หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 327-1 มาทันเวลาพอดี ความลับของเยี่ยหลัว
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก
- ตอนที่ 327-1 มาทันเวลาพอดี ความลับของเยี่ยหลัว
ตอนที่ 327-1 มาทันเวลาพอดี ความลับของเยี่ยหลัว
ห้องชั้นบนของหอชิงหลิว ประตูห้องปิดสนิท ฟู่เสวี่ยเยียนถูกชายหนุ่มทาบทับอยู่บนเตียง มือของนางถูกชายหนุ่มยึดไว้ ขาก็ถูกเขาทับเอาไว้ด้วย เขาก้มลงมาจูบพวงแก้มของนาง นางเบี่ยงหน้าหนีอย่างรังเกียจ จุมพิตของเขาจึงประทับลงบนลำคอขาวผ่องดุจหิมะของนาง
ฟู่เสวี่ยเยียนถามอย่างรังเกียจ “ท่านบ้าไปแล้วใช่หรือไม่”
ชายหนุ่มหยุดเคลื่อนไหว ดวงตาสองข้างที่ลุกโชนดุจคบไฟจ้องมองนาง “ข้าไม่ได้บ้า คนที่บ้าคือเจ้าต่างหาก! เจ้ารู้ว่าข้าไม่ชอบให้เจ้าคุยกับบุรุษคนอื่น เหตุใดยังต้องให้ท่าคนข้างนอกไปทั่ว!”
ฟู่เสวี่ยเยียนตอบเสียงเย็นชา “ท่านไม่พูดคุยกับผู้อื่นหรืออย่างไร ท่านยุ่งอะไรด้วย”
ชายหนุ่มยิ้มหยัน “ดี ข้าจะทำให้เจ้าได้เห็นว่าข้ายุ่งได้หรือไม่!”
ฟู่เสวี่ยเยียนโมโห “ท่านไม่กลัวองค์ชายสามสังหารท่านแล้วหรือ!”
ร่างของชายหนุ่มชะงัก
แทบจะในเวลาเดียวกัน เสียงรายงานของหลินชวนก็ดังมาจากนอกห้อง “คุณชาย เจ้าสำนักเฉียวมาขอรับ นางบอกว่ามีเรื่องสำคัญต้องบอกท่านต่อหน้า”
ชายหนุ่มมองฟู่เสวี่ยเยียนที่อยู่ใต้ร่างตน ฟู่เสวี่ยเยียนถลึงตาจ้องเขาอย่างดุร้าย ทันใดนั้นเขาก็ลูบเอวนุ่มนิ่มของนางอย่างอ่อนโยน “วันนี้จะปล่อยเจ้าไปก่อน ช้าเร็วเจ้าย่อมเป็นของข้า”
ชายหนุ่มลุกขึ้นจัดเสื้อผ้าที่ยับยู่ยี่ เมื่อเสื้อผ้าและกวานบนศีรษะอยู่ในสภาพเรียบร้อยดีแล้ว เขาจึงเดินไปยังห้องโถงดื่มชา
ในห้องโถงดื่มชา เฉียวเวยดื่มชาอย่างนิ่งสงบ เงยหน้าขึ้นมองสำรวจเป็นระยะ เรือนของหมิงซิวนับว่าไม่เลวแล้ว แต่เรือนแห่งนี้หรูหรามากกว่าอีกสามส่วน จิ๊ๆ มิเสียทีเป็นคนเยี่ยหลัว ได้รับการปฏิบัติดีเป็นพิเศษขนาดนี้
“เจ้าสำนักเฉียว” ชายหนุ่มเดินเข้ามาในห้องแล้วกล่าวทักทายด้วยสีหน้าอ่อนโยน “”ขออภัย เมื่อครู่มีธุระนิดหน่อยจึงมาช้า”
เฉียวเวยยิ้มอย่างมีมารยาท “ข้าคงไม่ได้ขัดจังหวะงานสำคัญของเจ้ากระมัง”
ชายหนุ่มนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามของเฉียวเวย คลี่ยิ้มอ่อนโยนประหนึ่งหยก “ไม่หรอก เจ้าสำนักเฉียวจู่ๆ มาเยี่ยมเยือน มีธุระอะไรหรือ”
เฉียวเวยมาหาฟู่เสวี่ยเยียน แต่นางกับฟู่เสวี่ยเยียนไม่เคยพบหน้ากันในที่เปิดเผยจึงได้แต่อ้างว่ามาหาเขา เฉียวเวยแววตาวูบไหว ยิ้มตอบว่า “ความจริงสามีของข้าให้ข้ามา เขาอยากให้ข้ามาถามเจ้าว่า เจ้าจะยืมกระบี่โหราจารย์กับกริชเฟิ่นเทียนเมื่อใด แล้ว…คิดว่าจะยืมนานเท่าไร”
ชายหนุ่มตอบเสียงอ่อนโยน “แน่นอนว่ายิ่งเร็วยิ่งดี”
“เรื่องนี้น่ะ…” เฉียวเวยตอบโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าสักนิด “กริชเฟิ่นเทียนอยู่ในมือข้า ข้ามอบให้เจ้าได้ตลอดเวลา แต่กระบี่โหราจารย์ สามีของข้าเป็นคนเก็บรักษา มิสู้เจ้าลองไปถามเขาดู ตอนนี้เขาบังเอิญมีเวลาว่างพอดี”
พูดมาถึงตรงนี้ หากชายหนุ่มจะไม่ไปหาย่อมไม่ดี
เฉียวเวยเอ่ยอย่างใจกว้าง “จริงสิ ข้ายังไม่ได้ทักทายน้องสาวของเจ้าเลย ไม่สู้เจ้าล่วงหน้าไปก่อนเถิด ข้าสนทนากับนางสักครั้งแล้วค่อยกลับ”
“น้องสาวของข้านาง…” ชายหนุ่มกำลังจะปฏิเสธ ฟู่เสวี่ยเยียนก็สวมผ้าปิดหน้า เดินเข้ามาพร้อมกับสีหน้าเฉยชา “ท่านพี่ไปก่อนเถิดเจ้าค่ะ ข้าจะอยู่ที่นี่สนทนากับเจ้าสำนักเฉียวเอง”
เฉียวเวยยิ้มหันไปมองชายหนุ่ม
แววตาของชายหนุ่มวูบไหวก่อนจะคลี่ยิ้มอ่อนโยน “ก็ได้ พวกเจ้าล้วนเป็นสตรีคงมีอะไรให้สนทนากันไม่น้อย ข้าจะไปหาใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีก่อน”
ฟู่เสวี่ยเยียนค้อมกายอย่างที่น้อยครั้งจะทำ “ท่านพี่เดินทางดีๆ”
ทันทีที่ชายหนุ่มหมุนตัวหันหลังให้ รอยยิ้มบนใบหน้าก็หายไปในฉับพลัน เขาเดินออกจากเรือนไปอย่างเย็นชา
เฉียวเวยมองรอบด้าน ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจึงมักจะรู้สึกว่าที่แห่งนี้ไม่ใช่สถานที่เหมาะแก่การสนทนา “พวกเราไปเดินเล่นด้านนอกดีหรือไม่”
ฟู่เสวี่ยเยียนพยักหน้า “ดี”
ทั้งสองคนเดินไปยังสวนดอกไม้น้อยของสำนักซู่ซินจง เมื่อรอบด้านไม่มีคนอื่น เฉียวเวยก็เปิดปากเข้าประเด็น “เจ้าท้องใช่หรือไม่”
ฟู่เสวี่ยเยียนเหมือนจะคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าเฉียวเวยจะถามเช่นนี้ ใบหน้าของนางจึงไม่ประหลาดใจสักเท่าใดนัก
เฉียวเวยยังคิดว่านางจะปฏิเสธสักพักก่อนเสียอีก คิดไม่ถึงว่านางจะยอมรับโดยดุษฎีอย่างฉับไวเช่นนี้ นางจึงไม่อ้อมค้อม เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังทันที “เจ้าไม่คิดจะเก็บไว้หรือ”
ฟู่เสวี่ยเยียนนิ่งเงียบ
เวลานี้เองวั่งซูก็อุ้มดอกไม้สดที่เพิ่งเด็ดมาใหม่ๆ ช่อใหญ่เข้ามาหา นางเงยใบหน้าน้อยแดงระเรื่อ ยิ้มตาหยีเอ่ยเรียก “ท่านแม่!”
เฉียวเวยเช็ดเหงื่อบนหน้าผากของนาง แล้วเอ่ยเสียงอ่อนโยน “มีดอกไม้มากมายเช่นนี้เชียว”
วั่งซูยัดดอกไม้ช่อโตเข้ามาในอ้อมแขนของเฉียวเวย “ให้ท่านแม่!”
เฉียวเวยยากจะปกปิดความสุขใจ นางหยิกแก้มน้อยๆ ของวั่งซู “เป็นเด็กดีจริงๆ”
สายตาของฟู่เสวี่ยเยียนจับบนร่างของวั่งซู วั่งซูสวมเครื่องแบบลูกศิษย์ของสำนักซู่ซินจง นางตัวอวบอ้วนขาวจั้วะเหมือนก้อนหิมะน้อย ใบหน้างดงาม คิ้วเข้มตากลมโต แพขนตาทั้งยาวทั้งงอนทั้งหนา ดวงตาเหมือนเมล็ดองุ่นดำกลอกกลิ้งไปมา ดูสดใสร่าเริงอย่างบอกไม่ถูก
เหมือนนางจะสัมผัสได้ถึงสายตาของฟู่เสวี่ยเยียน เด็กหญิงตัวน้อยจึงกะพริบดวงตาอันงดงามของตนแล้วหันไปมองใบหน้าของฟู่เสวี่ยเยียน “ท่านคือผู้ใดกันเจ้าคะ”
“ข้าคือ…ศิษย์พี่หญิงฟู่ของเจ้า” ฟู่เสวี่ยเยียนตอบ
“อ้อ ศิษย์พี่หญิงฟู่นี่เอง ยินดีที่ได้พบเจ้าค่ะ!” วั่งซูประสานมือคำนับราวกับผู้ใหญ่ตัวน้อย ทำเหมือนกับว่านางเคยได้ยินชื่อศิษย์พี่หญิงฟู่มาก่อนจริงๆ
เฉียวเวยถูกความหน้าหนาของบุตรสาวทำเอาอารมณ์ขุ่นเคืองสลายหายไปหมด
ยามอยู่ต่อหน้าผู้อื่นวั่งซูรักหน้าตามากยิ่งนัก นางอดกลั้นความรู้สึกที่อยากจะโถมเข้าไปในอ้อมแขนเพื่อออดอ้อนมารดาสุดชีวิต นางบอกลาท่านแม่กับศิษย์พี่หญิงฟู่อย่างเป็นทางการจากนั้นเดินออกจากสวนดอกไม้ไปเล่นกับสหายตัวน้อย
นางวิ่งหายไปแล้ว จิ่งอวิ๋นกับหลิวเกอร์เพิ่งวิ่งหอบหายใจไม่ทันตามมาถึง เห็นชัดว่าพวกเขาเด็ดดอกไม้อยู่ในสวนแห่งหนึ่งด้วยกัน แต่ดอกไม้ที่ดอกใหญ่ที่สุด งดงามที่สุดถูกทรราชน้อยวั่งซูเด็ดไปหมดแล้ว ส่วนที่เหลือตกมาถึงพวกเขาไม่ใช่ดอกไม้ที่บานจนใกล้โรยราก็เป็นดอกตูมที่ยังไม่ทันบาน ดังนั้นพวกเขาย่อมเลือกดอกตูมมา
ความจริงพวกเขาเก็บดอกไม้เสร็จก่อนวั่งซูอยู่หลายก้าว หลังจากเด็ดเรียบร้อยก็วิ่งมาหาเฉียวเวย คิดว่าในที่สุดก็จะได้ทิ้งเจ้าอ้วนตัวน้อยคนนั้นไว้ข้างหลังสักหน ไหนเลยจะรู้ว่าเจ้าตุ้ยนุ้ยกลับวิ่งฉิวผ่านข้างตัวพวกเขาไปราวกับสายลม…
ในขณะที่พวกเขายังวิ่งมาทางด้านนี้อยู่ เจ้าตุ้ยนุ้ยวั่งซูก็มอบดอกไม้เสร็จเริ่มวิ่งกลับไปแล้ว…
ชีวิตมนุษย์ช่างเต็มไปด้วยเรื่องให้อับจนหนทาง!
เฉียวเวยวางดอกไม้ลงบนโต๊ะหินด้านข้าง จากนั้นเช็ดหน้าให้เด็กชายตัวน้อยทั้งสองคน แล้วบอกให้พวกเขาสองคนเป็นเด็กดีทักทายศิษย์พี่หญิงฟู่
“ลูกของเจ้าทั้งหมดเลยหรือ”ฟู่เสวี่ยเยียนถาม
หลิวเกอร์หันมามองเฉียวเวย
เฉียวเวยพยักหน้า
ใบหูน้อยของหลิวเกอร์แดงระเรื่อเล็กน้อย ศีรษะน้อยๆ มึนเบลอ ทั้งร่างเหมือนกับเหยียบอยู่บนก้อนเมฆ ตอนเดินออกไปเขาจึงเดินชนเสาดัง โป้ก!
จิ่งอวิ๋นดึงมือเขาให้ลุกขึ้น “เจ้าเดินอย่างไรของเจ้า เสาใหญ่ขนาดนี้ดันมองไม่เห็น!”
หลิวเกอร์หันกลับไปมองแล้วยกมือขึ้นปิดหน้าวิ่งหนีไปอย่างเขินอาย!
รอจนกระทั่งเจ้าตัวน้อยสองคนหายลับสุดปลายทางเดินไปแล้ว เฉียวเวยจึงเอ่ยกับฟู่เสวี่ยเยียนว่า “คนนั้นคือน้องชายของหมิงซิวกับหมิงเยี่ย”
ฟู่เสวี่ยเยียนเข้าใจแล้ว นางไม่ถามว่าเหตุใดน้องสามจึงอายุน้อยถึงเพียงนี้ แต่มือเรียวกลับยกขึ้นมาวางบนหน้าท้อง เอ่ยขึ้นมาคล้ายกำลังทอดถอนใจ “ข้าเป็นคนของราชาเยี่ยหลัว นับตั้งแต่ข้าถือกำเนิดก็ถูกลิขิตมาให้แต่งงานกับว่าที่ราชาเยี่ยหลัว”
“ว่าที่ราชาเยี่ยหลัวคือผู้ใด” เฉียวเวยถาม
ฟู่เสวี่ยเยียนตอบว่า “น่าจะเป็นองค์ชายสาม”
“น่าจะหมายความว่าอย่างไร” เฉียวเวยอุ้มดอกไม้หอบใหญ่เดินเข้าไปในศาลาที่เย็นสบายหลังหนึ่งด้วยกันกับฟู่เสวี่ยเยียน
ฟู่เสวี่ยเยียนนั่งลงแล้วตอบว่า “ข้าก็ไม่รู้ว่าสมควรจะบอกเจ้าอย่างไร เยี่ยหลัวเคยเป็นหนึ่งในเผ่าที่เก่าแก่ที่สุดในใต้หล้า พวกเขารวบรวมหนึ่งร้อยแปดเผ่าจนเป็นหนึ่งเดียวแล้วก่อตั้งราชวงศ์เทียนฉี่ แต่สุดท้ายราชวงศ์เทียนฉี่ก็ล่มสลาย ชาวเผ่าจำนวนมากถูกเข่นฆ่าล้างบาง บาปที่เผ่าเยี่ยหลัวเคยโยนใส่เผ่าถ่าน่าเมื่อครั้งนั้น สุดท้ายก็คืนสนองกลับมาที่เผ่าของพวกเขาเอง ทุกสิ่งนี้ล้วนเป็นเพราะราชวงศ์ตัดสินใจผิดพลาด ราชวงศ์จึงกลายเป็นคนบาปแห่งเผ่าเยี่ยหลัว”
เฉียวเวยวางดอกไม้สดลงบนโต๊ะแล้วนั่งตาม “เป็นคนบาปแล้วพวกเจ้ายังยอมรับพวกเขาเป็นราชวงศ์อีก”
ฟู่เสวี่ยเยียนตอบว่า “ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นเชื้อพระวงศ์ แต่ก็มีคนที่คิดเช่นเดียวกับเจ้าไม่น้อย หากอยากได้รับการยอมรับจากชาวเผ่าทั้งหมด ต้องเปิดพระราชวังของเยี่ยหลัวให้ได้ เมื่อเปิดประตูใหญ่ของพระราชวัง นั่งบนบัลลังก์มังกรในราชวังสำเร็จจึงจะกลายเป็นราชาเยี่ยหลัวที่แท้จริง”
เฉียวเวยคิดอะไรขึ้นได้จึงถามว่า “เรื่องนี้เกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลจีกับชนเผ่าลึกลับ”
ฟู่เสวี่ยเยียนชะงัก แล้วตอบว่า “การจะเปิดพระราชวังจำเป็นต้องมีกุญแจสี่ดอก กระบี่โหราจารย์ กริชเฟิ่นเทียน ธนูจันทร์โลหิต โล่วารีสวรรค์ ธนูจันทร์โลหิตกับโล่วารีสวรรค์อยู่ในมือของราชวงศ์เยี่ยหลัวอยู่แล้ว”