หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 345-2 ตีแผ่ความจริง
ตอนที่ 345-2 ตีแผ่ความจริง
กลับมาเอ่ยถึงเฟิ่งชิงเกอ ตั้งแต่ที่นางหนีรอดจากเงื้อมือเสี่ยวจ้วงซื่อไปได้ ก็ไม่เหลืออารมณ์ที่จะไปชมนกชมไม้อีก นางกลับมายังบ้านตระกูลจีด้วยสีหน้าบึ้งตึง ตราที่จีซั่งชิงให้นางไว้ก็หายไปอีก นางเข้าใจว่าคงหล่นหายไปในน้ำจึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจ หลังจากใส่หน้ากากแล้วก็ดึงผ้าห่มมาห่มแล้วหลับไป
พอตื่นเช้าในตอนเช้าตรู่ ข้างกายก็มีบุรุษผู้หนึ่งนั่งอยู่ กำลังเพ่งมองมาที่นางด้วยสายตาลึกซึ้ง นางตกใจจนเกือบเหวี่ยงหมัดออกไป โชคดีที่นึกขึ้นได้ทันว่าเวลานี้ตนอยู่ในฐานะอะไร จากที่กำหมัดจึงเปลี่ยนเป็นแบมือแล้วลูบเบาๆ ที่ใบหน้าของจีซั่งชิงพลางยิ้มพริ้มเอ่ยว่า “ซั่งชิงเจ้ามาแล้วหรือ”
จีซั่งชิงรู้สึกดีใจกับรอยยิ้มของนาง ใจนจึงอุ่นวาบไปหมด เขาจับมือนางไว้ เอ่ยอย่างรู้สึกผิดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ขอโทษทีนะ สองวันนี้ไม่ได้มาอยู่เป็นเพื่อนเจ้าเลย”
เฟิ่งชิงเกอหน้าบึ้งลง ประโยคต่อไปคงไม่ได้จะบอกว่า “ข้าจัดการธุระเสร็จแล้ว หลังจากนี้จะมีเวลาอยู่เป็นเพื่อนเจ้าแล้ว” หรอกกระมัง
โอ้สวรรค์ ขออย่าเป็นเช่นนั้นเลย!
“ทำไมกัน เจ้าโกรธหรือ” จีซั่งชิงเห็นหน้านางเปลี่ยนเป็นบึ้งตึง จึงกุมมือนางไว้ด้วยความเป็นกังวล “เจาหมิง เจ้าฟังข้าอธิบายก่อน…”
เฟิ่งชิงเกอเอ่ยด้วยเสียงที่หวานซึ้งว่า “ไม่ต้องอธิบาย ข้าเข้าใจดี แม่ดอกหญ้านั่นล้มป่วย เจ้าเลยไปรดน้ำพรวนดินให้นาง นางจะได้เติบโตอย่างแข็งแรง!”
จีซั่งชิงรู้สึกว่าตนเองช่างเลวทรามเหลือเกิน เจาหมิงใสซื่อเพียงนี้ ดีเลิศเพียงนี้ ตนกลับเอาแต่ปิดบังนางครั้งแล้วครั้งเล่า “เจาหมิง ข้ามีเรื่องที่อยากสารภาพกับเจ้า อันที่จริง…สวินหลันนาง…”
“สวินหลันคือใครหรือ” เฟิ่งชิงเกอถามอย่างเข้าถึงบทบาท
“คือ…คนที่เจ้าได้พบหน้าเมื่อครั้งก่อน…”
“หือ?” เฟิ่งชิงเกอกะพริบตาอย่างใสซื่อ
จีซั่งชิงกระแอมเบาๆ ด้วยความจนใจ “แม่นางดอกหญ้าผู้นั้น”
เฟิ่งชิงเกอเกือบหัวเราะพรืดออกมา นางกลั้นหัวเราะเอาไว้ เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “แม่นางดอกหญ้าทำไมหรือ”
จีซั่งชิงบอกอย่างลำบากใจว่า “ข้าเข้าใจมาตลอดว่าเจ้าจากโลกนี้ไปแล้ว ตอนหลังข้าเลย…”
“เลยทำไมหรือ” เฟิ่งชิงเกอมองเขาอย่างใสซื่อ
สายตาที่ทั้งใสซื่อและเฝ้ารอนี้ ทำให้เฟิ่งชิงเกอไม่อาจเอื้อนเอ่ยเรื่องราวที่อาจทำร้ายจิตใจนางได้ ลูกกระเดือกเขาพลันขยับ “ไม่มีอะไร”
“ซั่งชิงเอ๋ย” เฟิ่งชิงเกอส่งสายตาโปรยเสน่ห์ไปให้เขา “ข้าอยากได้เรือสักรำหนึ่งจะได้หรือไม่”
จีซั่งชิงเอ่ยอย่างรักใคร่ว่า “ย่อมได้สิ เจ้าอยากได้แบบใดหรือ”
เฟิ่งชิงเกอทำท่าทำทางบอก “ข้าอยากได้ลำใหญ่มากๆ สวยมากๆ เอาแบบที่ด้านในมีห้องด้วย!”
เฟิ่งชิงเกอเอ่ยยิ้มๆ “เจ้าหมายถึงเรือเริงรมย์สินะ ตระกูลจีมีเรือเริงรมย์อยู่ลำหนึ่งเหมือนกัน แต่ไม่ได้ใช้นานแล้ว ต้องหาคนไปซ่อมแซมสักหน่อย หากเจ้าอยากได้ ข้าจะให้คนไปซ่อมแซมแล้วเอาไปไว้ในทะเลสาบให้นะ”
เฟิ่งชิงเกอไหนเลยจะคิดว่าตระกูลจีมีเรือเริงรมย์อยู่จริงๆ เดิมทีนางยังรอให้จีซั่งชิงบอกว่าไม่มีอยู่เลย นางจะได้อาศัยเป็นข้ออ้างในการออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก ตระกูลจีที่น่ารังเกียจ พวกเจ้าร่ำรวยเกินไปแล้ว! สุรุ่ยสุร่ายเกินไปแล้ว!
เรือนเริงรมย์ของตระกูลจีเป็นเจาหมิงที่ให้คนต่อให้จีหมิงซิวเมื่อตอนนางยังมีชีวิตอยู่ เวลานั้นจีหมิงซิวยังเด็ก ชอบขอไปนั่งเรือเริงรมย์อยู่บ่อยๆ เจาหมิงเลยให้นายช่างต่อเรือให้เขาเสียเลย แรกเริ่มเป็นเพียงเรือลำเล็กๆ มือเล็กๆ ของหมิงซิวน้อยจับพายพาเรือแล่นไปตามกอบัว ตอนหลังเรือลำน้อยไม่อาจตอบสนองความต้องการของเขาได้อีก เจาหมิงเลยให้คนมาต่อเรือเริงรมย์ลำใหญ่ให้แทน ตอนต่อเรือจีหมิงซิวยืนอยู่ตรงตลิ่งนั้นเอง เด็กต้วน้อยที่สูงยังไม่ถึงเอวดีมองนายช่างเหล่านั้นต่อเรือด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เดี๋ยวสั่งให้เพิ่มตรงนั้น ต่อเติมตรงนี้ ผลสุดท้ายเลยออกมาเป็นเรือเริงรมย์ลำใหญ่
เฟิ่งชิงเกอให้คนเอาโต๊ะกับเก้าอี้ไปตั้งที่ริมตลิ่ง นางนั่งแผ่หลาอยู่บนเก้าอี้ กินลำไยขณะคอยมองนายช่างทั้งหลายซ่อมแซมเรือไปด้วย
หมิงอันรับผิดชอบเรื่องงานช่างภายในจวน หลังจากได้รับคำสั่ง เขาก็ไปหานายช่างมาทันที หนึ่งในนั้นเป็นนายช่างหน้าใหม่ที่เมื่อวานเพิ่งรับเข้ามาในตระกูลจี
หมิงอันเข้ามาคารวะเฟิ่งชิงเกอ ด้วยความที่เป็นคนใน เขาย่อมรู้ดีว่าเฟิ่งชิงเกอเป็นใคร แต่ก็ยังแสร้งทำเป็นทำความเคารพเฟิ่งชิงเกอ “ฮูหยิน ซ่อมเรือเสียงดังไม่น้อย ท่านเปลี่ยนไปนั่งรับลมที่อื่นจะดีกว่านะขอรับ”
แต่ละคนเป็นหนุ่มรูปงามที่แข็งแรงกำยำกันทั้งนั้น ใส่เสื้อเปิดแขน เนื้อตัวมีแต่หยาดเหงื่อ มันน่าขย้ำเกินไปแล้ว
เฟิ่งชิงเกอเลียริมฝีปาก เอ่ยด้วยหน้าตาแพรวพราวว่า “ข้าไม่กลัวเสียงดัง พวกเจ้าทำงานของพวกเจ้าไป”
หมิงอันตอบอ้อคำหนึ่งแล้วจึงหมุนตัวกลับไปทำงานของตนต่อ
ด้านหลังมีเสียงเฟิงชิงเกอดังตามมาว่า “ร้อนเพียงนี้ ไม่ต้องใส่เสื้อกันแล้ว”
เล่นเอาหมิงอันเกือบหน้าคว่ำ!
พี่เฟิ่ง เจ้าพูดจาหน้าไม่อายเช่นนี้จะดีจริงๆ หรือ!
นายช่างทั้งหลายเริ่มทำงานกันเสียงโป๊กๆ ช่วงแรกทุกคนยังเป็นกังวลว่ามีสตรีนางหนึ่งคอยมองอยู่ ไม่กล้าทำตัวตามสบายกันมากนัก แต่ก็จนใจที่วันนี้อากาศร้อนเกินไปจริงๆ จึงปลดเสื้อด้านบนออกกันอย่างทนไม่ไหว เผยให้เห็นผิวพรรณสีสนิมที่แน่นกำยำไปทั้งตัว
เฟิ่งชิงเกอได้แต่สูดน้ำลายซี๊ดๆ
แต่แล้วจู่ๆ ก็มีร่างกายที่สูดใหญ่เข้ามาบดบังสายตานางไว้ เฟิ่งชิงเกอโบกมือด้วยความรำคาญ บอกให้เขาเขยิบหนี ขณะเดียวกันก็เอียงศีรษะชะเง้อคอยาวไปมองหนุ่มๆ ร่างกำยำของตนต่อ
เจ้าของร่างนั้นก็เขยิบตามมาบังสายตานางไว้อีก
นางเงยหน้าขึ้นด้วยความรำคาญ “นี่เจ้าเป็นอะไรของเจ้านี่ เข้าบังข้าอยู่รู้…”
นางพูดไปได้ครึ่งททาง พอเห็นใบหน้าอีกฝ่ายก็ถึงกับชะงักงัน
ไป๋เช่อกัดฟัน “เป็นเจ้าจริงๆ”
เฟิ่งชิงเกอถึงได้นึกขึ้นได้ว่าตนยังใส่หน้ากากของเจาหมิงอยู่ นางคลี่พัดออกแล้วกดเสียงให้แหบแห้ง “ข้าอะไรกัน เจ้าจำคนผิดแล้ว!”
ไป๋เช่อยิ้มเย็น “ข้าจำคนผิดแล้วเจ้าจะไม่กล้าสู้หน้าไปไย”
เฟิ่งชิงเกอเอ่ยด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “ใครบอกว่าข้าไม่กล้าสู้หน้า”
ไป๋เช่อเอ่ยเสียงเย็น “ไม่ได้หลบหน้าแล้วที่เมื่อครู่หน้าเจ้าราวกับเห็นพี่นั่นข้าตาฝาดไปเองงั้นสิ”
เฟิ่งชิงเกอกลับไม่ตอบคำถามเขา แต่ยิ้มอย่างซุกซนพลางขยับลุกยืน ก่อนจะหุบยิ้มแล้วยกเท้าวิ่งหนี!
แรงอันน้อยนิดของเฟิ่งชิงเกอวันนี้เอาออกมาใช้จนหมด นางวิ่งจนสองขาแทบจะหลุดอยู่แล้ว พอหันกลับไปมองจนมั่นใจแล้วว่าตนสลัดอีกฝ่ายหลุด นางถึงได้เอามือจับต้นไม้หอบแฮ่กๆ ออกมา
มือที่เรียวยาวยื่นผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งมาให้
เฟิ่งชิงเกอรับไปเช็ดหน้าก่อนจะเอ่ยอย่างเหนื่อยหอบว่า “ขอบคุณนะ”
“ไม่เป็นไร”
เป็นเสียงของไป๋เช่อ!
ตาของเฟิ่งชิงเกอพลันเบิกกว้าง โยนผ้าเช็ดหน้าทิ้งแล้วชักเท้าวิ่งทันที!
นางวิ่งผ่านสวนดอกไม้ ผ่านต้นไม้ ปีนภูเขาลูกเล็กแล้วไปหลบอยู่ในถ้ำหิน!
“แฮ่ก…แฮ่ก…” นางหอบหายใจพลางลูบหน้าอก ครั้งนี้น่าจะสลัดเจ้าคนน่าโมโหนั่นหลุดเสียทีกระมัง
เฟิ่งชิงเกอไม่กล้าประมาท นางยื่นศีรษะออกไปนอกถ้ำ มองซ้ายมองขวา เมื่อมั่นใจว่าไม่มีคนตามมาแล้ว หัวใจถึงได้กลับไปเต้นอยู่ที่เดิม นางเดินซวนเซเข้าไปในถ้ำแล้วทิ้งตัวลงนั่งพัก
เอ๋?
นุ่มดีอยู่นะ
นางลองบีบๆ ดู
“ที่เจ้าบีบอยู่นั่นพอใจรึไม่”
น้ำเสียงที่น่ารังเกียจดังอยู่ข้างหู เฟิ่งชิงเกอหันไปมอง แม่เจ้า เหตุใดตนถึงมาตั่งบนตัวเขาได้!
อีตานี่มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร!
เฟิ่งชิงเกออยากหนีต่อ แต่ครั้งนี้ไป๋เช่อไม่เปิดโอกาสให้นางแล้ว
ไป๋เช่อกดตัวนางเข้ากับกำแพงหิน สกัดจุดนาง มองนางด้วยสายตาเยือกเย็น “หนีสิ ลองหนีดูอีกสิ”
เฟิ่งชิงเกอถึงขั้นรู้สึกอยากตายขึ้นมาติดหมัด วิ่งมานานขนาดนี้แต่ก็ยังตกอยู่ในเงื้อมืออีกฝ่ายอยู่ดี ลองคิดดูก็รู้ว่าตนต้องถูกเล่นงานอย่างน่าเวทนาแน่ นางเลยยอมแพ้ไม่ต่อต้านอีก บีบน้ำตาออกมาสองหยดอย่างน่าสงสาร พร้อมทั้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหยว่า “เสี่ยวเช่อเช่อ ข้าผิดไปแล้วก็ไม่ได้หรือ ข้าไม่หนีแล้ว จะไม่หนีอีกแล้วจริงๆ”
ไป๋เช่อยิ้มเย็น “คราก่อนเจ้าก็บอกเช่นนี้ คราก่อนๆ คราก่อนๆๆๆ คราก่อนๆๆๆๆ ก็พูดเช่นนี้ เจ้าคิดว่าข้ายังจะหลงเชื่อเจ้าอีกหรือ”
เฟิ่งชิงเกอเอ่ยตะกุกตะกักว่า “ข้า…ข้าหนีเจ้าบ่อยเพียงนั้นเชียวหรือ”
คำตอบคือใช่น่ะสิ
เพื่อตามหานางมารยั่วสวาทผู้นี้ ไป๋เช่อทุ่มกำลังไปสุดตัว ทุกครั้งที่จับนางได้ก็จะถูกนางกล่อมและหลบหนีเขาไปอีกครั้ง
เฟิ่งชิงเกอเก่งเรื่องการกล่อมคนเป็นพิเศษ!
ไป๋เช่อหยิบขวดกระเบื้องออกจากอกเสื้อ เปิดจุกออกแล้วเทยาออกมาสองเม็ด
ขมับของเฟิ่งชิงเกอเต้นตุบๆ “เจ้าจะทำอะไร”
ไป๋เช่อเอ่ยอย่างร้ายกาจว่า “นี่เป็นยาสูตรลับของตระกูลไป๋ ชื่อของมันข้าไม่สะดวกจะบอกเจ้า แต่ฤทธิ์ของมันสามารถบอกให้เจ้ารู้ได้ หลังจากกินยานี้ลงไปแล้ว หากเจ้ากล้าหนีจากข้าไปไกลเกินหนึ่งจ้าง พิษของมันจะพุ่งเข้าหัวใจและทำเจ้าตายในที่สุด”
เฟิ่งชิงเกอหัวเราะหึหึ “ตระกูลไป๋? เจ้าไม่ใช่แค่เป็นนักบวชหรอกหรือ เจ้ายังมีตระกูลกับเขาด้วย เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อหรือ”
ไป๋เช่อกินยาลงไปเองก่อนเม็ดหนึ่ง จากนั้นก็บีบคางนางจะเอาอีกเม็ดให้นางกิน
เฟิ่งชิงเกอเดือดจัด “เจ้าอย่าทำเกินไปนะ!”
ไป๋เช่อไล้ริมฝีปากนางขณะเอ่ยว่า “เฟิ่งชิงเกอ เจ้าเป็นคนบีบบังคับข้า”
“อ๋า….”
ห่างไปไม่ไกลมีเสียงร้องต่ำๆ ด้วยความตกใจดังขึ้น
เฟิ่งชิงเกอพลันสายตาเปลี่ยน “มีคน!”
ไป๋เช่อมองไปทางปากถ้ำนิ่งๆ
ให้ตายอย่างไรโจวมามาก็ไม่คิดว่าตนจะมาเจอกับเรื่องเช่นนี้ ในหนึ่งวันนางแอบฟังบทสนทนาของไป๋เช่อได้ถึงสองครั้งติดกัน นับว่าเป็นชะตาฟ้าลิขิตเลยทีเดียว เพียงแต่นางไม่คิดว่าองค์หญิงตัวปลอมจะมีความเกี่ยวโยงกับคุณชายไป๋ผู้นี้ หนำซ้ำนางยังเป็นเฟิ่งชิงเกอจริงๆ เสียด้วย!
เพราะน่าตกใจเกินไป นางถึงได้ร้องอุทานออกมา
เวลานี้พวกเขาน่าจะรู้ตัวแล้ว นางต้องรีบหนี!
โจวมามาโยนตะกร้าในมือทิ้งแล้วออกวิ่งไปทางที่มีคนมาก แต่ใครจะรู้ว่าวิ่งไปได้เพียงสองก้าวก็ถูกไป๋เช่อที่กำลังจับจ้องมาที่นางด้วยสายตาคมกล้าขวางเอาไว้