หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 338-2 สามีภรรยาพบหน้า ตบสวินหลัน (1)
ตอนที่ 338-2 สามีภรรยาพบหน้า ตบสวินหลัน (1)
เฟิ่งชิงเกอเปิดหอนางโลม แต่ละวันพบเจอคนไม่ถึงพันก็หลายร้อย เจอคนพูดภาษาคน เจอผีพูดภาษาผี เรียกได้ว่านางเป็นเจ้าแห่งการเล่นละครเรียกร้องความสนใจ ตัวอย่างเช่นแววตาของนางที่มองสวินหลันในยามนี้ช่างดูไร้ทางสู้ ขยี้หัวใจของจีซั่งชิงแทบแหลกลาญ
ทว่าตอนที่จีซั่งชิงคิดจะปลอบประโลมนางนั่นเอง จู่ๆ นางก็พุ่งไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญอย่างยิ่ง แล้วฟาดฝ่ามือใส่ใบหน้าของสวินหลันอย่างแรง!
เพียะ! ทั่วทั้งสวนเงียบกริบ
สวินหลันใช้ชีวิตอยู่มานานขนาดนี้เพิ่งเคยถูกคนตบหน้าเป็นครั้งแรก เฟิ่งชิงเกอเรี่ยวแรงมิใช่น้อย ใบหน้าครึ่งหนึ่งของนางบวมปูดขึ้นมาทันที ไม่เพียงเท่านี้ปลายเล็บของเฟิ่งชิงเกอยังกรีดใบหน้าของนางด้วย เลือดสีแดงสดเส้นเล็กๆ ไหลออกมาตามบาดแผล
จีซั่งชิงมองตาค้าง เจาหมิงเหตุใดถึง…
สวินหลันยกปลายนิ้วขาวผ่องดุจต้นหอมขึ้นมาลูบพวงแก้ม เมื่อนางเห็นคราบเลือดบนปลายนิ้ว ดวงตาก็พลันเย็นยะเยือกขึ้นมาเล็กน้อย
นางหันไปมองเฟิ่งชิงเกออย่างเย็นชา
เฟิ่งชิงเกอตบออกมาอีกหนึ่งฝ่ามือ น้ำเสียงสั่นๆ ฟังดูเหมือนหวาดกลัวแต่ฝืนทำใจกล้าบอกว่า “ข้า…ข้าขอเตือนเจ้า ห้ามเจ้าทำร้ายซั่งชิง!”
ถูกตบติดกันสองฝ่ามือ ต่อให้สวินหลันเป็นเทพธิดาก็เริ่มรักษากิริยาไว้ไม่ได้แล้ว
“เจ้า เจ้า เจ้า…เจ้าถลึงตาทำอะไร” เฟิ่งชิงเกอถอยไปหลบข้างจีซั่งชิงอย่างหวาดผวา มือเรียวสวยเกาะคอเสื้อของเขาแล้วนิ่งเงียบดุจจักจั่นหน้าหนาว
สวินหลันผู้ได้รับบาดเจ็บหันไปมองจีซั่งชิง จีซั่งชิงกระแอมอย่างลำบากใจ บอกกับเฟิ่งชิงเกอว่า “นางไม่ได้ทำร้ายข้า เจ้าเข้าใจผิดแล้ว”
“เช่นนั้นหรือ ถ้าอย่างนั้น…ถ้าอย่างนั้นข้าทำผิดไปหรือ” เฟิ่งชิงเกอก้มหน้าอย่างเศร้าสร้อย น้ำตาเริ่มคลอหน่วงในดวงตา
จีซั่งชิงรีบตอบว่า “ไม่ๆ เจ้าไม่ได้ทำผิด” แล้วหันไปบอกสวินหลันว่า “เจ้ากลับไปก่อน”
มือของสวินหลันที่วางอยู่บนท้องกำแน่น
จีซั่งชิงมองสวินหลันอย่างละอายใจ เขาพาเฟิ่งชิงเกอกลับเรือนถง หลังจากนั้นจึงให้คนไปเรียกเฉียวเวยมาจากบ้านชิงเหลียน
เพราะฟ้ามืดแล้ว เดิมทีเฉียวเวยสมควรพักผ่อนแล้ว ดังนั้นนางจึงจงใจโอ้เอ้อยู่ในห้องเป็นเวลาสองเค่อ ก่อนจะหิ้วล่วมยามุ่งหน้าไปที่เรือนถง
เฉียวเวยย่อมไม่ทราบว่าต้องมาตรวจอาการให้ ‘องค์หญิง’ ดังนั้นสิ่งที่นางนำติดตัวมาด้วยล้วนเป็นยาแก้อาการหอบหืดที่จีซั่งชิงใช้เป็นประจำ เมื่อเดินเข้าไปในห้องเห็นหญิงสาวแปลกหน้านั่งอยู่บนเตียง นางก็ชะงักเล็กน้อย
จีซั่งชิงอธิบายกับนางว่า “นี่คือท่านแม่ของเจ้า”
“เจ้าคะ?” เฉียวเวยทำหน้าไม่เข้าใจ
จีซั่งชิงทวนคำพูดของกู้มามาอย่างไม่ตกหล่นสักคำ แล้วเสริมคำอธิบายของตนเองด้วยความยินดีปรีดาอย่างที่ปิดไม่มิด เขาบอกกับเฉียวเวยว่า “…ข้าสงสัยว่าจะเป็นฝีมือของคนเยี่ยหลัว นอกจากพวกเขา ก็ไม่มีผู้ใดจะทำเช่นนี้แล้ว พวกเขาจะต้องเคียดแค้นที่เจาหมิงทรยศจึงใช้วิธีเดียวกับที่ทำกับหมิงเยี่ย จับตัวเจาหมิงกลับไปเยี่ยหลัว…หลายปีมานี้เจาหมิงคงลำบากมากเป็นแน่…”
เฉียวเวยลอบยกนิ้วโป้งให้เขาในใจ แม้แต่แรงจูงใจในการก่อคดี วิธีการก่อคดีหรือคนร้ายหลังม่านล้วนเติมแต่งเอาเองหมดแล้ว ช่างรู้ดีจริงๆ!
จีซั่งชิงเอ่ยต่ออีกว่า “รีบตรวจดูท่านแม่ของเจ้าเร็ว ดูเหมือนนางจะจำเรื่องราวในอดีตไม่ได้ ตอนที่กู้มามาพบนาง นางสลบอยู่ริมทาง ไม่รู้ว่าบาดเจ็บอะไรหรือไม่”
เฉียวเวยหิ้วล่วมยาเดินเข้าไปหา
จีซั่งชิงปลอบเฟิ่งชิงเกอเสียงเบาเหมือนปลอบเด็กน้อย “เจ้าไม่ต้องกลัว นางเป็นลูกสะใภ้ของเจ้า นางไม่ทำร้ายเจ้าหรอก”
“อืม” เฟิ่งชิงเกอพยักหน้าอย่างเอียงอาย ตอบเสียงอ่อนเสียงหวาน “พอข้าเห็นนาง ก็ชอบนางยิ่งนัก!”
เฉียวเวยเซวูบเกือบล้มหน้าทิ่ม!
ขอล่ะท่านแม่เฒ่า อย่าแต่งเรื่องเพิ่มตามใจตัวเองได้หรือไม่
จีซั่งชิงยังจมอยู่ในความสุขสันต์ที่ได้คนรักที่เสียไปกลับมา ตอนนี้เขาจึงยังไม่ฉุกคิดถึงความน่าสงสัยที่เจาหมิงคนนี้แตกต่างกับเจาหมิงในความทรงจำ
เฉียวเวยย่อมไม่รอให้เขาสงสัยแล้วค่อยกลบเกลื่อน นางต้องชิงลงมือก่อน เฉียวเวยจับชีพจรของเฟิ่งชิงเกอ พอตรวจสภาพร่างกายเสร็จก็ถอนหายใจอย่างปวดใจอย่างยิ่ง “ท่านแม่น่าจะได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างรุนแรงบางอย่างจนทำให้นาง…”
ตอนแรกนางตั้งใจจะพูดว่าสูญเสียความทรงจำ แต่เมื่อเหลือบเห็นท่าทางใสซื่อไร้เดียงสาประหนึ่งสาวน้อยของเฟิ่งชิงเกอ ขนแขนก็ลุกชันจึงเปลี่ยนมาพูดว่า “สมองน่าจะไม่ปกติอยู่เล็กน้อย”
มิน่าเขาถึงรู้สึกว่าเจาหมิงทำตัวแปลกๆ ที่แท้สมองก็ไม่ปกตินี่เอง
“ไม่ปกติมากหรือไม่” จีซั่งชิงถาม
“เรื่องนี้น่ะ…” เฉียวเวยลูบคาง “ต้องดูว่าเรื่องที่กระทบกระเทือนจิตใจนางร้ายแรงมากเพียงใด หากกระทบกระเทือนมากก็ยิ่งเพี้ยนจากปกติมาก”
จีซั่งชิงปวดใจนัก ทำให้คนทั้งคนกระทบกระเทือนใจจนมีสภาพเช่นนี้…ต้องทุกข์ทนทรมานมามากเท่าใดกัน
เฉียวเวยฉวยโอกาสตีเหล็กตอนร้อนเอ่ยว่า “ข้าแนะนำว่าอย่าเพิ่งให้ท่านแม่พบกับคนที่นางจำไม่ได้มากเกินไปนักดีกว่า นางจะได้ไม่กระทบกระเทือนใจซ้ำสอง”
จีซั่งชิงนึกถึงภาพที่เจาหมิงเจอสวินหลันขึ้นมา เขารู้สึกว่าเฉียวเวยพูดมีเหตุผลจึงล้มเลิกความคิดที่จะให้เจาหมิงพบหน้าคนตระกูลจีไปทันที รออาการป่วยของเจาหมิงเริ่มดีขึ้นแล้วค่อยพานางไปพบหน้าทีละคนก็ยังไม่สาย
“โรคนี้รักษาได้หรือไม่” จีซั่งชิงถาม
“หากรักษาไม่หาย ท่านจะรังเกียจนางหรือไม่” เฉียวเวยย้อนถาม
จีซั่งชิงตอบอย่างไม่เสียเวลาคิด “ไม่อย่างแน่นอน ไม่ว่าเจาหมิงจะเปลี่ยนไปเช่นไร ข้าก็ไม่มีวันรังเกียจนาง”
เฉียวเวยกดมุมปากที่ทำท่าจะยกโค้งลงไป ถ้าเช่นนั้นก็ดี!
…
เนื่องจากตอนนี้เฉียวเวยไม่มียาที่ใช้รักษาโรคประสาทโดยเฉพาะ นางจึงให้ยาลูกกลอนสงบอารมณ์ไว้ขวดหนึ่งแล้วเก็บข้าวของเดินออกมา
จีซั่งชิงเกลี้ยกล่อมให้เฟิ่งชิงเกอกินยา
เพราะยอมรับเรื่องที่นางสมองมีปัญหาแล้ว หลังจากนี้ไม่ว่าเฟิ่งชิงเกอจะทำสิ่งใด ในสายตาจีซั่งชิงจึงดูสมเหตุสมผลไปเสียทุกสิ่ง
หลังจากแยกย้ายกันอาบน้ำเสร็จ ถึงเวลาเที่ยงคืนเฟิ่งชิงเกอนั่งเบื่อหน่ายอยู่ริมหน้าต่าง จีซั่งชิงกุมมือของนางเบาๆ มองนางด้วยสายตาเปี่ยมความรัก “เจาหมิง เจ้ามีชีวิตรอดกลับมาได้ช่างดีเหลือเกินจริงๆ เจ้าไม่รู้หรอกว่าข้าดีใจมากเพียงใด…พูดออกมาแล้วเจ้าอาจไม่เชื่อ แต่หลายปีที่ผ่านมา ข้าไม่เคยลืมเจ้าเลย”
เฟิ่งชิงเกออ้าปากหาว
จีซั่งชิงยิ้ม แล้วเอ่ยขึ้นมาอย่างกังวลปนคาดหวังอยู่บ้าง “ดึกแล้ว พวกเราพักผ่อนเถิด”
“ข้าต้องนอนกับท่านหรือ” เฟิ่งชิงเกอถาม
จีซั่งชิงชะงัก “เจ้า…ไม่อยากนอนด้วยกันกับข้าหรือ”
เฟิ่งชิงเกอตอบอย่างไร้เดียงสา “ไม่ เพียงแต่…เหมือนข้าจะ…ท่านอนไม่ค่อยน่าดูนัก พวกเขาต่างบอกว่าไม่อยากนอนกับข้า”
จีซั่งชิงขมวดคิ้ว “พวกเขาคืดผู้ใด”
“ก็พวกเขาอย่างไรเล่า” เฟิ่งชิงเกอวาดมือไม้ตรงเรือนผม จีซั่งชิงมองออกว่านางหมายถึงสาวใช้ หัวใจพลันโล่งอก เอ่ยอย่างอ่อนโยน “เจ้าวางใจเถิด ข้าไม่ใช่พวกนาง ข้าไม่รังเกียจเจ้า”
เฟิ่งชิงเกอพยักหน้า ล้มตัวลงนอนบนฟูกนุ่มนิ่ม
จีซั่งชิงเป่าเทียนไข นอนลงข้างกายนางพร้อมกับดวงใจอันลิงโลด ไม่พบหน้ากันหลายปีเช่นนี้ ค่ำคืนแรกของการหวนกลับมาพบกัน สมควรทำอะไรสักหน่อยหรือไม่
เขาเรียกอย่างเขินอาย “เจาหมิง”
ทว่าสิ่งที่ตอบเขากลับเป็นเสียงกรนดังสนั่นดุจอสนีบาตยาวเป็นพรวน
จีซั่งชิง “…”