หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 347 ชาติกำเนิด กลวิธีของหมิงซิว (1)
ตอนที่ 347 ชาติกำเนิด กลวิธีของหมิงซิว (1)
เฉียวเวยเขียนใบยาบำรุงร่างกายไว้ให้เล็กน้อย ทั้งโสม รังนก เขากวางใดๆ ก็เอามาให้อย่างใจกว้าง ในสายตาคนนอก ฮูหยินน้อยนับเป็นพระโพธิสัตว์ในชีวิตจริงที่ใจดีมีเมตตาโอบอ้อมอารียิ่งกว่าสวินหลันเมื่อในอดีตเสียอีก
โจวมามาเมื่อวานยังมีกำลังวังชาดีอยู่เลย มาวันนี้กลับต้องมาตกอยู่ในสภาพที่ไม่มีวันฟื้นขึ้นมาอีก จะว่าไม่แปลกคงเป็นการโกหก เฉียวเวยบอกเพียงว่าหญิงสูงวัยลื่นล้มอยู่ที่ศาลารับลมจนขาเจ็บอยู่ก่อนแล้ว ครานี้ขานางคงหมดแรงจึงล้มลงอีกครั้ง ศีรษะไปกระแทกกับก้อนหินถึงได้ทำให้นางอยู่ในสภาพนี้
สำหรับคำพูดของเฉียวเวย ไม่มีใครนึกสงสัยเป็นอื่น ถึงอย่างไรจางมามาก็เป็นพยานที่เห็นกับตาว่าโจวมามาล้มไม่เป็นท่าอยู่ที่ศาลารับลม จะล้มอีกสักครั้งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
หลังจากจัดการเรื่องในเรือนหลีฮวาเสร็จแล้ว เฉียวเวยก็กลับไปที่บ้านชิงเหลียน กลับไปถึงก็เห็นว่าในห้องมีเฟิ่งชิงเกอนั่งรออยู่ก่อนแล้ว แม้แต่หน้ากากหนังคนก็ยังไม่ใส่ พอเห็นเฉียวเวยเดินเข้ามา นางก็ฉีกยิ้มกว้างทันที “เสี่ยวเวยเวย~”
เฉียวเวยได้ยินเสียงหวานเลี่ยนของนางแล้วถึงกับขนลุกเกรียวไปทั้งตัว เลยเลือกที่จะยืนอยู่ห่างจากนางไปหนึ่งแสนแปดพันลี้แล้วลงนั่ง
เฟิ่งชิงเกอยกลำไยที่แกะเปลือกแล้วเข้ามาให้พร้อมกับนั่งลงข้างนาง “ยัยแก่นั่นเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
เฉียวเวยปรายตามองอีกฝ่าย ไม่แตะต้องลำไยที่นางยกมาให้ “เจ้าเป็นคนเล่นงงานนางเอง นางเป็นเช่นไรเจ้าไม่รู้หรือ”
เฟิ่งชิงเกอถอนหายใจทีหนึ่ง “ใครใช้ให้นางอยู่ดีไม่ว่าดีไปแอบฟังคนเขาคุยกันเล่า ไป๋เช่อบอกว่านางแอบฟังเขามาสองครั้งแล้ว เมื่อครั้งโถงรับแขกเขาไม่ได้ทำอะไรนาง แต่ครั้งนี้เกินไปแล้วจริงๆ!”
เฉียวเวยเอ่ยเสียงเรียบ “เจ้ายังจะแก้ตัวอีก รู้รึไม่ว่าเกือบเอาตัวไม่รอดแล้ว”
เฟิ่งชิงเกอกินลำไยไปเม็ดหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ข้าคิดไว้หมดแล้ว ไม่มีเรื่องอะไรหรอก ยัยแก่นั่นทำเรื่องโง่เง่ามาตั้งมาเพียงนั้น ซ้ำยังทำร้ายบุตรของพ่อตาเจ้าจนตายอีก พ่อตาเจ้ากำลังรำคาญหูรำคาญตาอยู่ทีเดียว นางจะตายอย่างไรพ่อตาเจ้าไม่สนใจหรอก!”
เฉียวเวยหันไปมองนาง “เจ้าช่างเข้าใจความคิดพ่อตาข้าดีจริงนะ หื้อ?”
เฟิ่งชิงเกอเอ่ยด้วยน้ำเสียงสบายใจว่า “ความคิดของบุรุษทั้งใต้หล้านี้ รอดพ้นสายตาข้าไปไม่ได้หรอก”
นอกจากนายน้อยน่ะนะ เฟิ่งชิงเกอลอบเอ่ยเสริมในใจ
แต่เวลานี้คงต้องเพิ่มไป๋เช่อเข้าไปอีกคน เหตุใดอีตานั่นถึงได้เกาะติดนางไม่ยอมปล่อย นางคิดเท่าไรก็คิดไม่ออก ที่น่าโมโหที่สุดก็คือ วิชายั่วสวาทของนางใช้กับเขาไม่ได้เลย ไม่ว่ากี่ครั้งเขาก็จำนางได้อย่างชัดเจน
จึ๊ หงุดหงิด หงุดหงิดโว้ย!
เฉียวเวยมองสีหน้าครุ่นคิดของนางแล้วก็เข้าใจว่านางกำลังกังวลว่าตนจะโกรธที่นางฆ่าโจวมามาทิ้ง เลยหยิบลำไยขึ้นมาเม็ดหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างไม่เร่งร้อนว่า “เอาเถิด ฆ่าก็ฆ่าไปแล้วนี่ จัดการยันต์ละเว้นโทษตายของสวินหลันไปได้ก็นับว่าเป็นประโยชน์ต่อพวกเราเช่นกัน”
มองเผินๆ แล้วการที่สวินหลันแท้งบุตรทำให้นางได้ประโยชน์จากเคราะห์กรรมนี้ นางได้รับความสงสารจากจีซั่งชิงและได้อยู่ในบ้านตระกูลจีต่อไป แต่อีกไม่นานนางก็จะได้รู้ว่า ความใจอ่อนของบุรุษนั้นบางครั้งก็เป็นดาบสองคมเช่นกัน
…
หลังจากกินอิ่มดื่มพอที่ห้องหลักแล้ว เฟิ่งชิงเกอก็เดินฮัมเพลงออกจากบ้านชิงเหลียนไป เรื่องของโจวมามาดูเหมือนจะไม่ได้สร้างคลื่นลมอะไรใหญ่โตขึ้นในจวนแห่งนี้ ทุกคนควรทำอะไรไม่ควรทำอะไร ทุกอย่างยังคงอยู่ในกฎระเบียบเหมือนเช่นทุกวันที่ผ่านมา
ไป๋เช่อหายตัวไปก่อนชั่วคราว ที่เขาปลอมตัวเข้ามาในจวนเดิมทีก็เพื่อตามหาเฟิ่งชิงเกอ เวลานี้เมื่อหาตัวพบแล้วก็ไม่จำเป็นต้องปลอมตัวเป็นนายช่างอีก
ส่วนยาเม็ดที่ว่านั่น เพราะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นกะทันหันจึงไม่ทันได้ให้เฟิ่งชิงเกอกินเข้าไป
เฟิ่งชิงเกอให้เหตุผลว่า “ตอนนี้ข้ามีภารกิจติดพันอยู่ ไม่อาจไปจากจวนตระกูลจีได้ ส่วนเจ้าก็ไม่สะดวกที่จะคอยอยู่ข้างกายข้า หากเจ้าให้ข้ากินยาประเภทนั้นเข้าไปจริงๆ ข้าคงได้ตายเอาง่ายๆ เจ้าจะทำใจเห็นข้าตายไปเฉยๆ ได้จริงๆ หรือ สู้เจ้ารอไปอีกสักนิดไม่ดีกว่าหรือ เจ้าคิดดูนะ ตัวข้าอยู่ในบ้านตระกูลจี หนีไปไหนไม่ได้ ไว้ข้าปฏิบัติภารกิจให้แล้วเสร็จเสียก่อน เจ้าจะให้ข้ากินกี่เม็ดก็สุดแล้วแต่เจ้าเลย!”
หลังจากนางร่ายยาวเป็นพรวนด้วยสี (มนต์) หน้า (เสน่ห์) อันน่าต้องใจของนาง ไป๋เช่อลุ่มหลงไปชั่วขณะ เฟิ่งชิงเกอเลยรอดตัวไปได้
กว่าไป๋เช่อจะหลุดออกจากภวังค์ลุ่มหลงชั่วคราวไปได้ เฟิ่งชิงเกอก็หนีเข้าไปที่บ้านชิงเหลียนแล้ว
ที่หน้าประตูบ้านชิงเหลียนมีเพียงพอนเมฆาท่าทางดุร้ายนอนฟุบอยู่ตัวหนึ่ง
ไป๋เช่อไม่อาจลงมือทำอะไรเฟิ่งชิงเกอที่บ้านชิงเหลียนได้ แต่เขาก็ไม่ยอมรามือไปเช่นนี้เช่นกัน
ในตอนนั้นยังไม่ถึงเวลาอาหาร แต่เฟิ่งชิงเกอหิวแล้วเลยสั่งให้สาวใช้ของเรือนถงไปเอาขนมที่เพิ่งทำใหม่ๆ จากห้องครัวมาให้ สาวใช้ก็เดินไป ระหว่างทางกลับไป๋เช่อคอยตามหลังสาวใช้ผู้นั้นมาด้วย พอนางเดินเข้าไปในห้องเอาขนมวางลงบนโต๊ะเรียบร้อย เขาก็ใช้วิชาตัวเบาแทรกตัวเข้าไปข้างใน เอายาเม็ดนั้นบดละเอียดจนกลายเป็นผง แล้วโรยไว้ด้านบนขนม
เฟิ่งชิงเกอเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จกลับมา เห็นในจานมีขนมหน้าตาสวยงามวางอยู่ก็ค่อยๆ ยกมุมปาก
ตรงระเบียงมีเสียงร้องจิ๊บๆ ของนกดังมา
เฟิ่งชิงเกอยกจานขนมไปยังกรงนกที่แขวนเรียงกันอยู่ นางเปิดกรงนกแก้วลายเสือออกแล้วค่อยๆ เอาขนมชิ้นหนึ่งใส่เข้าไปให้ “ท่านพี่”
ผ่านไปหนึ่งเค่อ ไป๋เช่อที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยขนนกกำลังยืนอยู่ใต้เงาตนไม้ นกแก้วลายเสือตัวเล็กตัวหนึ่งซุกตัวอยู่ในอ้อมอกเขา มันกางจะงอยปากขึ้นพลางส่งเสียงอย่างออดอ้อนว่า “ท่านพี่! ท่านพี่! ท่านพี่…”
…
ตกบ่าย เฉียวเวยไปรับบุตรทั้งหมดกลับมาจากสำนักศึกษา
เพราะความที่เจ็บตัวมาจากจิ่งอวิ๋น ใต้เท้าเจ้าสำนักเลยตัดสินใจที่จะทวงคืนความสูงส่งยิ่งใหญ่ของตนกลับมาจากตัววั่งซู จะได้นำเอาภาพลักษณ์ที่มากสติปัญญาไม่มีใครเสมือนของเขากลับคืนมาเสียที พอเด็กน้อยทั้งสามกลับมาถึงบ้าน เขาก็จูงเอาวั่งซูไปที่เสี่ยวอวี่เซวียน
ฟู่เสวี่ยเยียนเพราะตั้งท้อง รสชาติอาหารที่ชอบจึงเปลี่ยน เฉียวเวยกำชับให้ห้องครัวเปลี่ยนวิธีการทำอาหารให้เธอทุกวัน ดังนั้นวั่งซูจึงชอบที่ไปเสี่ยวอวี่เซวียนมาก
“พี่ฟู่! พี่ซิ่วฉิน!”
พอวั่งซูเข้ามาในห้อง นางก็ยิ้มแฉ่งพรางเอ่ยทักทาย
ซิ่วฉินชอบเจ้าเด็กน้อยตัวอวบอ้วนขาวผ่องผู้นี้มาก จึงเอาอาหารว่างทั้งหมดออกมาให้นางทันที
ฟู่เสวี่ยเยียนใช้น้ำส้มโอกับน้ำผึ้งต้มน้ำชาที่ให้รสหวานหอมมาส่งให้วั่งซูน้อย
วั่งซูร้องว้าวก่อนจะดื่มลงไปคำหนึ่งอย่างยินดี นางทำตาหยีด้วยความพอใจ “อร่อยจังเลย!”
ใต้เท้าเจ้าสำนักส่งเสียงหึ “ข้าก็อยากกินด้วย”
ฟู่เสวี่ยเยียนจึงเอ่ยว่า “หมดแล้ว”
ใต้เท้าเจ้าสำนักเอ่ยอย่างไม่ยอมว่า “เหตุใดนางอยากได้ถึงมี แต่พอข้าอยากได้กลับไม่มีเล่า”
มุมปากฟู่เสวี่ยเยียนกระตุกทีหนึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ
ซิ่วฉินลอบยิ้ม
ใบหน้าหล่อเหลาของใต้เท้าเจ้าสำนักพลันบึ้งตึงด้วยความหงุดหงิด
นานทีเดียวกว่าเจ้าเด็กอ้วนจะกินจนอิ่มหนำสำราญ ใต้เท้าเจ้าสำนักกระแอมไอด้วยสีหน้าจริงจัง “เวลานี้พระอาทิตย์ตกเขาไปแล้ว เป็นช่วงที่อากาศกำลังเย็นสบาย ออกไปเดินเล่นกันสักหน่อยเถิด”
วั่งซูลูบพุงกลมกิ๊กของตนพลางพยักหน้าราวกับสับกระเทียม นางจูงมือที่อ่อนนุ่มและติดจะเย็นน้อยๆ ของฟู่เสวี่ยเยียนพลางเอ่ยเสียงใสว่า “พี่ฟู่ พวกเราไปเดินเล่นที่สวนดอกไม้กันเถิด!”
ใต้เท้าเจ้าสำนักลอบยกนิ้วโป้งให้นาง เจ้าเด็กอ้วนนี่แหละที่เข้าใจเขา! อีกเดี๋ยวนางจะต้องช่วยเขาได้มากแน่!
ฟู่เสวี่ยเยียนจูงมือน้อยๆ ของวั่งซูไปที่สวนดอกไม้ ใต้เท้าเจ้าสำนักเดินสบายๆ อยู่ข้างพวกเขา มองเผินๆ เหมือนสามคนพ่อแม่ลูก ช่างดูอบอุ่นยิ่งนัก
ก่อนมานี่ ใต้เท้าเจ้าสำนักได้ทำการบ้านไว้แล้ว เวลานี้เมื่อเห็นเจ้าเด็กน้อยจูงมือฟู่เสวี่ยเยียนเอาไว้อย่างใจจืดใจดำจึงเชิดคางขึ้น กระแอมเบาๆ ด้วยความเย่อหยิ่งพร้อมปั้นแต่งเสียงขณะเอ่ยว่า “วั่งซูเอ๋ย เจ้าไปเข้าเรียนมาก็นานพอควรแล้ว ได้ร่ำเรียนอะไรมาบ้าง เดี๋ยวอาจะทดสอบเจ้า”
เจ้าเด็กอ้วนจะต้องตอบไม่ได้แน่ จากนั้นก็ถึงทีเขาร่ายยาว แสดงความสามารถอย่างผู้รู้ออกมาให้เห็น!
สุภาษิตสองประโยคเขาท่องจนจำได้ขึ้นใจหมดแล้ว!
“ ‘ดาวเหนือมีปลา มีชื่อว่าคุน ความใหญ่ของคุนไม่รู้ยาวไปกี่พันลี้ เมื่อแปลงกายเป็นนก มีชื่อว่าเผิง แผ่นหลังของเผิงไม่รู้ใหญ่กี่พันลี้ เมื่อโผบินด้วยความโกรธ ปีกของมันปกคลุมท้องฟ้าคล้ายเมฆ มันคือนกที่ข้ามน้ำข้ามทะเลไปเป็นดาวใต้’ วั่งซูเอ๋ย เจ้าบอกอาทีว่าประโยคนี้แท้จริงแล้วมีความหมายเช่นไร”
ใต้เท้าเจ้าสำนักเอ่ยท่องพลางลอบมองสิ่งที่ตนแอบเขียนไว้ที่หลังมือ เขาไม่รู้หนังสือ ดังนั้นภาพที่อยู่ด้านหลังมือจึงเป็นเช่นนี้: แก้วที่ส่องประกาย (แทนดาวเหนือ) ข้างในมีปลาอยู่ตัวหนึ่ง ความหมายคือ “ดาวเหนือมีปลา” บนแก้ววาดเป็นวงกลมๆ ในวงกลมๆ มีใบหน้าที่ดูง่วงงุน ความหมายคือ “ชื่อของมันคือคุน”
นี่เป็นผลจากความพยายามของเขาตลอดบ่าย เป็นอย่างไร มีความรู้มากเลยสินะ!
“ไม่รู้ใช่หรือไม่ ไม่เป็นไร เจ้ายังเด็ก ตอนที่อาอายุเท่าเจ้า ก็รู้มากกว่าเจ้าแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ต้องหัวเสียไป อาจะสอนเจ้าให้เอง”
เขาพูดพลางหันกลับไปพร้อมรอยยิ้ม พอเพ่งตามองอีกที ไปไหนแล้วเล่า! ไปไหนกันหมดแล้ว!
ห่างไปไม่ไกลใต้ต้นพุทราต้นหนึ่ง มือเล็กกับมือใหญ่จับกันยืนอยู่ใต้ต้นไม้นั้น กำลังมองไปยังผลพุทราอวบอ้วนที่อยู่บนต้นพลางกลืนน้ำลายกันไม่หยุด
ใต้เท้าเจ้าสำนักมุมปากกระตุก เอามือตีภาพวาดบนแขน “ข้าอุตส่าห์วาดอยู่ตั้งนาน! ข้าอุตส่าห์วาดอยู่ตั้งนาน!”
ตีเสร็จก็เดินอาดๆ เข้าไป มองคนทั้งสองที่กำลังน้ำลายไหลด้วยความหิวโหย “อยากกินพุทราหรือ รอเดี๋ยว เดี๋ยวข้าเด็ดให้พวกเจ้าเอง”
ต้นพุทราทั้งสูงทั้งใหญ่ ใต้เท้าเจ้าสำนักเขย่งปลายเท้าพยายามเด็ดอยู่นานก็ยังไม่ได้สักลูก
เขากระโดดแล้วก็ยังเด็ดไม่ได้
เลยไปหากิ่งไม้จากแถวนั้นมาเขี่ยลูกพุทราบนต้นไม้
ตีไปทีแรก เอ๋? ไม่หล่น
ตีทีที่สอง เอ๋? ก็ยังไม่หล่น
ใต้เท้าเจ้าสำนักเริ่มโมโห โบกไม้ให้วุ่นอย่างเอาเป็นเอาตายพลางเอ่ยอย่างบ้าอำนาจว่า “หล่นลงมาให้หมดเดี๋ยวนี้นะ! ถ้าลูกไหนไม่หล่นลงมา จะฆ่าทิ้งให้หมด!”
วั่งซูปล่อยมือที่จับอยู่กับฟู่เสวี่ยเยียน เดินช้าๆ ไปที่ต้นไม้ สองตาใสแจ๋วเป็นประกายมองต้นพุทราที่สูงกว่าหลังคาบ้านตน เกาศีรษะก่อนจะเอาตัวเข้าไปชนดังตึง!
ลูกพุทราร่วงลงมาราวกับสายฝน…