หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 334-1 คุณชายรองตระกูลจีจีบภรรยา สวินหลันป่วยหนัก
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก
- ตอนที่ 334-1 คุณชายรองตระกูลจีจีบภรรยา สวินหลันป่วยหนัก
ตอนที่ 334-1 คุณชายรองตระกูลจีจีบภรรยา สวินหลันป่วยหนัก
ฟู่เสวี่ยเยียนถลึงตามองใต้เท้าเจ้าสำนักอย่างเย็นชา ใต้เท้าเจ้าสำนักรีบประคองนางขึ้นมา นางสะบัดมือของเขาออกแล้วลุกขึ้นมาด้วยตัวเอง
ใต้เท้าเจ้าสำนักจะเข้าไปช่วยนางขยับเก้าอี้อีก แต่นางเอ็ดเบาๆ “นั่งลง!”
ใต้เท้าเจ้าสำนักนั่งลงอย่างว่าง่าย
ฟู่เสวี่ยเยียนเลื่อนเก้าอี้นั่งด้วยตนเอง แล้วสูดลมหายใจลึกๆ กดเพลิงโทสะลงไป
เสี่ยวเอ้อร์ของร้านหิ้วชาร้อนกาหนึ่งเข้ามา เขายิ้มร่ามองทั้งสองคนแล้วพูดว่า “นี่เป็นหลงจิ่งที่เพิ่งเก็บใหม่ของปีนี้ ฮ่องเต้ก็ทรงดื่มชาชนิดนี้เช่นกัน ท่านลูกค้าดื่มชาก่อนสักหน่อย อีกเดี๋ยวอาหารก็ยกมาแล้ว”
ใต้เท้าเจ้าสำนักนึกขึ้นมาได้ว่าตลอดทางฟู่เสวี่ยเยียนไม่ดื่มชาเลย จึงบอกว่า “นางไม่ดื่มหลงจิ่ง เจ้าเปลี่ยนไปยกน้ำร้อนถ้วยหนึ่งมา”
“เอ๋” เสี่ยวเอ้อร์ของร้านอึ้ง
ใต้เท้าเจ้าสำนักบอกอย่างไม่สบอารมณ์ “หูหนวกหรือไร บอกว่าไม่เอาใบชา!”
ช่างเถิดๆ ลูกค้าจะประหยัดเงินให้เหลาสุรา มีเหตุผลให้เขาขวางด้วยหรือ
เสี่ยวเอ้อร์ของร้านยกหลงจิ่งกลับไป แล้วยกน้ำอุ่นกาหนึ่งมาแทน
ใต้เท้าเจ้าสำนักรินชามาสองถ้วย ถ้วยหนึ่งให้ตนเอง อีกถ้วยหนึ่ง…ก็ให้ตนเอง
ปี้เอ๋อร์บอกว่า “ตอนทานอาหารกับนาง ต้องเป็นฝ่ายเสนอตัวทดสอบพิษให้นาง”
ในที่สุดหนนี้ใต้เท้าเจ้าสำนักก็ไม่ลืม ยิ่งไปกว่านั้นใต้เท้าเจ้าสำนักยังเติมความเข้าใจของตนเองลงไปบนหลักการดั้งเดิมที่ปี้เอ๋อร์บอกมาอีกด้วย ในความเห็นของเขา พิษไม่ได้อยู่แต่ในอาหารกับน้ำชาเท่านั้น แต่ยังทาไว้บนภาชนะได้ด้วย ดังนั้นเขาจึงจะทดสอบพิษที่ชาม ตะเกียบกับถ้วยน้ำชาของนางด้วย
เมื่อใต้เท้าเจ้าสำนักวางถ้วยที่ดื่มแล้วกลับไปตรงหน้าของฟู่เสวี่ยเยียน เขาก็หันไปยิ้มให้นางเหมือนอยากจะรับความดีความชอบ ทว่าใบหน้าของฟู่เสวี่ยเยียนดำเป็นถ่าน…
ใต้เท้าเจ้าสำนักทำท่าจะไปทดสอบตะเกียบของนางต่อ แต่ถูกฟู่เสวี่ยเยียนจับแขนดัดหลังกดไว้กับโต๊ะ ฟู่เสวี่ยเยียนเอ่ยอย่างเย็นชา “ข้าเกลียดการใช้ของร่วมกับคนอื่นมากที่สุด หากแตะชามกับตะเกียบของข้าอีก ข้าจะฆ่าเจ้า!”
…
ทานอาหารมื้อหนึ่งเสร็จ ใต้เท้าเจ้าสำนักก็เกือบจะถูกความเย็นชาที่แผ่ออกมาจากร่างของนางแช่แข็งเป็นแท่งน้ำแข็ง ไม่ใช่แค่ดื่มน้ำจากถ้วยของนางหรือ ต้องถึงขั้นนี้หรือ เหมือนว่าเรื่องที่ใกล้ชิดยิ่งกว่านี้ก็เคยทำกันมาแล้วนะ! แล้วก็นางเป็นฝ่ายเริ่มก่อนชัดๆ ด้วย!
ใต้เท้าเจ้าสำนักมองแผ่นหลังของฟู่เสวี่ยเยียนที่ก้าวขึ้นไปบนรถม้า แล้วหรี่ตาลงอย่างชั่วร้าย “ไม้นี้ใช้ไม่ได้ผล นายท่านผู้นี้ก็ยังมีไม้ต่อไป เจ้าคอยดูเถอะ รับประกันว่าเจ้าจะต้องโผเข้ามาร่ำไห้ร้องหาบิดามารดาในอ้อมกอดของนายท่าน!”
ใต้เท้าเจ้าสำนักขึ้นรถม้าไปด้วย
“ไปร้านหนังสือ ข้าจะซื้อหนังสือสองสามเล่ม” ฟู่เสวี่ยเยียนบอกสารถี
สารถีขานรับ แล้วหวดแส้ลงบนอาชาร่างกำยำ ล้อรถหมุนเคลื่อนไปตามถนน
ใต้เท้าเจ้าสำนักเลิกม่านรถ ชะเง้อมองข้างนอกไม่หยุด มองไปก็แอบยิ้มไป
ฟู่เสวี่ยเยียนเหล่มองเขาอย่างเฉยชาก่อนจะเริ่มหลับตาทำสมาธิ
จู่ๆ ใต้เท้าเจ้าสำนักก็เปิดม่านด้านหน้า ชี้ซอยด้านขวาแล้วบอกว่า “ตาเฒ่าหยาง ไปถนนเส้นนั้น!”
สารถีงุนงง “คุณชายรอง ถนนเส้นนั้นเดินทางไม่สะดวกขอรับ”
ซอยเล็กจะกว้างเท่าถนนใหญ่ได้อย่างไร รถม้าคันหนึ่งพอแล่นผ่านไปได้ แต่หากมีสวนมาอีกคันก็ตันแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเส้นทางก็ยังไกลแล้วต้องเลี้ยวอีกเจ็ดแปดหน ต้องเดินทางเพิ่มอีกเกือบครึ่งชั่วยาม
ใต้เท้าเจ้าสำนักบอกด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าบังเอิญต้องไปซื้อของนิดหน่อยในซอยนั่น เจ้าขับไปเถอะ! หากไม่ได้จริงๆ รอข้าซื้อเสร็จเจ้าค่อยขับออกมา!”
“ในซอยนั่นมีของขายด้วยหรือ” เขาขับรถม้ามานานถึงเพียงนี้เหตุใดจึงไม่เคยได้ยินมาก่อน
ใต้เท้าเจ้าสำนักบอกว่า “ข้าบอกว่ามีก็มี เจ้าพูดมากถึงเพียงนั้นเพื่ออะไร รีบไป!”
“ขอรับ!” สารถีรีบดึงสายบังเหียนเลี้ยวรถเปลี่ยนทาง รถม้าแล่นเข้าไปในซอย
เมืองหลวงมีตรอกซอกซอยน้อยใหญ่มากมาย บางซอยคึกคัก บางซอยเงียบเชียบ ซอยนี้เห็นชัดว่าเป็นอย่างหลัง สารถีมองซ้ายมองขวาก็ไม่เห็นว่ามีร้านขายของอยู่ที่ใด ตอนที่สารถีครุ่นคิดร้อยตลบแต่ไม่ได้รับคำตอบนั่นเอง บุรุษร่างกำยำที่ปิดหน้าปิดตาหลายคนก็ถือดาบใหญ่พุ่งออกมาจากเรือนผุผังหลังน้อยแห่งหนึ่ง พวกเขาขวางทางไว้อย่างโฉดชั่วดุร้าย
สารถีตกใจรั้งสายบังเหียนแน่น อาชาร่างกำยำสองตัวตะกุยกีบเท้าหน้าสูงกลางอากาศ ส่งเสียงกรีดร้องออกมาอย่างไม่พอใจ
ฟู่เสวี่ยเยียนเหมือนไม่ได้ยินเสียงจากด้านนอก นางยังคงหลับตาทำสมาธิเช่นเดิม
ใต้เท้าเจ้าสำนักเล่นละครอย่างสมบทบาทยิ่งนัก เขาออกมาขวางหน้านางอย่างห้าวหาญ “เจ้าอย่าขยับ รอข้าอยู่ในรถม้า! ข้าจะไปจัดการพวกเขา!”
ฟู่เสวี่ยเยียนไม่แม้แต่จะลืมตา
ใต้เท้าเจ้าสำนักกระโดดลงจากรถม้า ตวาดเสียงดัง “ผู้มาเยือนคือผู้ใด”
บุรุษฉกรรจ์ที่ปิดหน้าทั้งหลายกระโดดถอยหลังอย่างพร้อมเพรียง ดวงตาแสดงอาการหวาดกลัวอย่างเกินจริง มิเสียทีเป็นคณะละครที่จ้างมาในราคาห้าตำลึง
ชายฉกรรจ์ร่างผอมเอ่ยเป็นจังหวะจะโคนสุ้มเสียงสำเนียงคล้ายคนเล่นงิ้ว “พี่ใหญ่! คนผู้นี้แรงกดดันรอบตัวแข็งแกร่งนัก! มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นยอดฝีมือแห่งยุทธภพ!”
มุมปากของสารถีกระตุก
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำตอบด้วยน้ำเสียงเกินจริงเหมือนเล่นละครอยู่บนเวที เอ่ยแต่ละคำชัดถ้อยชัดคำอย่างยิ่ง “น้องรองอย่ากลัว เจ้ากับข้าสองคนร่วมมือกันจัดการเขา จะจัดการเขาไม่ได้หรือไร”
ชายฉกรรจ์คนที่สามเอ่ยว่า “พี่ใหญ่ พี่รอง ให้น้องเล็กลงมือเถิด!”
พูดพลางก็ถือดาบใหญ่ฟันเข้าใส่ใต้เท้าเจ้าสำนักอย่างโจ่งแจ้ง ‘แน่นอนว่า’ เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของใต้เท้าเจ้าสำนัก ดาบของเขาฟันลงมาที่กระหม่อมของใต้เท้าเจ้าสำนักด้วยความเร็วที่แม้แต่คนตาบอดก็มองเห็น ใต้เท้าเจ้าสำนักคว้าข้อมือของเขาไว้อย่างแม่นยำ จากนั้นบิดเบาๆ เขากรีดร้องโหยหวนแล้วปล่อยมือ ดาบใหญ่ร่วงลงบนพื้น เขาจึงเปลี่ยนมาซัดฝ่ามือโจมตี ใต้เท้าเจ้าสำนักฟาดฝ่ามือออกมาโดยไม่หลีกหลบแม้แต่น้อย สองฝ่ามือปะทะกัน เขาถูกซัดกระเด็นออกไปอย่างไม่ต้องสงสัย ตัวปลิวไปชนกำแพงก่อนจะไหลรูดลงมาบนพื้น แล้วกระอัก ‘เลือด’ ออกมาคำหนึ่ง!
อุตส่าห์เตรียมอุปกรณ์ราคาห้าอีแปะมาด้วย ช่างมีจิตสำนึกของมืออาชีพจริงๆ!
ใต้เท้าเจ้าสำนักจัดการคนแรกสำเร็จ
ความล้มเหลวหนนี้เหมือนจะทำให้สองคนที่เหลือรู้สึกหวาดกลัวไม่น้อย ทั้งสองคนยืนอึ้งอยู่พร้อมกัน ชั่วเวลาที่อึ้งงันอยู่นี่เอง ใต้เท้าเจ้าสำนักก็เหินร่างมาถึงตรงหน้าทั้งสองคน ลูกพี่รองได้สติกลับมายกดาบใหญ่ขึ้นฟันเข้าใส่ใต้เท้าเจ้าสำนัก ใต้เท้าเจ้าสำนักใช้มือเปล่ารับคมดาบขาววาบวับ มือจับยึดดาบใหญ่ของเขาไว้ขณะที่เท้ายกขึ้นถีบท้อง!
ลูกพี่รองถูกถีบตีลังการ่วงลงไปบนพื้น
เหลือแต่ลูกพี่ใหญ่แล้ว ลูกพี่ใหญ่ต้องเป็นคนที่จัดการยากที่สุด ใต้เท้าเจ้าสำนักส่งการโจมตีรุนแรงใส่เขาสามหน ทั้งหมดถูกเขาสลายการโจมตีได้อย่างยอดเยี่ยม ใต้เท้าเจ้าสำนักจึงโคจร ‘กำลังภายใน’ ทั่วทั้งร่าง ซัดฝ่ามือหมายจะเอาชีวิต!
ลูกพี่ใหญ่ถูกฟาดฝ่ามือใส่จนปลิวลอย ทั้งสามคนล้มลุกคลุกคลานวิ่งหนีไป ก่อนจะหายลับไป ลูกพี่ใหญ่ยังไม่ลืมเอ่ยเสริมอีกหนึ่งประโยค “เจ้าหนู เจ้ารอข้าก่อนเถิด ข้าจะไปตามพวกพี่น้องมาเดี๋ยวนี้”
ใต้เท้าเจ้าสำนักปัดแขนเสื้ออย่างดูแคลน “วรยุทธ์แมวสามขาอย่างพวกเจ้า มากันกี่คนข้าก็กำจัดเท่านั้นคน!”
กล่าวจบก็หมุนตัวกลับมาอย่างสง่างามแล้วเดินไปที่รถม้าอย่างสบายๆ
ไหนเลยจะรู้ว่ายังไม่ทันเดินได้สองก้าว บุรุษหน้าตาดุร้ายกลุ่มหนึ่งก็เดินเข้ามา พวกคนที่มาหนนี้ไม่ปิดบังหน้าตา แต่ละคนรูปร่างกำยำล่ำสัน แข็งแกร่งน่าเกรงขาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุรุษที่เป็นหัวหน้า ไว้เคราดกเฟิ้ม แววตาโหดร้าย ใบหน้าเหี้ยมเกรียม ใต้เท้าเจ้าสำนักผู้จ่ายเงินจ้างคนมาผู้นี้เกือบจะหวาดกลัวเพราะบรรยากาศรอบตัวของอีกฝ่าย
ใต้เท้าเจ้าสำนักยกมุมปากอย่างชั่วร้าย “มาเร็วจริงนะ ก็ดี ประหยัดเวลาข้ารอ รับกระบวนท่า!”
ใต้เท้าเจ้าสำนักพุ่งไปข้างหน้า กำปั้นต่อยลงบนหน้าท้องอ้วนท้วนแข็งแกร่งของบุรุษเคราดก
บุรุษเคราดกไม่มีปฏิกิริยา
ใต้เท้าเจ้าสำนักขมวดคิ้ว ส่งสายตาให้เขา ล้มสิ!
บุรุษเคราดกมองใต้เท้าเจ้าสำนักแล้วมองกำปั้นของใต้เท้าจ้าสำนัก เขาครางอืมทุ้มต่ำครั้งหนึ่งก็แอ่นพุงเหมือนวัวกระทิงที่โกรธจัด กระแทกใต้เท้าเจ้าสำนักจนตัวปลิว ศีรษะของใต้เท้าเจ้าสำนักกระแทกบนกำแพง สองตาเหลือกลอยสลบไปทันที
บุรุษเคราดกชักดาบโค้งออกมาฟันใส่ศีรษะของใต้เท้าเจ้าสำนักอย่างไม่ยั้งมือสักนิด ยามเล่าอาจช้า แต่ตอนที่เกิดเรื่องเร็วเพียงชั่วพริบตา ผ้าแพรขาวผืนหนึ่งพุ่งออกมาจากในตัวรถม้า มัดด้ามดาบของบุรุษเคราดกเอาไว้ เจ้าของผ้าแพรขาวกระชากแรงๆ หนหนึ่งก็ชิงดาบโค้งมาจากมือของบุรุษเคราดกได้
บุรุษเคราดกแววตาเย็นเยียบ ส่งสัญญาณมือให้ลูกน้องทั้งหลายที่อยู่ด้านหลัง พวกเขาใช้ภาษาที่ไม่คุ้นหูพูดอะไรบางอย่าง ทุกคนรุมเข้าไป
สารถีกลัวจนไม่กล้าขยับ
ผ้าแพรขาวเจ็ดแปดผืนเหินออกมาจากในตัวรถ ผ้าแพรแต่ละผืนแฝงกำลังภายในอันกล้าแข็ง พุ่งเข้ามัดลำคอของคนทั้งหลายเอาไว้ จากนั้นก็ได้ยินเสียงกึกๆ ดังติดต่อกันหลายครั้ง คนทั้งหลายถูกหักคอล้มลงกองกับพื้นลุกไม่ขึ้นอีกต่อไป
บุรุษเคราดกโกรธเกรี้ยวชักมีดสั้นออกมาจากรองเท้าหนัง เขาเหินร่างไปทางรถม้า แต่ไม่ทันที่เขาจะโจมตี ผ้าแพรขาวก็มัดเอวของเขาแล้วกระชากอัดกับรถม้าอย่างแรง
ร่างกายเขาชนกับตัวรถ
มือเรียวข้างหนึ่งเอื้อมออกมาจากด้านในหน้าต่างแล้วบีบลำคอของเขา มือเย็นเฉียบไร้ความอบอุ่น หากไม่มีผิวหนังชั้นนั้นก็คงเหมือนโครงกระดูกที่เดินออกมาจากขุมนรก
แววตาของบุรุษเคราดกฉายแววหวาดกลัวในพริบตา
ฟู่เสวี่ยเยียนมองเขาอย่างเย็นชา “อาศัยแค่พวกเจ้าก็คิดจะจับข้ากลับไป ไม่ประมาณกำลังตนเองเกินไปแล้ว กลับไปบอกซื่อจื่อว่าให้ส่งคนที่เก่งกาจกว่านี้มาหน่อย”
กล่าวจบ ก็ดีดนิ้วทำลายจุดตันเถียนของเขา
สารถีถูกฉากนี้ทำให้หวาดกลัวจนพูดไม่ออก แม่นางฟู่เรือนร่างผอมบางเหมือนกิ่งหลิวต้องลม เขายังคิดว่านางเป็นสตรีบอบบางที่ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะจับไก่เสียอีก คิดไม่ถึงว่านางจะมีวรยุทธ์ล้ำเลิศถึงเพียงนี้ หากเป็นเช่นนี้คุณชายรองหาเรื่องตายต่อหน้านางครั้งแล้วครั้งเล่าแต่เหตุไฉนยังไม่ถูกนางตบฝ่ามือเดียวตายอีก
ฟู่เสวี่ยเยียนเปิดม่านรถก้าวลงมาจากรถม้าอย่างเชื่องช้า นางเดินมาถึงข้างกำแพงที่ใต้เท้าเจ้าสำนักสลบอยู่แล้วก้มลงมาอุ้มเขา
สารถีได้สติก็รีบก้าวเร็วไวเข้ามาหา แล้วเอื้อมมือออกมา “ข้า ข้า ข้า…ข้าเองขอรับ!”
ฟู่เสวี่ยเยียนมองเขาอย่างเฉยชา สารถีหัวใจกระตุกวูบ หลีกทางให้อย่างว่าง่าย ฟู่เสวี่ยเยียนอุ้มใต้เท้าเจ้าสำนักขึ้นรถม้า “กลับจวน”
“ขอรับ!”
…