไม่ว่าแมวดำหรือแมวขาว จับหนูได้ก็เท่ากับเป็นแมวที่ดี นางเอาชนะผู้อาวุโสมาตั้งหลายคนขนาดนั้น อย่างน้อยเรื่องนี้ก็บ่งบอกว่านางเป็นยอดฝีมือผู้ผสานสติปัญญากับพละกำลังได้อย่างยอดเยี่ยมคนหนึ่ง ดังนั้นผู้อาวุโสรองอะไรคนนั้น เชิญบุกเข้ามาได้เต็มที่!
เฉียวเวยยิ้มอย่างชั่วร้าย หักนิ้วมือเสียงดัง
ผู้อาวุโสรองไม่ได้เหินขึ้นมาเหมือนผู้อาวุโสหลายคนก่อนหน้า เขาเดินขึ้นมาบนเวทีด้วยท่าทางสุขุมเยือกเย็น ย่างเท้าเอื่อยเฉื่อย สีหน้าน่าเกรงขาม ดูเหมือนไม่มีจิตสังหารอะไร แต่ยิ่งเขาเข้ามาใกล้ เวทีประลองทั้งเวทีก็ถูกครอบทับด้วยแรงกดดันอันแข็งแกร่ง เมื่อเขายืนอยู่ใจกลางเวที บริเวณรอบด้านก็ถูกแรงกดดันอันแข็งแกร่งของเขาครอบคลุมไว้ทั้งหมด ลูกศิษย์ทั้งหลายเงียบเสียงไปทีละคนๆ พวกเขาเบิกตาโต มองคนที่อยู่บนเวทีอย่างหวาดหวั่นและยำเกรง
เฉียวเวยหักนิ้วมือ หักไปหักมาก็หยุดนิ่ง ในอากาศเหมือนจะมีสายลมล่องหนสายหนึ่งพัดมาหานางอย่างเงียบๆ แล้วฟาดบนหน้าผากของนางดัง เพียะ!
นางกะพริบตา มองไปทางผู้อาวุโสคนนี้อย่างนิ่งอึ้ง
แม้ไม่อยากยอมรับ แต่ความรู้สึกของนางเวลานี้ราวกับหนูเจอแมวอย่างแท้จริง อะไรคือ ‘อย่าฝืน สู้ไม่ได้ก็หนี’ อะไรเล่า ตอนนี้นางก็อยากจะหนีแล้ว!
ปลายเท้าอ่อนแรงเล็งไปที่ขอบเวที พร้อมจะเผ่นแน่บได้ทุกเมื่อ! ทว่าทันใดนั้นเองเท้าของนางก็เหมือนกับถูกถ่วงด้วยตะกั่วจนขยับไม่ได้
นี่มันเกิดอะไรขึ้น
เหตุไฉนเท้าของนางจึงยกไม่ขึ้น
ท่าทางของนางยามนี้เมื่ออยู่ในสายตาของคนทั้งหลายกลับกลายเป็นท่าทางอันกล้าหาญไร้ความหวาดกลัว พลังรอบตัวผู้อาวุโสรองแข็งแกร่งถึงเพียงนั้น พวกเขาหวาดกลัวจนตดเล็ดปัสสาวะราด แต่สตรีนางนี้กลับนิ่งไม่ไหวติง เห็นชัดว่านางช่าง…ขวัญกล้าเทียมฟ้า!
เฉียวเวยจับกางเกง พยายามออกแรงชักขาของตนเองขึ้นมา แต่ดึงตั้งนานก็ยังไม่ขยับ นางมองผู้อาวุโสรองที่อยู่ไม่ไกล เหงื่อไหลพรากเต็มแผ่นหลัง ในใจคิดว่าเจ้าคนนี้ทำสิ่งใดกับข้าหรือไม่ เท้าถึงไม่เหมือนเท้าของตนเอง นางเป็นยอดฝีมือที่ผูกทรายนิลหกถุงวิ่งฉิวบนสนามหญ้าได้เชียวนะ สิ่งที่อาจารย์ตาฝึกฝนให้นางก็คือกำลังขาและกำลังเท้า เมื่อสูญเสียพวกมันไป นางก็เป็นเสือกระดาษที่ทนการโจมตีไม่ได้แม้แต่หนเดียวจริงๆ แล้ว
“เจ้า เจ้า เจ้า…เจ้ารอประเดี๋ยวก่อน! เจ้าหยุดก่อนเลยนะ! เจ้าห้ามลอบโจมตี!”
ผู้อาวุโสรองยืนมองนางอยู่ที่เดิม
เฉียวเวยเช็ดเหงื่อตรงขมับแล้วถามเสียงเบาว่า “เจ้าทำอะไรกับข้ากันแน่ ใช้วิชามารอันใด หรือว่าเจ้าวางยาพิษข้า”
สีหน้าของผู้อาวุโสรองไม่เปลี่ยนไปสักนิด เขามองเฉียวเวยเหมือนมดปลวกตัวกระจ้อยตัวหนึ่ง
เฉียวเวยถูกมองจนหัวใจขนลุกซู่ ทันใดนั้นนางก็รู้สึกเสียใจนิดๆ ที่เดินขึ้นเวทีมา หากรู้ก่อนว่าความสามารถของเจ้าหมอนี่จะเหนือมนุษย์เช่นนี้ ตีให้ตายนางก็ไม่ลงสนามมาหรอก คราวนี้ดีแล้ว แม้แต่คำว่าหนี นางก็ยังใช้ไม่ได้ คงต้องตายบนเวทีแห่งนี้จริงๆ …
สองมือของผู้อาวุโสรองวาดเป็นสัญลักษณ์อันซับซ้อนตัวหนึ่ง จากนั้นก็สะกิดปลายเท้า ฟาดฝ่ามือเข้าใส่เฉียวเวย
แม้แต่เท้าเฉียวเวยก็ยังขยับไม่ได้ หนีย่อมหนีไม่พ้น หากจะตาย…ก็ขอให้ตายในทีเดียวด้วยเถิด!
“ข้ายอมแพะ…อ๊ะ…”
คำว่าแพ้ เพิ่งเอ่ยออกมาได้เพียงครึ่งคำ ลำคอของเฉียวเวยก็พลันเปล่งเสียงออกมาไม่ได้ นางกุมลำคอ แลบลิ้น พยายามจะเค้นเสียงออกมาให้ได้ แต่ไม่มีสักคำออกมาเลย เงาร่างของผู้อาวุโสรองเคลื่อนเข้ามาใกล้ขึ้นทุกที ใกล้จนนางมองเห็นขนบนใบหน้าของเขาชัด ยามเอ่ยเล่าช้าแต่ยามที่ทุกสิ่งเกิดขึ้นช่างรวดเร็วนัก มือขวาของนางจู่ๆ ก็ขยับ ฟาดหนึ่งฝ่ามือใส่แขนของผู้อาวุโสรอง
เฉียวเวยกะพริบตาอย่างไม่อยากจะเชื่อ เมื่อครู่เกิดอะไร เกิดเรื่องอะไรขึ้น
ไม่รอให้นางขบคิดกระจ่าง ร่างกายก็ทะยานเข้าใส่ผู้อาวุโสรองอย่างควบคุมไม่ได้
ทะยานเข้าไปทำซากอะไรเล่า รีบหนีซิเฮ้ย!
เฉียวเวยสงสัยว่าตนเองถูกผีเข้า นางพยายามต้านทานพละกำลังสายนั้นอย่างสุดชีวิต อยากจะสั่งให้เท้าของตนเองหยุด อยากจะสั่งให้มือที่กำลังจะออกท่าไม้ตายวางลงไป แต่ทุกส่วนของร่างกายกลับไม่ฟังคำสั่ง นางเหมือนถูกยอดฝีมือผู้มีฝีมือล้ำเลิศประทับร่าง ตีลังกาซ้าย ตีลังกาขวา ต่อยเสยปลายคาง วาดขาเตะ กระบวนท่าแล้วกระบวนท่าเล่า เฉียบคมทรงพลัง รวดเร็วจนตัวนางเองยังรู้สึกเหลือเชื่อ
นางสาบานว่านางไม่เคยร่ำเรียนสิ่งเหล่านี้มาก่อนจริงๆ แม้แต่ในฝันก็ไม่เคย!
ลูกศิษย์ทั้งหลายมองดูจนตาค้าง มีคำกล่าวว่าคนนอกมักมาชมดูเรื่องสนุก ส่วนคนในจะชื่นชมศาสตร์ศิลป์ ลูกศิษย์ที่กำลังภายในไม่ลึกล้ำด้านล่างของเวทีกลุ่มนี้มองเฉียวเวย แล้วรู้สึกว่านางเคลื่อนไหวว่องไวรุนแรงกว่าก่อนหน้า ต่อสู้ได้อย่างสบายๆ มากกว่าก่อนหน้านี้ พวกศิษย์เอกบนอัฒจันทร์กลับรู้สึกประหลาดใจพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย
ศิษย์น้องแปดเกาศีรษะ “ศิษย์พี่ห้า นางร้ายกาจขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใด เทียบกับเมื่อครู่เหมือน…เหมือนเป็นคนละคนกันเลย!”
จะไม่ใช่เหมือนคนละคนได้อย่างไรเล่า ตอนสู้กับผู้อาวุโสสามนางเริ่มใช้หมัดเท้าแล้วก็จริง แต่กระบวนท่าเหล่านั้นล้วนไม่ใช่กระบวนท่าอย่างเป็นทางการอันใด ดูเหมือนการต่อสู้ประชิดตัวรูปแบบหนึ่งเท่านั้น แต่เวลานี้กลับต่างออกไป กระบวนท่าที่นางใช้เมื่อครู่เห็นชัดว่ามีวรยุทธ์ของสำนักซู่ซินจงอยู่หนึ่งหรือสองกระบวนท่า เรื่องนี้จึงยิ่งแปลกเข้าไปอีก
นางแอบร่ำเรียนวรยุทธ์ของสำนักซู่ซินจงตั้งแต่เมื่อใด แล้วเหตุใดก่อนหน้านี้จึงไม่ใช้ หากนางใช้กระบวนท่าทั้งสองนี้ตั้งแต่ตอนที่สู้กับผู้อาวุโสสาม ก็คงซัดผู้อาวุโสสามลงจากเวทีได้นานแล้ว ไม่จำเป็นต้องถูกผู้อาวุโสสามไล่ฆ่าอยู่ตั้งนาน
พอความคิดนี้แวบเข้ามา ศิษย์พี่ห้าก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “เมื่อครู่ตอนนางพักได้พบผู้ใดบ้างหรือไม่”
ศิษยน้องแปดขานอ้อคำหนึ่งแล้วบอกว่า “เมื่อครู่ข้าเห็นศิษย์พี่หญิงรองเดินไปทางเพิง ไม่รู้ว่าไปหานางหรือไม่”
ตอนอยู่เมืองหลวง ศิษย์พี่หญิงรองเคยทำร้ายเฉียวเวย เฉียวเวยก็เคยยิงศิษย์พี่หญิงรองจนร่างทะลุ ทั้งสองคนผูกแค้นกันไม่น้อย นางไปหาเฉียวเวย มากกว่าครึ่งคงไม่ใช่เรื่องดี แล้วยิ่งไปกว่านั้นต่อให้นางอยากจะถ่ายทอดวิชายุทธ์ให้เฉียวเวย นางก็ใช้สองกระบวนท่านี้ไม่เป็น
ศิษย์พี่ห้ามองออกว่าเฉียวเวยใช้วรยุทธ์ของสำนักซู่ซินจงสองกระบวนท่า แต่เขาไม่ทราบว่าทุกกระบวนท่าที่เฉียวเวยใช้ในเวลานี้ล้วนเป็นกระบวนท่าของสำนักซู่ซินจง เพียงแต่ว่าศิษย์ทั้งหลายยังมิทันได้ร่ำเรียน ศิษย์พี่ห้ามีวาสนาบังเอิญเห็นสวี่หย่งชิงเคยฝึกสองกระบวนท่านี้ จึงมองสองกระบวนท่านั้นออกเท่านั้น แต่สวี่หย่งชิงผู้ล่วงรู้วิชาฝ่ามือชุดนี้กระจ่างแจ้งดุจฝ่ามือ ระหว่างที่มองดูตั้งแต่ต้นจนจบ หัวคิ้วของเขาก็ขมวดจนเกิดเป็นรอยยับย่นสามเส้น
นางรู้วิชาฝ่ามือขั้นสูงสุดของสำนักซู่ซินจงได้อย่างไร
หากไม่ใช่ว่าวิชาฝ่ามือนี้มีเพียงเจ้าสำนักกับผู้อาวุโสทั้งหลายที่ฝึกฝนได้ เขาคงสงสัยว่าจีหมิงซิวถ่ายทอดวรยุทธ์ของสำนักซู่ซินจงให้คนนอกแล้ว
เฉียวเวยกับผู้อาวุโสรองสู้กันบนเวทีอย่างยากจะตัดสินแพ้ชนะ ผู้ชมทั้งหลายรู้สึกเป็นบุญตา โห่ร้องตะโกนว่าเยี่ยมไม่ขาดสาย
ท่ามกลางเสียงโห่ร้องชื่นชม เฉียวเวยก็จู่โจมหนสุดท้ายใส่ผู้อาวุโสรอง นางขยับเท้าส่งแรงสองสามก้าวก่อนจะเหยียบกำแพง นางก้าวเท้าไปบนกำแพงก่อนจะตีหลังกาฟาดฝ่ามือใส่ผู้อาวุโสรอง
จุดที่ผู้อาวุโสรองยืนอยู่แต่เดิมก็ชิดขอบเวที เมื่อรับฝ่ามืออันหนักหน่วงของนางไป ฝ่าเท้าจึงลื่นไถลพรืด ร่วงตกจากเวทีประลองไปทันที
รอบนี้ เฉียวเวยก็ชนะอีกแล้ว
เสียงโห่ร้องชื่นชมด้านล่างดังกึกก้องดุจอสนีบาต
ใต้เท้าเจ้าสำนักหลุดร้องว้าว “นางยักษ์เก่งกาจขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใด”
เขาไม่เป็นวรยุทธ์หรอก แต่ไม่กินเนื้อหมู มิใช่ว่าจะไม่เคยเห็นหมูวิ่งสักหน่อย เห็นชัดๆ ว่านางยักษ์ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผู้อาวุโสรองอะไรคนนั้น ทว่าแต่ละกระบวนท่าของนางกลับงดงาม ถูกต้องตามแบบแผนจนเอาชนะผู้อาวุโสรองได้
กระบวนท่าเหล่านั้น…ไม่เหมือนนางยักษ์เป็นคนใช้เองสักนิด!
วันนี้ท้าสู้ผู้อาวุโสสองคนแล้ว การประลองจึงสิ้นสุดเท่านี้
สวี่หย่งชิงขมวดคิ้วอย่างสงสัยแล้วเดินลงจากอัฒจันททร์ไป
เฉียวเวยโบกมือให้จีหมิงซิว จีหมิงซิวพยักหน้าน้อยๆ เขามองเงาคนที่อยู่ด้านหลังม่านมุกฝั่งตรงข้ามแวบหนึ่ง แล้วเดินลงจากอัฒจันทร์ด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ท่ามกลางเสียงโห่ร้องยินดีของศิษย์ทั้งหลาย จีหมิงซิวพาเฉียวเวยกับเด็กน้อยทั้งสามออกจากลานประลองกลับมายังเรือนพัก
เด็กน้อยทั้งสามพุ่งเข้าไปในเรือนแล้วหยิบ ‘หอกดาบ’ ขึ้นมาเริ่มต่อสู้กัน ผลปรากฏว่าจิ่งอวิ๋นกับหลิวเกอร์ถูกวั่งซูปราบจนราบคาบ
เฉียวเวยนั่งลงบนเก้าอี้ มองมือของตนเองซ้ำไปซ้ำมา
จีหมิงซิวถามว่า “เป็นอะไรหรือ”
เฉียวเวยฉงนงงงวย “พูดไปแล้วท่านอาจจะไม่เชื่อ แต่กระบวนท่าเหล่านั้นเมื่อครู่…ข้าไม่ได้เป็นคนใช้ ข้าขยับไม่ได้แท้ๆ แต่ร่างกายกลับไม่ฟังคำสั่งสักนิด ประเดี๋ยวตีลังกาขึ้น ประเดี๋ยวตีลังกาลง โชคดีที่ร่างกายข้าดีเยี่ยม หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นคงอาเจียนออกมานานแล้ว!”
จีหมิงซิวแต่เดิมก็สงสัยอยู่แล้ว เมื่อได้ยินเฉียวเวยบอกเช่นนี้ก็นับว่าการคาดเดาของเขาได้รับข้อพิสูจน์ วรยุทธ์ในใต้หล้า ต่อให้เปลี่ยนแปรประยุกต์ได้นับพันหมื่นแบบ แต่มิว่าจะเปลี่ยนอีกเท่าใดก็มิอาจเปลี่ยนมาจากความว่างเปล่า ตัวอย่างเช่นการฝึกฝนของเฉียวเวย หากมิใช่ว่าพื้นฐานร่างกายของนางพอมีดีอยู่บ้าง อาจารย์ตาฮั่วฝึกเข้มอีกเท่าใดก็ไม่มีประโยชน์
“ท่านว่าข้าถูกผีเข้าหรือไม่” เฉียวเวยเบิกตาโพลงถาม
จีหมิงซิวหัวเราะเบาๆ “เจ้าไม่ได้ถูกผีเข้าหรอก เจ้าถูกผู้อาวุโสรองใช้กำลังภายในควบคุม เมื่อกำลังภายในของคนผู้หนึ่งบรรลุถึงจุดสุดยอด ก็จะสามารถใช้กำลังภายในพันธนาการอีกฝ่าย ทำให้อีกฝ่ายมิอาจกระดิกกระเดี้ยว หรือทำให้ขยับตามอย่างที่เขาต้องการได้ ที่แท้กำลังภายในของผู้อาวุโสรองก็ลึกล้ำจนถึงขั้นนี้แล้ว”
กล่าวถึงตรงนี้ จีหมิงซิวก็ทอดถอนใจ
เฉียวเวยลูบคาง “ท่านว่า หากเขาสู้กับแม่ของข้า ผู้ใดจะร้ายกาจกว่า”
จีหมิงซิวได้ยินนางถามก็ขบขัน คำถามเบี่ยงประเด็นนี้เขาไม่รู้ว่าสมควรตอบอย่างไร “ต้องได้สู้กันถึงจะรู้” เห็นเฉียวเวยหน้าดำทะมึนก็รีบเสริมว่า “แต่ท่านแม่ร้ายกาจถึงเพียงนั้น ต่อให้สู้กันก็ต้องซัดผู้อาวุโสรองจนสภาพอเนจอนาถแน่นอน”
เฉียวเวยตอบอย่างภาคภูมิใจ “นั่นน่ะสิ! นั่นแม่ของข้าเชียวนะ!”
พอคิดอะไรได้ เฉียวเวยก็ถามอย่างไม่เข้าใจอีก “เหตุใดผู้อาวุโสรองต้องจงใจปล่อยให้ข้าชนะเขาเล่า”
จีหมิงซิวมองไปยังสวน “อีกไม่นานก็จะได้คำตอบแล้ว”
…
กล่าวถึงสวี่หย่งชิง หลังจากเขาเดินลงจากอัฒจันทร์ก็มุ่งไปหาผู้อาวุโสรองทันที แต่ผู้อาวุโสรองชิงออกจากที่แห่งนี้ไปก่อนเขาก้าวหนึ่ง เขาจึงรีบเดินไปที่เรือนของผู้อาวุโสรอง คิดจะถามผู้อาวุโสรองต่อหน้าให้รู้ดำรู้แดง การประลองในวันนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดเขาจึงรู้สึกว่ามีสิ่งใดแปลกพิกล
ในตอนนี้สวี่หย่งชิงเดินมาได้ครึ่งทางนั่นเอง ศิษย์น้องเล็กก็โผล่มาจากทางแยก “ท่านพ่อ!”
สวี่หย่งชิงชะงักเท้า เขาเหลือบมองนางแต่เพราะในใจพะวงกับเรื่องอื่นอยู่ จึงตอบอย่างไม่ใคร่จะใส่ใจนัก “มีอันใด ข้าให้เจ้ารออยู่ในเรือนไม่ต้องออกมาไม่ใช่หรือ”
ศิษย์น้องเล็กตอบอย่างขุ่นเคือง “ท่านให้คนขังข้าอยู่ในเรือนทั้งวัน ข้าเบื่อจะแย่แล้ว! เรื่องเหล่านี้ข้าล้วนทนได้ ท่านไม่ยอมให้ข้ามาดูการประลอง ข้าก็อดทน! แต่ข้าได้ยินว่า…ศิษย์สายตรงของผู้อาวุโสใหญ่เดินทางมาถึงแล้ว! พวกท่าน…พวกท่านตัดสินใจแล้วหรือว่าจะให้ข้าแต่งออกไป”
ความคิดของสวี่หย่งชิงจดจ่ออยู่แต่กับการประลอง จึงไม่ได้สนใจเรื่องนี้สักเท่าใดนัก เมื่อครู่เขาเห็นบุรุษท่าทางสง่างามคนหนึ่งเดินไปทางอัฒจันทร์ของผู้อาวุโส หลังจากนั้นฟู่เสวี่ยเยียนก็เดินตามเข้าไป หรือว่า…คนผู้นั้นก็คือพี่ชายของฟู่เสวี่ยเยียน
“ท่านพ่อ! ข้าพูดกับท่านอยู่นะ! ท่านได้ยินหรือไม่” ศิษย์น้องเล็กเห็นบิดาของตนเองเงียบไม่ตอบก็กระทืบเท้าอย่างร้อนใจ
สวี่หย่งชิงได้สติกลับมาก็เอ่ยปลอบนางว่า “เรื่องนี้กลับไปค่อยพูดกัน เจ้ากลับเรือนไปก่อน พ่อยังมีธุระ”
“ท่านมีธุระอันใด” ศิษย์น้องเล็กกอดแขนของเขาไม่ยอมให้เขาเดินจากไป
สวี่หย่งชิงหมดความอดทนแต่ก็จนปัญญาจึงถอนหายใจบอกว่า “ข้าจะไปหาผู้อาวุโสรอง”
ดวงหน้างามของศิษย์น้องเล็กถอดสี “ท่านจะไปหาผู้อาวุโสหรือ จะกำหนัดการแต่งงานของข้าจริงๆ ใช่หรือไม่ ศิษย์พี่กับศิษย์พี่สะใภ้บอกว่าจะไม่ยอมให้ข้าต้องแต่งงานมิใช่หรือ เหตุไฉนกลายเป็นเช่นนี้ พวกท่านแต่ละคนล้วนพูดจาเชื่อถือไม่ได้ทั้งนั้น!”
สวี่หย่งชิงขมวดคิ้ว “อย่าทำตัววุ่นวาย หลีเย่ว์!”
ศิษย์น้องเล็กไม่ยอมถอย “ข้าทำตัววุ่นวายหรือ พวกท่านต่างหากที่รวมหัวกันมารังแกข้า! จะจับข้าแต่งงานกับคนที่ปิดหน้าปิดตามาตลอดให้ได้ ท่านเป็นบิดาแท้ๆ ของข้านะ เหตุไฉนท่านไม่สนใจไยดีความเป็นความตายของข้า”
สวี่หย่งชิงหวนนึกถึงภาพของคุณชายคนนั้นเมื่อครู่ ดูแล้วไม่ด้อยกว่าจีหมิงซิว แต่เดิมเขายังเป็นห่วงอยู่บ้าง แต่หากเป็นเขาจริง ถ้าเช่นนั้นก็ไม่มีสิ่งใดต้องกังวลแล้ว “พ่อกับผู้อาวุโสทั้งหลายล้วนหวังดีกับเจ้า เลือกยอดคนจากหมื่นลี้ให้เจ้า รอเจ้าได้พบเขาแล้ว เจ้าจะต้องชอบเขา”
ศิษย์น้องเล็กแค่นเสียงดังเหอะ “ไม่มีทาง! พวกนางเอาแต่พูดถึงศิษย์พี่สี่ อยากแต่งงานกับศิษย์พี่สี่ แต่ข้าไม่อยาก แม้แต่ศิษย์พี่สี่ ข้ายังไม่ชมชอบ ข้ายังจะชอบผู้ใดได้อีกเล่า”
“นี่ไม่เหมือนกัน!” สวี่หย่งชิงเอ่ยตอบ
ตอนที่หมิงซิวเพิ่งมาถึงสำนักซู่ซินจง หลีเย่ว์เพิ่งอายุไม่กี่ขวบ ทั้งยังเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน ไหนเลยจะเกิดความคิดที่ไม่ควรเกิด
ศิษย์น้องเล็กเป็นตายก็ไม่ยอม จะให้สวี่หย่งชิงรับปากว่าจะไม่จับนางแต่งงานให้ได้ สวี่หย่งชิงร้อนใจอยากจะไปหาผู้อาวุโสรอง จึงรับปากนางอย่างขอไปทีว่า “ข้าขอคิดดูก่อน” ศิษย์น้องเล็กจึงยิ้มร่ายอมปล่อยมือ
สวี่หย่งชิงเดินจากไปแล้ว ศิษย์น้องเล็กจึงเดินกลับเรือนของตนเองอย่างเริงร่า ทันใดนั้นเสียงทุ้มนุ่มเปี่ยมเสน่ห์เสียงหนึ่งก็เรียกนางไว้ “แม่นาง เจ้าทำของตกแล้ว”
ศิษย์น้องเล็กกะพริบตาหันกลับไปมองอีกฝ่าย เพียงมองหนเดียว นางก็นิ่งอึ้ง
นางไม่ทราบว่าสมควรจะพรรณนาบุรุษผู้นี้อย่างไร เขา…เป็นบุรุษที่มีรูปลักษณ์เป็นเอกลักษณ์ที่สุดเท่าที่นางเคยเห็นมา รูปร่างของเขาสูงพอๆ กับศิษย์พี่สี่ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะผอมเพรียวกับศิษย์พี่สี่เล็กน้อย เขาสวมผ้าคลุมกันลมสีฟ้าอมเขียว ดวงหน้าประหนึ่งหยกชั้นเลิศ คิ้วกระบี่ดวงตาดารา แววตาอ่อนโยนเสมือนดวงตะวันบนฟากฟ้า มุมปากยกโค้งขึ้นนิดๆ ประดับรอยยิ้มน้อยๆ อันสุภาพอ่อนโยน
“แม่นาง” เขาส่งของในมือมาให้
ศิษย์น้องเล็กรับของมาอย่างตกตะลึง สายตาไม่ละออกจากใบหน้าของเขาแม้แต่ชั่วขณะเดียว
เขายิ้มน้อยๆ “แม่นางไม่ดูหน่อยหรือว่าในกระเป๋ามีสิ่งใดหายไปหรือไม่”
“ไม่หาย” ศิษย์น้องเล็กมองเขาอย่างอึ้งงัน
เขาก้มหน้าลงมาหัวเราะ แล้วเงยหน้าขึ้นมองศิษย์น้องเล็ก แล้วกล่าวอย่างนุ่มนวลประหนึ่งหยก “ในเมื่อไม่หาย ถ้าเช่นนั้นข้าก็ขอตัวก่อน”
ศิษย์น้องเล็กมองเขาอย่างโง่งม เขาหมุนตัวกลับไป ศิษย์น้องเล็กรู้สึกว่าแม้แต่แผ่นหลังของเขาก็ดูอบอุ่น
“คุณหนู! ท่านอยู่ที่นี่หรอกหรือ! ข้าตกใจแทบตาย!” สาวใช้คนหนึ่งวิ่งหอบแฮ่กเข้ามาหา “พริบตาเดียวท่านก็หายตัวไป ฮูหยินตกใจแทบแย่ ให้ทุกคนออกมาตามหาท่าน! ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่เจ้าคะ เอ๋ คุณหนู ท่านเป็นอะไรไป ท่านนิ่งอึ้งอะไรอยู่ ด้านนั้นมีสิ่งใดหรือ ท่าน ท่าน ท่าน…ท่านจึงมองจนเหม่อลอยเช่นนี้”
ศิษย์น้องเล็กถือกระเป่าใบน้อยไว้ในฝ่ามือแล้วยิ้มอย่างโง่เง่า ดวงหน้างามแดงระเรื่อเพราะความขัดเขิน ก่อนจะเดินฉิวกลับไปที่เรือน
…