หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 358-1 ความแตก ท่านพ่อจีรู้ความจริง (1)
ตอนที่ 358-1 ความแตก ท่านพ่อจีรู้ความจริง (1)
กว่าใต้เท้าเจ้าสำนักจะกลับมาได้สติก็ผ่านมื้อเย็นไปแล้ว เขาลืมตาขึ้นมาสิ่งแรกที่คิดจะทำก็คือไปที่เรือนของฟู่เสวี่ยเยียนตามคาด ฟู่เสวี่ยเยียนกำลังรดน้ำต้นไม้อยู่ตรงสนาม หยดน้ำกระจายอยู่ตามผิวขาวผ่องที่แทบจะส่องประกายได้ เลยยิ่งทำให้ผิวของเธอดูราวกับไขหยกเข้าไปใหญ่
ลูกกระเดือกของใต้เท้าเจ้าสำนักขยับขึ้นลง “นางยักษ์”
ฟู่เสวี่ยเยียนคุ้นชินกับการเรียกขานนี้ไปแล้วจึงไม่ได้ว่าอะไร เพียงส่งเสียงอื้อตอบเรียบๆ “ฟื้นแล้วหรือ”
ใต้เท้าเจ้าสำนักถามด้วยความไม่เข้าใจว่า “ก่อนหน้านี้ข้าเป็นอะไรไป เหตุใดถึงสลบไปได้”
“เป็นไข้แดดน่ะ” ฟู่เสวี่ยเยียนตอบ
“อ้อ” ใต้เท้าเจ้าสำนักขมวดคิ้วคมเข้มของตน “ข้ายังคิดว่าตนเองถูกไอเจ้านั่นทำร้ายจนสลบไปเสียอีก ใช่สิ ไอเจ้านั่นไม่ได้ทำอะไรเจ้ากระมัง”
ฟู่เสวี่ยเยียนรดน้ำต้นไม้พลางบอกว่า “มิได้ ถึงแม้เขาจะเป็นคนของจวนอ๋อง แต่ครั้งนี้ที่มาไม่ได้มาเพื่อจับข้า แต่มาสืบข่าวพี่ชายข้าจากข้า ข้าไม่ได้บอกอะไรทั้งสิ้น”
ใต้เท้าเจ้าสำนักอึ้งไปก่อนจะตาเป็นประกาย “อา เข้าใจแล้ว เจ้ากลัวว่าถ้าข้าเอาไปบอกพี่ใหญ่แล้วพี่ใหญ่ข้าจะไปสร้างความลำบากให้เขาสินะ แต่อย่างไรเขาก็เป็นคนเยี่ยหลัว ข้าคงต้องบอกพี่ใหญ่”
ฟู่เสวี่ยเยียนขนตาสั่นไหว “เขาตายแล้ว”
“ตายแล้ว?” ใต้เท้าเจ้าสำนักอึ้งงันไป สองตาที่เป็นประกายกะพริบปริบๆ พลางมองไปยังฟู่เสวี่ยเยียน
ฟู่เสวี่ยเยียนหลุบตาลงเอ่ยว่า “เขาต้องการฆ่าเจ้า เลยถูกข้าฆ่าตาย”
พูดจบนางก็วางกระบวยน้ำลงแล้วเดินเข้าห้องไปโดยไม่หันกลับมามองอีก
ใต้เท้าเจ้าสำนักค่อยๆ เข้าใจประโยคสุดท้ายที่นางพูดทิ้งท้ายไว้ มุมปากเลยยกขึ้นเล็กน้อย นางยักษ์ชอบเขาเข้าแล้วใช่หรือไม่…ต้องใช่แน่ๆ ต้องใช่แน่ๆ ต้องใช่แน่ๆ…
พอได้รู้ว่าใต้เท้าเจ้าสำนักได้สติแล้ว จีหมิงซิวก็เรียกเขาไปที่ห้องหนังสือแล้วถามถึงเรื่องเมื่อตอนกลางวัน เขาบอกไปตามจริงว่า “…จะว่าไปเจ้าทำอะไรมู่ชิวหยางเข้าหรือ เหตุใดคนของจวนอ๋องถึงได้มาสืบข่าวเขาถึงที่จวนเช่นนี้”
นัยน์ตาจีหมิงซิวมีประกายบางอย่างแวบผ่าน “ข้าจับตัวเขาเอาไว้”
ใต้เท้าเจ้าสำนักเลยเข้าใจโดยพลัน “มิน่าเล่าเขาถึงต้องมาสืบความถึงที่”
จีหมิงซิวถามว่า “เจ้าไปพบตัวเขาที่ไหนมา”
“ร้านขายพวงหรีดแถวถนนเฉิงหวง” ใต้เท้าเจ้าสำนักตอบ
จีหมิงซิวส่งเยี่ยนเฟยเจวี๋ยไปที่ร้านพวงหรีดทันที จู่ๆ ในร้านก็มีคนตาย เจ้าของร้านเลยตกใจมาก รีบแจ้งแก่ทางการ พอทางการมาถึงแล้วสืบหาฐานะของคนผู้นั้นไม่เจอ เลยเอาศพไปไว้ที่ห้องเก็บศพของทางการเสียก่อน เพราะอากาศร้อน ศพจึงเน่าเปื่อยเร็วมาก เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเอาผ้าชุบน้ำขิงซ้อนกันถึงห้าชั้นปิดจมูกแล้วไปที่ห้องเก็บศพของทางการ เพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายตายด้วยกริชเฟิ่นเทียนจริงๆ
เวลานี้กริชเฟิ่งเทียนอยู่ในมือของฟู่เสวี่ยเยียน หากวิเคราะห์จากจุดนี้ เขาก็ตายด้วยน้ำมือของฟู่เสวี่ยเยียนจริงๆ
ส่วนมู่ชิวหยางก็บังเอิญถูกตนจับตัวมาพอดี ในเวลาเช่นนี้หากลูกสมุนของมู่ชิวหยางจะมาหาฟู่เสวี่ยเยียนเพื่อสอบถามสถานการณ์ก็ดูเหมือนจะสมเหตุสมผล…
จีหมิงซิวยืนอยู่ตรงหน้าต่าง มองตรงไปทางเรือนเสี่ยวอวี่เซวียน เขานิ่งเงียบไปหลายวินาทีก่อนจะร้องเรียกว่า “สือชี”
สือชีเร้นกายเข้ามาอย่างรวดเร็ว
ครึ่งชั่วยามผ่านไป ใต้เท้าเจ้าสำนักก็ถูกพี่ชายของตนเรียกไปที่ห้องหนังสืออีกครั้ง เขานั่งพิงเก้าอี้ อ้าปากหาวด้วยความเบื่อหน่าย “ครานี้เรียกข้ามาด้วยเหตุใดอีกเล่า”
จีหมิงซิวเหลือบมองเขาทีหนึ่ง “เจ้าชอบออกไปข้างนอกบ่อยๆ ข้าจะหาองครักษ์ไว้คอยคุ้มครองข้างกายเจ้า”
ใต้เท้าเจ้าสำนักกรอกตาบน “เชอะ องครักษ์พวกนั้นของเจ้าข้าไม่สนใจหรอก! เก่งนักก็เอาอาต๋าเอ่อร์มาที่นี่สิ ไม่อย่างนั้นข้าไม่เอาผู้ใดทั้งนั้น!”
“เจ้าสำนัก”
เสียงของอาต๋าเอ่อร์ดังขึ้นที่หน้าประตูทันที
ใต้เท้าเจ้าสำนักอึ้งงันจนตัวไถลลงจากเก้าอี้! พอหันไปมองก็แทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง!
“อาต๋าเอ่อร์?”
อาต๋าเอ่อร์ตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “ข้าเอง เจ้าสำนัก”
ใต้เท้าเจ้าสำนักเบิกตาโตประหนึ่งโดนสายฟ้าฟาด “เจ้าๆๆๆ…เจ้ามาได้อย่างไร เจ้าไม่ได้ตายไปแล้วหรือ”
อาต๋าเอ่อร์ “…”
ท่านผ่านการถูกพี่ชายท่านหลอกให้เข้ามายังปราสาทเฮ่อหลัน ล่อให้ออกจากเกาะนิรนาม แกล้งให้มายังบ้านตระกูลจี หลังจากผ่านประสบการณ์เช่นนี้มา ท่านยังคิดไม่ได้อีกหรือว่าคืนวันนั้นเป็นละครฉากหนึ่งที่พี่ชายท่านจัดฉากขึ้น
ใต้เท้าเจ้าสำนักเดินเข้าไปกอดอาต๋าเอ่อร์ “ดีจริงๆ ที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่!” เขาทำจมูกฟุดฟิด “เจ้าควรอาบน้ำได้แล้ว”
อาต๋าเอ่อร์หน้าบึ้งลงทันที
พอคิดอะไรได้ใต้เท้าเจ้าสำนักก็หันไปเพ่งมองเขาด้วยสายตาจับผิด “ช้าก่อน ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่าเจ้าเข้าบ้านตระกูลจีไม่ได้หรอกหรือ”
อาต๋าเอ่อร์ “พอกำจัดกู่รัตติกาลออกไปก็เข้าได้แล้ว”
ที่แท้ก็เกี่ยวกับแมลงกู่นี่เอง จะเกี่ยวข้องกันอย่างไร สมองของเขานี้คิดไม่ออก เลยไม่คิดมันเสียเลย เพียงเอ่ยด้วยตาเป็นประกายว่า “ของของเจ้าเจ้าเอามาหมดแล้วรึยัง”
อาต๋าเอ่อร์เขย่าห่อผ้าใมือ “เอามาแล้ว”
ใต้เท้าเจ้าสำนักเอาถุงผ้าไปที่ห้องของเฉียวเวย เฉียวเวยกำลังเย็บสมุดให้เจ้าตัวเล็กทั้งหลายอยู่ ในยุคโบราณไม่มีสมุดสำหรับทำการบ้านโดยเฉพาะ กระดาษเป็นแผ่นๆ อาจหายได้ง่าย นางเลยจัดการเย็บให้เองเสียเลย
“นางยักษ์ๆ!” ใต้เท้าเจ้าสำนักวิ่งเข้ามาในห้องด้วยความตื่นเต้น แล้ววางห่อผ้าลงตรงหน้าคนในห้องด้วยท่าทางขบขัน
เฉียวเวยกัดด้ายขาด มองห่อผ้านั้นแล้วถามว่า “เจ้าก็จะหนีออกจากบ้านด้วย?”
ใต้เท้าเจ้าสำนักกรอกตาบนใส่ “ผู้ใดจะหนีออกจากบ้านกัน อาต๋าเอ่อร์มาที่นี่แล้ว! ข้าจะให้เจ้าดูของรักของหวงของข้า!”
เฉียวเวยเอ่ยด้วยความแปลกใจว่า “อาต๋าเอ่อร์มาได้อย่างไร”
ใต้เท้าเจ้าสำนักเน้นเสียงหนัก “ประเด็นสำคัญอยู่ที่ประโยคหลัง!”
เฉียวเวยเข้าใจแล้ว “อ๋อ ต้องเป็นหมิงซิวแน่เลยที่ให้เขามา”
ใต้เท้าเจ้าสำนักเอาขวดเล็กๆ หลายขวดออกมา “เหล่านี้คือแมลงกู่ที่ข้าเลี้ยงเอาไว้”
เฉียวเวยลูบคาง “ก็ว่าเหตุใดเขาถึงได้มาช้าเพียงนี้ พวกเรากลับมาจากชนเผ่าลึกลับกันตั้งหลายเดือนแล้ว”
ใต้เท้าเจ้าสำนักไล่เรียงให้ฟังอย่างคล่องแคล่ว “นี่คือกู่พรากรัก นี่คือกู่สุนัข นี่คือกู่จั๊กจี๋ นี่คือ…”
เฉียวเวยพยักหน้า “เขามาก็ดี เจ้าชอบก่อเรื่องอยู่เรื่อย ควรมีใครสักคนคอยอยู่ข้างๆ”
ใต้เท้าเจ้าสำนักเลยไม่พอใจใหญ่ “นี่นางยักษ์! ข้ากำลังพูดกับเจ้าอยู่นะ เจ้าฟังอยู่หรือไม่นี่”
หูเฉียวเวยพลันกระดิก เอามือปิดปากเขาเอาไว้ “ซู่….”
ใต้เท้าเจ้าสำนักตาเป็นประกายวาววับ
เฉียวเวยทำมือบอกให้เขาเงียบ แล้วเอาหูแนบเข้ากับกำแพง ใต้เท้าเจ้าสำนักกะพริบตาทีหนึ่งแล้วเอาหูแนบกับกำแพงอย่างนางบ้าง แต่เขาไม่ได้ยินอะไรเลย!”
หลังจากผ่านการเคี่ยวกรำมาจากอาจารย์ตาฮั่ว การได้ยินของเฉียวเวยก็ดีขึ้นกว่าปกติอีกเล็กน้อย เลยพอจะได้ยินอยู่บ้าง
ใต้เท้าเจ้าสำนักตบไหล่คนข้างกาย “นี่ นางยักษ์ ทางนั้นคุยอะไรกันน่ะ”
เฉียวเวยขมวดคิ้ว “ผู้อาวุโสตระกูลรู้เรื่องที่พ่อเจ้าถูกพี่ชายเจ้าไล่ออกจากบ้านแล้ว บอกว่าพรุ่งนี้ให้พี่ชายเจ้าไปโขกศีรษะยอมรับผิดแล้วรับเขากลับมาบ้านอย่างนอบน้อมเสีย มิเช่นนั้นเขาจะปลดพี่ชายเจ้าออกจากตำแหน่งนายน้อย”
ใต้เท้าเจ้าสำนักเท้าสะเอว “ถุยแหน่ะ! ใครจะไปโขกศีรษะรับผิดให้เขา ใครจะไปรับเขากลับมา เป็นเขาที่อยากออกไปเองหรอก! เพื่อนังจิ้งจอกนั่น เขาทำเสียคนในบ้านอยู่กันไม่สงบสุข แล้วยังจะให้พี่ใหญ่ข้าไปรับเขามาอีกหรือ เหตุใดเขาไม่ลอยขึ้นฟ้าไปเลยเล่า!”
เฉียวเวยเลยหัวเราะออกมา
“เจ้าหัวเราะอะไร” ใต้เท้าเจ้าสำนักถาม
เฉียวเวยระบายยิ้ม “เมื่อครู่เจ้ายอมเรียกพี่ใหญ่แล้ว”
ใต้เท้าเจ้าสำนักตาพลันเป็นประกาย “ข้าไม่ได้เรียก! ข้าบอกว่าจีหมิงซิวต่างหาก! เจ้าห้ามทึกทักไปเอง ข้าไม่มีทางร้องหาความยุติธรรมให้จีหมิงซิวแน่ ข้าแค่ทนดูอีตาแซ่จีนั่นไม่ได้หรอก!”
เฉียวเวยมองเขาอย่างไม่เชื่อถือแต่ก็ไม่ได้เอ่ยล้อเลียนใดๆ อีก “ทนดูไม่ได้แล้วจะทำอย่างไรได้ พรุ่งนี้คนเขาก็จะมาปลดพี่ชายเจ้าลงจากตำแหน่งนายน้อยแล้ว ข้าเข้าใจพี่ใหญ่เจ้าดี เขาไม่มีทางยอมก้มหัวให้บิดาเจ้าแน่”
ใต้เท้าเจ้าสำนักกัดฟันกรอด
เฉียวเวยเลยบอกว่า “อันที่จริงจะว่าไปจะเป็นเพราะสวินหลันมอมเมาจิตใจคนเก่งเกินไป พ่อเจ้าผูกพันเป็นสามีภรรยากับนางมานานปี การที่เขาถูกนางครอบเอาไว้จึงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้”
เช่นนี้แล้วความรักถึงได้เกี่ยวข้องกับความผูกพัน เพราะมันเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือสติสัมปชัญญะไปแล้ว ต่อให้เป็นคนที่ยิ่งใหญ่เพียงใด เมื่ออยู่ต่อหน้าสตรีที่ตนพึงใจ ก็ยากนักที่จะรักษาจิตใจที่สงบเอาไว้ได้
ไม่ว่าจีซั่งชิงจะเห็นสวินหลันเป็นตัวแทนก็ดี หรือไม่เห็นนางเป็นตัวแทนก็ดี แต่ความรักความผูกพันตลอดหลายปีที่ผ่านมาไม่ใช่เรื่องลวง
ใต้เท้าเจ้าสำนักหรี่ตาเอ่ยว่า “ข้ามีวิธีการจัดการกับนาง!”
เฉียวเวยนั่งลงจิบชา “เจ้าอย่าดีกว่า ข้ายอมถือมีดไปสังหารสตรีนางนั้นเองดีกว่าให้เจ้าเสนอความคิดพิเรนทร์ๆ อะไรอีก”
ใต้เท้าเจ้าสำนักเดินตามไป “ครั้งนี้ข้ามีวิธีจริงๆ”
เฉียวเวยย่อมไม่เชื่อ เอาสมุดที่เย็บเสร็จแล้วแยกใส่กระเป๋าหนังสือทั้งสามใบ
ใต้เท้าเจ้าสำนักแย่งเอากระเป๋าไป มองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าดุดัน “ข้ามีวิธีจริงๆ! เจ้าเชื่อข้าสักครั้งสิ! เจ้าจะให้ข้าอยู่เฉยๆ ไปตลอดไม่ได้หรอกจริงหรือไม่! หากจิ่งอวิ๋นทำอะไรผิด เจ้าก็จะละทิ้งเขาไปเลยหรือ”
ย่อมไม่ จิ่งอวิ๋นเป็นเด็กฉลาดเพียงนั้น ได้รับข้อดีจากทั้งนางและหมิงซิวไป จะกระทำพลาดได้อย่างไร
นางคิดเช่นนี้ในใจขณะเหลือบตาขึ้นมอง จึงเห็นสีหน้าเจ็บปวดของอีกฝ่าย เฉียวเวยได้แต่ถอนหายใจอย่างทั้งโมโหทั้งจนใจ “เอาล่ะๆ ยอมเจ้าแล้ว แต่ข้าบอกไว้ก่อนนะนี่เป็นโอกาสครั้งสุดท้ายของเจ้า หากเจ้าสร้างเรื่องให้ข้าอีก ชาตินี้ก็อย่าได้คิดจะออกความเห็นใดๆ อีกเลย!”
ใต้เท้าเจ้าสำนักเลยยิ้มร่า “รับประกันเลยว่าไม่สร้างเรื่องให้เจ้าแน่!”เมื่อได้เวลาดึกสงัด น้องชายกับพี่สะใภ้ก็ลักลอบออกไปจากจวน หลังจากมีประสบการณ์ชอกช้ำมาหลายครั้ง ครั้งนี้เรียกได้ว่าคุ้นทางคุ้นสถานที่เป็นอย่างดี
ทั้งสองไปหาสารถีท่าทางซื่อๆ ขึ้นนั่งรถม้าแล้วเร่งเดินทางไปยังบ้านที่จีซั่งชิงพักอาศัยอยู่ชั่วคราว เฉียวเวยถึงแม้จะไม่ได้ยินชัดกับหูว่าจีซั่งชิงอาศัยอยู่ที่ไหน แต่นางเคยเห็นผ่านตามาก่อนว่าบ้านและที่ดินของตระกูลจีอยู่ตรงไหนบ้าง นางจึงลองเดาเอาจากนิสัยของจีซั่งชิง เลยพอจะรู้ว่าเขาไปเลือกพักอยู่ที่ไหน
ไม่นานรถม้าก็มาถึงบ้านพักที่อยู่ห่างไปไม่ไกล ทั้งสองลงจากรถม้า เดินย่องไปตรงกำแพง แต่เพราะทั้งสองวิชาตัวเบาอ่อนด้อยด้วยกันทั้งคู่ จึงได้แต่ปีนเข้าไปแต่โดยดี
ใต้เท้าเจ้าสำนักยกหินก้อนหนึ่งมาวางไว้ริมกำแพง “ปีนกำแพงนี่ข้าชำนาญนัก ข้าจะขึ้นไปก่อนแล้วค่อยช่วยลากเจ้าขึ้นมา เจ้าอย่าทำเสียงดังไปล่ะ…”
พอพูดจบเขาหันไปก็เห็นเฉียวเวยที่ควรจะอยู่ด้านหลัง ไม่รู้ปีนขึ้นไปนั่งอยู่บนกำแพงตั้งแต่เมื่อไร “เจ้านี่นะ… เฮ่อ…”
เฉียวเวยยื่นมือไปดึงเขาขึ้นมา ปิดปากเขาไว้แน่น “อย่าเอะอะไป!”
ใต้เท้าเจ้าสำนักมองพื้นที่อยู่ห่างไปไกลแสนไกลแล้วกลั้นใจปิดปากเงียบ
เฉียวเวยกระโดดลงไปได้สบายๆ แล้วหันมาส่งสัญญาณมือให้เขา
ใต้เท้าเจ้าสำนักไม่ขยับ
เฉียวเวยถลึงตาใส่เขา ลงมาสิ!
ใต้เท้าเจ้าสำนักบิดนิ้วไปมา สูงไปน่ะ
เฉียวเวยเลยคว้าข้อเท้าเขาแล้วลากลงมาเสียเลย!
ที่น่าเอ่ยถึงก็คือ เขานั่งคร่อมอยู่บนกำแพง พอถูกลากลงไปเช่นนี้น้องไข่เขาเลยเกือบแหลกละเอียดไปเลยทีเดียว!
ใต้เท้าเจ้าสำนักหนีบสองขาแน่น เอามือกุมท้อง เหงื่อเป็นเม็ดๆ ผุดไม่หยุด
เฉียวเวยหูกระดิก “มีคนมา!”
พูดจบนางก็ดึงน้องสามีไปที่หลังภูเขาจำลอง ด้านหลังภูเขาจำลองมีหินก้อนเล็กที่ซุกซนอยู่ก้อนหนึ่ง
หลังจากผ่านไปแวบหนึ่ง ใต้เท้าเจ้าสำนักก็ใช้มือข้างหนึ่งวางลงข้างหน้า อีกมือหนึ่งวางลงข้างหลัง แล้วค่อยๆ ย่างเท้าออกจากหลังภูเขาจำลองด้วยสองขาที่สั่นระริก