หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 355-1 พี่ซิวออกโรง
ตอนที่ 355-1 พี่ซิวออกโรง
นานแล้วที่ไม่ได้ลงครัวเลยออกจะเก้ๆ กังๆ ไปบ้าง อาหารมื้อนี้หากเป็นเมื่อก่อนใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วยามก็จัดการได้แล้ว วันนี้กลับใช้ถึงหนึ่งชั่วยามเต็มๆ โชคดีที่รสชาติอาหารยังคงเหมือนเดิม
เฉียวเวยกับปี้เอ๋อร์ยกอาหารขึ้นมาวางบนโต๊ะ ซาลาเปาน้อยก็เข้ามาช่วยยกด้วยเพื่อทำตัวเป็นเด็กน่ารักต่อหน้าท่านพ่อ จิ่งอวิ๋นถือถาดอันหนึ่งอยู่ บนถาดมีอาหารห้าอย่างวางอยู่ ภาพเช่นนี้หากเป็นเมื่อก่อนจะไม่มีทางเกิดขึ้น แต่เขาทำได้แล้ว เขาพอใจกับตนเองมาก น้องสาวตัวอ้วนของเขาต้องยกอาหารไม่ได้มากเท่าเขาแน่ๆ!
“พี่ชาย! เจ้าหลบหน่อย ข้ามาแล้ว!”
มีเสียงเจ้าเด็กอ้วนดังขึ้นจากทางด้านหลัง จิ่งอวิ๋นเลิกคิ้วแล้วหันไปมองอีกฝ่ายช้าๆ แต่กลายเป็นว่าได้เห็นวั่งซูมือซ้ายถือถาดหนึ่ง มือขวาถือถาดหนึ่ง บนศีรษะก็ยังมีเทินอยู่อีกถาดหนึ่ง วิ่งผ่านตัวเขาไปราวกับพายุ น้ำแกงไม่มีหกกระเด็นเลยสักหยด!
ใบไม้ที่น้องสาวพัดพามาด้วยหมุนติ้วก่อนตีถูกหน้าจิ่งอวิ๋น
ผ่านไปพักใหญ่ เด็กน้อยจิ่งอวิ๋นที่พ่นใบไม้ออกมาหนึ่งใบ “…”
บนโต๊ะ ทุกคนในครอบครัวนั่งล้อมวงกินข้าวกันอย่างมีความสุข อาจารย์ตาฮั่วพากระบี่ของเขาออกไปพบเจออากาศของเมืองหลวงยังไม่กลับมา ด้านซ้ายของจีหมิงซิวคือเฉียวเวยกับซาลาเปาน้อยทั้งสาม ทางขวาเป็นใต้เท้าเจ้าสำนักกับฟู่เสวี่ยเยียน การกินข้าวกันพร้อมหน้าพร้อมตาเช่นนี้นับเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับฟู่เสวี่ยเยียน จะว่าไปแล้วนางก็เผอิญกำลังตั้งครรภ์เลือดเนื้อเชื้อไขของใต้เท้าเจ้าสำนักอยู่พอดี แต่โดยนามแล้วนางไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ กับเขา เขาก็ไม่รู้ว่านางกำลังตั้งครรภ์ เมื่อทุกอย่างรวมเข้าด้วยกัน สถานการณ์ของฟู่เสวี่ยเยียนเลยออกจะประดักประเดิดอยู่สักหน่อย
แต่ในความเป็นจริงดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้น
“ท่านพ่อๆ ท่านกินปู่ที่ข้าล้างสักตัวสิ! ข้าล้างสะอาดมากเลยนะ!” วั่งซูเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
จีหมิงซิวยิ้มบางๆ “พ่อกินปูไม่ได้ เดี๋ยวพ่อแกะให้เจ้ากินดีไหม?”
วั่งซูยิ้มแปล้ “ดีเจ้าค่ะ!”
จีหมิงซิวเลยแกะปูให้วั่งซู
วั่งซูหยิบตัวใหญ่ไปวางให้ในชามของฟู่เสวี่ยเยียน “พี่ฟู่กินสิ!”
คนท้องไม่กินปูจะดีที่สุด
เฉียวเวยเอาปูในชามของฟู่เสวี่ยเยียนไปใส่ถ้วยใต้เท้าเจ้าสำนักพร้อมบอกวั่งซูว่า “พี่ฟู่ของเจ้าก็กินปูไม่ได้”
“ก็ได้” วั่งซูผายมือออก
ใต้เท้าเจ้าสำนักจำได้ว่าจีหมิงซิวกับจิ่งอวิ๋นไม่กินปูไม่กินกุ้ง เลยคีบลูกชิ้นกุ้งทอด กุ้งปั่นในถ้วยฟู่เสวี่ยนมาจนหมด แล้วตัวเนื้อบดผสมเห็ดหอมช้อนหนึ่งไปให้แทน “เจ้ากินนี้ เปรี้ยวๆ เค็มๆ เปิดต่อมรับรสไปก่อน”
วั่งซูหยิบซี่โครงแพะชิ้นเล็กไปไว้ในชามฟู่เสวี่ยเยียน “พี่ฟู่ ท่านแม่ข้าย่างอันนี้อร่อยที่สุดแล้ว! อร่อยกว่าน้ำแกงบะหมี่เนื้อแพะเสียอีก!”
เมื่อก่อนตอนอยู่บนเขามักจะต้องหิวโซอยู่บ่อยๆ ข้าวสวยอะไรก็ไม่ค่อยมีให้กิน เมื่ออยู่มาวันหนึ่งท่านแม่เกิดทำอาหารเก่งขึ้นมาเพียงนี้ ทำน้ำแกงบะหมี่เนื้อแพะชามหนึ่งนางก็รู้สึกว่าเป็นของที่อร่อยที่สุดในโลกแล้ว!
แต่ตอนนี้นางพบว่าซี่โครงแพะย่างอร่อยว่าเสียอีก!
ฟู่เสวี่ยเยียนแพ้ท้องหนักๆ ช่วงสามเดือนแรกได้ผ่านไปแล้ว เวลานี้เป็นช่วงที่เจริญอาหารมากที่สุด ตามปกตินางน่าจะกินทุกอย่างได้อย่างละนิดละหน่อย แต่กระนั้นนางก็ดันไม่ชอบกินเนื้อแพะมาตั้งแต่เด็ก แต่นี่วั่งซูเป็นคนคีบมาให้นาง เมื่อเห็นสายตารอคอยคำชื่นชมจากนางของวั่งซูแล้ว นางเลยกลั้นใจกัดเข้าไปคำหนึ่ง
“อร่อยมากเลยใช่รึไม่” วั่งซูกะพริบตาปริบๆ พลางถาม
ฟู่เสวี่ยเยียนพยักหน้าแล้วกัดอีกคำหนึ่ง หลังจากนั้นก็หยุดไม่ได้อีกเลย…
หลังจากจบมื้อ ทุกคนกินกันอิ่มหนำ วั่งซูเอนหลังพิงพนัก ลูกท้องอ้วนกลมของตน “เฮ่อ อิ่มจัง!”
ต้าไป๋เสี่ยวไป๋จูเอ๋อร์นอนระเกะระกะกันอยู่บนพื้น และกำลังลูกท้องอ้วนกลมของตนอยู่เช่นกัน
ทุกคนออกไปเดินเล่นย่อยอาหารกันในสนาม วั่งซูไม่อยากขยับตัว ทิ้งตัวอยู่บนตักของบิดาตนอย่างเกียจคร้าน เฉียวเวยหิ้วตัวบุตรสาวขึ้นมา “เดินเอง!”
วั่งซูเบ้ปากน้อยๆ ของตนแล้ววิ่งไปทิ้งตัวลงบนตักของท่านอารองของตนต่อ
ตักของท่านอารองเจ้าจะมาทิ้งตัวอยู่อย่างนี้ได้หรือ
ใต้เท้าเจ้าสำนักถึงกับลุกไม่ขึ้นเลยทีเดียว!
สือชีใช้กำลังภายในลอยตัวเข้ามาอุ้มวั่งซู วั่งซูดีใจจนร้องเรียกว่าพี่สือชี มือน้อยๆ กอดรอบคอเขาไว้ สือชีกอดนางไว้แน่น พานางลอยตัวข้ามชายคา จิ่งอวิ๋นมือเร็วตาไวกอดขาสือชีเอาไว้ หลิวเกอร์ก็อยากให้อุ้มด้วยเช่นกัน แต่น่าเสียดายที่คว้าได้แค่อากาศ ในขณะที่กำลังจะเงยหน้าขึ้น ตึง! ถูกต้าไป๋เหยียบเข้าให้ทีหนึ่ง! ต้าไป๋กอดขาจิ่งอวิ๋นไว้ได้แทน
หลิวเกอร์จะเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ตึง! ถูกเสี่ยวไป๋เหยียบเข้าให้อีก! เสี่ยวไป๋กระโดดไปกอดขาต้าไป๋
หลิวเกอร์กัดฟัน กำลังจะเงยหน้าขึ้นเป็นครั้งที่สาม ตึงๆๆ! เป็นจูเอ๋อร์กับกระทะใบน้อยของมัน หลิวเกอร์ถูกกระทะเหล็กกระแทกศีรษะจนตาลอยคว้าง จูเอ๋อร์ขึ้นไปคว้าขาเสี่ยวไป๋เอาไว้ได้
เมื่อเป็นเช่นนี้สือชีจึงอุ้มเอาไว้คนหนึ่ง ขามีห้อยอยู่อีกขบวนหนึ่ง กระโดดลอยขึ้นไปท่ามกลางความมืดมิดอย่างยิ่งใหญ่
เฉียวเวยเดินไปสักพักก็เกิดเหนื่อย ยืนพิงต้นไม้มองพวกเขาด้วยความขบขัน วั่งซูร้องว้าวๆ ด้วยความตื่นเต้น จิ่งอวิ๋นดูเหมือนจะกลัวความสูงอยู่สักหน่อย ไม่กล้าลืมตา ขนของเจ้าสัตว์น้อยถูกลมพัดจนปลิวไสว เจ้าก้อนกลมๆ สีขาวๆ ดำๆ ยังคอยส่งเสียงร้องประหลาดออกมาเป็นพักๆ อีกด้วย
จีหมิงซิวเดินเข้ามา “กำลังคิดอะไรอยู่หรือถึงได้ใจลอยเพียงนี้”
เฉียวเวยมองเจ้าตัวน้อยทั้งหลายที่กระโดดไปกระโดดมาอยู่ตรงชายคาแล้วเอ่ยอย่างใช้ความคิดว่า “กำลังคิดว่าเหตุใดท่านถึงได้เป็นที่ชื่นชอบของสตรีเพียงนี้”
จีหมิงซิวหัวเราะเบาๆ “ยอมรับว่าชอบนายน้อยอย่างข้าแล้วหรือ”
เฉียวเวยเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ไม่ใช่เสียหน่อย อย่าคิดไปเองให้มากนัก”
จีหมิงซิว “พวกเขาคงเล่นกันอีกพักใหญ่ พวกเราเข้าไปรอในห้อง?”
เฉียวเวยย่อมเข้าใจดีว่าให้ไปรอให้ห้องนั้นหมายความเช่นไร ในใจนางคล้ายมีบางอย่างกระแทกรัวๆ เข้าใส่ ไม่ได้บอกว่านานวันเข้าจะสงบนิ่งไปเองหรอกหรือ เหตุใดนางถึงได้ตื่นเต้นขึ้นทุกครั้งเลยนะ
ใต้เท้าเจ้าสำนักที่ถูกแสดงความรักให้เห็นต่อหน้าเรียกว่าจุกอกไปเลยทีเดียว เขาปลายตาไปมองฟู่เสวี่ยเยียนที่อยู่ข้างกายแล้วเอาอย่างน้ำเสียงอบอุ่นแต่เอาแต่ใจของพี่ชายดูบ้าง “พวกเขาคงเล่นกันอีกนาน พวกเราเข้าไปรอในห้อง?”
ฟู่เสวี่ยเยียนหน้าตาดูงงงวย “รออะไรหรือ”
ใต้เท้าเจ้าสำนักถึงกับไปไม่ถูก เหตุใดถึงถามไม่เหมือนกับนางยักษ์นั่นเลยล่ะ
เขากระแอมไอสองที ใต้เท้าเจ้าสำนักยังคงเลียนแบบน้ำเสียงของพี่ชาย “จะเข้าข้างในไหม?”
ฟู่เสวี่ยเยียนพยักหน้าด้วยท่าทางจริงจัง “ข้างนอกยุงเยอะ เข้าไปแล้วกัน”
พูดจบก็หมุนตัวเข้าห้องไป
เหลือแค่ใต้เท้าเจ้าสำนักที่ยืนอึ้งอยู่กับที่ หน้าตาบอกบุญไม่รับ…
…
ในเรือนหลีฮา สวินหลันนั่งเงียบอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ในมือถือปิ่นดอกไม้อยู่ดอกหนึ่ง ปิ่นนั้นดูมีอายุประมาณหนึ่งแล้ว สีสันต่างกับปิ่นปักผมชิ้นอื่นโดยสิ้นเชิง
หงเหมยเดินถือน้ำแกงเห็ดหูหนูพุทราแดงเข้ามา วันนี้นางตกใจไม่น้อย เวลานี้ยังเรียกสติกลับมาไม่ได้เต็มที หากไม่ใช่เพราะได้ยินว่าเย็นนี้ฮูหยินยังไม่ได้กินอะไร เวลานี้นางคงยังนั่งขวัญเสียอยู่ในห้องของตนเองอยู่
นางเอาน้ำแกงวางลงบนโต๊ะพลางเอ่ยกับสวินหลันว่า “ฮูหยิน อย่างน้อยท่านก็กินสักหน่อยเถิด พอนายท่านไม่อยู่ท่านจะไม่กินอะไรเลยไม่ได้นะเจ้าคะ หากนายท่านรู้เข้าคงเป็นห่วงท่านแย่”
สวินหลันไม่ตอบอะไร
หงเหมยมองปิ่นดอกไม้เล่มเก่าในมือนาง คิดว่านายท่านเป็นคนให้ไว้จึงยิ้มเอ่ยว่า “ฮูหยินช่างมีใจรักลึกซึ้งต่อนายท่านเหลือเกิน”
สวินหลันลูบกลีบดอกไม้
หงเหมยยิ้มแหยๆ “เรื่องในวันนี้น่ะ…ท่านอย่าได้เก็บมาใส่ใจเลย…ตุ๊กตานั่นไม่ว่าเป็นผู้ใดทำก็ดี มันถูกเผาทิ้งไปแล้ว หลังจากนี้ท่านจะไม่เป็นอะไรแล้ว…ทางด้านนายท่าน…ทางด้านนายท่าน…เอ่อ…ไม่ว่าอย่างไร นายท่านก็เป็นบิดาโดยสายเลือดของใต้เท้า ใต้เท้าไม่ทำอะไรนายท่านจริงๆ หรอกเจ้าค่ะ…บิดากับบุตรมีเรื่องเบาะแว้งกันแค่ไม่กี่วันก็หายโกรธแล้ว…ถึงเวลานั้น…นานยท่านก็คงมาหาท่านเอง! ท่านกินอะไรสักหน่อยก่อนเถิด!”
สวินหลันไม่ได้พูดอะไร ถือปิ่นปักปมลุกขึ้นเดินไปที่เตียง แล้วลงนอนนิ่งๆ บนเตียงที่หนาวเย็น
หงเหมยขยับปาก “ท่านจะนานแล้วหรือเจ้าคะ ไม่กินอะไรสักหน่อยหรือ”
สวินหลันหลับตา
หงเหมยถอนหายใจ หยิบพัดใบจากมาไล่ยุง ปลดผ้าม่านลง ดับเทียนแล้วยกน้ำแกงออกไป
…