หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 340-2 คุณชายรองจีผู้องอาจ รู้ทัน
ตอนที่ 340-2 คุณชายรองจีผู้องอาจ รู้ทัน
ชายหนุ่มยิ้มหยัน “ข้ากับพี่ใหญ่ของเจ้ามีข้อแลกเปลี่ยนกันอยู่ เห็นแก่ข้อแลกเปลี่ยนครั้งนี้ ข้าจะไม่ทำให้เจ้าลำบากตอนนี้ หากรู้จักสถานการณ์ก็อย่ายื่นมือเข้ามาสอดเรื่องในตระกูลของข้า มิเช่นนั้นข้าจะไม่ยั้งมือไว้ไมตรี”
สีหน้าของใต้เท้าเจ้าสำนักไม่เคยเคร่งขรึมเช่นนี้มาก่อน “ข้าบอกว่า ปล่อยนาง”
บนร่างของชายหนุ่มแผ่บรรยากาศดุดันออกมาทันควัน ชาวบ้านโดยรอบที่ตอนแรกต้องการจะแห่มาชมดูเรื่องสนุก ถูกบรรยากาศข่มขวัญนี้ทำให้ทยอยหนีหายไป มีเพียงใต้เท้าสำนักที่เดินหน้าไปสองก้าวมองเขาอย่างไม่กลัวเกรงแม้แต่น้อย “อย่าบีบให้ข้าลงมือ”
ชายหนุ่มเหมือนได้ยินเรื่องตลกที่น่าขันเหลือเกิน เขาหัวเราะจนควบคุมตัวเองไม่ได้ “ประโยคนี้เหมือนข้าควรจะเป็นคนพูดมากกว่า ที่สำนักซู่ซินจง ข้าเห็นแก่หน้าพี่ใหญ่ของเจ้าจึงไม่ลงมือหนักกับเจ้า แต่เจ้าอย่ามาบีบข้าดีกว่า”
ใต้เท้าเจ้าสำนักเอ่ยเสียงเย็นชา “ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ลองดู”
ชายหนุ่มวางงฟู่เสวี่ยเยียนลงด้านข้าง “อย่าหนี เจ้ารู้ว่าเจ้าหนีไม่พ้น”
ประกายเย็นชาในดวงตาของฟู่เสวี่ยเยียนวูบไหวเล็กน้อย
หนก่อนทั้งสองฝ่ายยังไม่แตกหักกันอย่างสมบูรณ์ ชายหนุ่มจึงยังไว้หน้ากันอยู่บ้าง แต่ครั้งนี้เขาพอจะมั่นใจแล้วว่ามารหัวขนในท้องของฟู่เสวี่ยเยียนเป็นของเจ้าเด็กคนนี้ เขายั้งมืออีกถึงจะแปลก เขาเคลื่อนกำลังภายในห้าส่วนซัดฝ่ามือเข้าใส่ใต้เท้าเจ้าสำนักอย่างรุนแรง!
ใต้เท้าเจ้าสำนักกำหมัดแน่น เขาไม่หลีกหลบแต่รับฝ่ามือของเขาตรงๆ
ทว่าสิ่งที่ทำให้คนคิดไม่ถึงได้บังเกิดขึ้นแล้ว กำลังภายในมหาศาลสายหนึ่งปะทุออกมาจากจุดตันเถียนของเขา ก่อนจะเข้าโรมรันกับกำลังภายในของชายหนุ่ม บีบให้ชายหนุ่มต้องถอยหลังไปสิบกว่าก้าว
ชายหนุ่มมองใต้เท้าเจ้าสำนักอย่างไม่อยากเชื่อ “เหตุไฉนจึงเป็นเช่นนี้”
ใต้เท้าเจ้าสำนักเองก็ถอยหลังมาสิบกว่าก้าวเช่นเดียวกัน เขากุมหน้าอกที่เจ็บแปลบ ยิ้มหยันมองอีกฝ่าย “ยังกล้าสู้อีกหรือ”
ชายหนุ่มหรี่ตาลงแล้วเงื้อฝ่ามือขึ้น ฝ่ามือนี้ใช้กำลังภายในมากกว่าก่อนหน้านี้ถึงสองส่วน เรียกได้ว่าเป็นกระบวนท่าสังหาร แต่เขาคิดไม่ถึงอย่างสิ้นเชิงว่าพริบตาที่เขาฟาดฝ่ามือใส่อีกฝ่าย เขากลับถูกกำลังภายในมากมายราวกับน้ำหลากกระแทกจนปลิวออกไป เส้นเอ็นรับการโจมตีของกำลังภายในไม่ไหว ส่งเสียงเปรี๊ยะๆ ขาดเป็นหลายท่อน เขากระอักเลือดออกมาคำหนึ่งก่อนจะล้มลงไปกระแทกพื้นอย่างแรง
ใต้เท้าเจ้าสำนักเดินเข้าไปโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนสักนิด ก้มมองเขาจากด้านบน แล้วเอ่ยย้ำทีละคำ “หากมาสร้างความยุ่งยากให้นางอีก จะไม่ทำให้เจ้าบาดเจ็บเบาๆ เช่นนี้แล้ว ยังไม่รีบไสหัวไปอีก!”
หลินชวนที่ไล่ตามคุณชายของตนเองมาตลอดทางรีบวิ่งเข้ามาแบกชายหนุ่มที่บาดเจ็บหนักจนยากจะขยับตัวขึ้นบนหลังแล้วเผ่นแน่บเข้าไปในฝูงชน
ฟู่เสวี่ยเยียนรั้งสายตากลับมามองใต้เท้าเจ้าสำนักที่อยู่ด้านข้าง “เจ้า…”
เพิ่งเปิดปาก ใต้เท้าเจ้าสำนักก็ตาเหลือกล้มลงไปกองกับพื้น
ฟู่เสวี่ยเยียนอุ้มใต้เท้าเจ้าสำนักมุ่งไปยังโรงหมอใกล้ๆ แล้วสั่งสารถีให้กลับไปแจ้งข่าวที่ตระกูลจี
สารถีกระโดดขึ้นม้า ห้อตะบึงไม่หยุดพักกลับไปที่ตระกูลจี
เฉียวเวยมาอย่างรวดเร็วยิ่งนัก พอนางเข้าไปในห้อง เห็นเจ้าทึ่มที่กระโดดโลดเต้นออกไปจากจวน กลับมาด้วยสภาพลมหายใจรวยรินก็ปวดใจเล็กน้อย “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
ฟู่เสวี่ยเยียนหลุบตาตอบว่า “พบเขาเข้า”
“พี่ชายเจ้าน่ะหรือ” เฉียวเวยหยิบขวดยาขวดหนึ่งออกมาจากอกเสื้อแล้วดึงจุกขวดออก เทยาลูกกลอนเม็ดหนึ่งออกมา ป้อนเข้าปากของใต้เท้าเจ้าสำนัก หลังจากกินยาเสร็จ ชีพจรของเขาก็ค่อยๆ มั่นคงขึ้น
“เขาไม่เป็นอะไรกระมัง” ฟู่เสวี่ยเยียนถาม
เฉียวเวยชินชากับอาการป่วยของสองพี่น้องอย่างยิ่งแล้วจึงตอบว่า “กินยาแล้ว ตอนนี้ก็ไม่เป็นอะไรแล้ว”
ฟู่เสวี่ยเยียนมองใต้เท้าเจ้าสำนักที่ยังไมได้สติ แววตาวูบไหวถามว่า “เขา…เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้”
เฉียวเวยหันไปมองนางอย่างงุนงง “เจ้าไม่รู้หรือ”
ฟู่เสวี่ยเยียนส่ายหน้า
เฉียวเวยอธิบายให้ฟัง “เขาถูกพิษจากฝ่ามือเก้าสุริยัน เพื่อผนึกพิษของฝ่ามือนี้ ภายในร่างของเขาจึงมีกำลังภายในจำนวนไม่น้อยที่ผู้อื่นส่งเข้าไปอยู่ ปกติกำลังภายในสายนั้นจะถูกยากดไว้ หากไม่ใช้กำลังภายในก็ไม่เป็นอะไร แต่เมื่อเคลื่อนกำลังภายใน ร่างกายจะรับไม่ไหว เขาไม่รู้จักการเคลื่อนกำลังภายใน แต่เมื่อตัวเขาถูกโจมตีอย่างรุนแรงจึงไปกระตุ้นกำลังภายในสายนั้นขึ้นมา”
ฟู่เสวี่ยนเยียนคล้ายจะเข้าใจแล้ว “มิน่าเล่า”
เฉียวเวยจับชีพจรเสร็จก็วางแขนของใต้เท้าเจ้าสำนักกลับไปบนเตียง “ความจริงข้าอยากถามเจ้ามาตลอดว่า ในเมื่อเจ้าใช้ฝ่ามือเก้าสุริยันเป็น เจ้าแก้พิษจากฝ่ามือนี้ให้พวกเขาสองพี่น้องได้หรือไม่”
ฟู่เสวี่ยเยียนตอบว่า “ข้าไม่รู้ว่าต้องแก้อย่างไร”
เฉียวเวยถอนหายใจ “ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน เรื่องนี้ต้องรอหมิงซิวกับจีอู๋ซวงกลับมาแล้วถามเอากับพวกเขา”
ฟู่เสวี่ยเยียนพยักหน้า
…
ยามบ่ายเป็นช่วงเวลาที่ห้องครัวค่อนข้างจะว่าง บนเตาตุ๋นน้ำแกงหวานคลายร้อนของเรือนต่างๆ อยู่ น้ำแกงที่ตุ๋นเสร็จแล้วจำนวนหนึ่งกำลังถูกจับเติมน้ำแข็ง รอเติมได้ที่แล้วก็จะยกไปให้ที่เรือนแต่ละหลัง
โจวมามายิ้มแย้มเดินเข้ามา “โอ๊ะ พี่จางอยู่นี่หรือ”
จางมามาเป็นหญิงรับใช้ผู้ดูแลห้องครัว แต่เดิมนางกับโจวมามาเคยรับใช้อยู่ที่เรือนของเหล่าฮูหยินด้วยกัน นับว่าคบหากันมานานแล้ว เพียงแต่วันนี้ภายในจวนขีดเส้นกั้นกับสวินหลันและบ่าวของนาง จางมามาจึงไม่ได้มีมารยาทกับโจวมามาเท่ากับก่อนหน้านี้
จางมามายิ้มแต่ปากตาไม่ยิ้มถามว่า “เจ้ามาทำอะไร”
โจวมามาได้ยินน้ำเสียงของนาง ในใจก็แค่นเสียงเหอะอย่างดูแคลน นึกถึงเมื่อก่อนตอนนางช่วยฮูหยินปกครองเรือน นางเฒ่าแซ่จางคนนี้ประจบนางไม่รู้มากเท่าไร ตอนนี้เห็นว่าฮูหยินของนางตกต่ำแล้วจึงไม่คิดจะทำสีหน้าดีๆ คุยกับนาง เหอะ รอวันใดฮูหยินของนางให้กำเนิดบุตรชายอวบอ้วนแก่นายท่านได้ นางจะไล่เจ้าพวกชะเลียเบื้องบนข่มเหงเบื้องล่างพวกนี้แต่ละคนๆ ออกไปจากจวนให้หมด!
ในใจคิดเช่นนี้ แต่บนใบหน้ากลับเผยสีหน้าอ่อนโยน “ข้ามาดูว่าน้ำบ๊วยที่ฮูหยินต้องการ ต้มเสร็จแล้วหรือยัง”
“ใกล้แล้ว” จางมามาชี้เตาด้านข้าง ในด้านอาหารการกิน จีเหล่าฮูหยินไม่ให้พวกนางขี้เหนียวกับสวินซื่อ ด้วยเหตุนี้ขอเพียงสวินซื่อต้องการสิ่งใด พวกนางล้วนตระเตรียมให้อย่างเต็มที่
โจวมามาเปิดฝาหม้อดู แล้วมองไปที่เตาด้านข้าง “นั่นน้ำแกงอะไรหรือ”
จางมามาตอบว่า “นั่นเป็นของที่แม่นางหลี่แห่งเรือนถงต้องการ น้ำต้มถั่วเขียว”
แม่นางหลี่ นางปีศาจจิ้งจอกที่ปลอมเป็นองค์หญิงคนนั้นน่ะหรือ
โจวมามาแววตาทอประกายวูบหนึ่ง นางฉวยโอกาสตอนที่จางมามาหันหลัง หยิบผงยาห่อหนึ่งออกมาจากอกเสื้อแล้วเทลงไปในน้ำต้มถั่วเขียว
…
ตอนที่น้ำต้มถั่วเขียวถูกส่งมาที่เรือนถง เฟิ่งชิงเกอเพิ่งตื่นจากหลับกลางวัน นางกำลังคอแห้งอยู่พอดี จึงตักน้ำต้มถั่วเขียวขึ้นมาหนึ่งช้อนกำลังจะส่งเข้าปาก แต่ทันใดนั้นนางก็ได้กลิ่นประหลาดกลิ่นหนึ่ง กลิ่นนี้คนทั่วไปเกรงว่าคงจะแยกไม่ออก แต่นางเปิดหอคณิกา วิธีการต่ำช้าสารเลวอันใดบ้างไม่เคยพบเห็น กลิ่นเช่นนี้ ดมแล้วรู้ทันทีว่าผิดปกติ!
ฮ่าๆ นางดอกหญ้าคันคะเยอจนใช้แผนร้ายกับนางแล้วสินะ
จีซั่งชิงเดินออกมาจากห้องหนังสือ เขายิ้มละไมมองเฟิ่งชิงเกอ “เจ้าตื่นแล้วหรือ”
เฟิ่งชิงเกอแววตาวูบไหว ตอบอย่างอ่อนโยน “ห้องครัวต้มน้ำถั่วเขียวมาให้ ข้าตั้งใจเก็บไว้ให้ท่านชามหนึ่ง”
จีซั่งชิงเบิกบานใจนัก “ตั้งใจเก็บไว้ให้ข้าหรือ”
เฟิ่งชิงเกอพยักหน้าอย่างน่ารักน่าชัง ก่อนจะเอ่ยเสียงหวาน “ท่านจะดื่มหรือไม่เล่า”
“ดื่ม! ดื่มแน่นอน!” จีซั่งชิงรับชามมาซดคำโต
เฟิ่งชิงเกอกอดแขนจีซั่งชิงไว้ “ซั่งชิง ข้าเห็นด้านนอกมีสายรุ้ง พวกเราไปชมสายรุ้งในสวนดอกไม้กันเถิด!”
จีซั่งชิงอยากจะคลอเคลียกับนางทั้งวันอยู่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงชมสายรุ้ง ต่อให้ไปชมกำแพงอิฐเขาก็ยินดี
ทั้งสองคนจูงมือกันเดินเข้าไปในสวนดอกไม้
สวนดอกไม้หลังฝนตกมีกลิ่นอายสดชื่นต่างจากเดิม กลีบดอกไม้ที่มีหยาดน้ำเกาะแวววาวขยับไหวตามสายลมประหนึ่งดรุณีน้อยเรือนร่างอรชรคนแล้วคนเล่ากำลังเขินอาย
ทั้งสองคนนั่งในศาลา
ด้านหลังต้นไม้ใหญ่ไม่ไกลนัก โจวมามากับสวินหลันสังเกตทุกการกระทำของทั้งสองคนอยู่ โจวมามายิ้ม “ฮูหยินท่านวางใจได้เจ้าค่ะ ข้าใส่ลงไปแล้ว คนของเรือนถงบอกว่านางดื่มมันเข้าไปจนหมด ไม่เหลือสักหยดเดียว ต่อจากนี้ขอเพียงคิดหาวิธีให้หมอมาจับชีพจรของนาง คำโกหกของนางย่อมถูกเปิดโปงโดยไม่ต้องทำอะไรแล้ว!”
สวินหลันเอ่ยเรียบๆ “แต่ในจวนยังมีคนแซ่เฉียวอยู่นะ”
โจวมามายิ้มอย่างลำพอง “บังเอิญนัก วันนี้เฉียวซื่ออกไปข้างนอก! จนตอนนี้ก็ยังไม่กลับมา!”
สวินหลันจับแขนเสื้อกว้าง “ถ้าเช่นนั้นเจ้ายังรออะไรอีกเล่า”
โจวมามาเหมือนจะมองเห็นหน้าตารังเกียจอย่างยิ่งของนายท่าน หลังจากปีศาจจิ้งจอกตัวนั้นถูกเปิดโปงโฉมหน้าแล้ว “บ่าวจะไปเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ!”