หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 359-1 ความแตก ท่านพ่อจีรู้ความจริง (2)
ตอนที่ 359-1 ความแตก ท่านพ่อจีรู้ความจริง (2)
สวินหลันหลับสนิทรวดเดียวถึงเช้า จังหวะที่ลืมตาขึ้นนั้นนางมึนงงไปชั่วขณะ ก่อนจะลุกขึ้นนั่งทันที!
พัดสานที่วางอยู่ข้างหมอนร่วงลงกับพื้น หงเหมยที่กำลังซักเสื้อผ้าอยู่ที่ลานด้านนอกได้ยินเสียงเลยใช้ผ้าฝ้ายที่ตากอยู่บนเชือกเช็ดมือแล้วรีบมาที่ห้อง นางเคาะเบาๆ แล้วพูดว่า “ฮูหยิน ท่านตื่นแล้วหรือ”
สวินหลันหันมองไปโดยรอบ นัยน์ตามีประกายบางอย่างแวบขึ้นมา ขนตาสั่นระริกอยู่หลายครั้งขณะบอกว่า “ตื่นแล้ว”
“เช่นนั้นข้าเข้าไปนะเจ้าคะ” หงเหมยผลักประตูเดินเข้าไป เอ่ยทักทายสวินหลันแล้วหยิบเสื้อผ้าที่ซักสะอาดแล้วจากในหีบมาให้สวินหลันเปลี่ยน
สวินหลันจับกระดุมไว้ “ข้าทำเอง”
หงเหมยดึงมือกลับ แย้มยิ้มแล้วถามว่า “ฮูหยินเช้านี้อยากกินอะไรเจ้าคะ ข้าวต้มหรือว่าก๋วยเตี๋ยวดี เมื่อครู่ข้าไปซื้อเนื้อจากตลาดมานิดหน่อย จะทำเกี๊ยวก็ยังได้”
สวินหลันติดกระดุมเองเรียบร้อยแล้วเอามือลูบสะโพกที่ยังเจ็บอยู่เล็กน้อย เห็นได้ชัดว่านางไม่รู้ว่าอาการเจ็บนี้มาได้อย่างไร “เมื่อคืนข้า…”
หงเหมยทำตาโตมองสวินหลัน รอให้นางพูดให้จบ แต่สวินหลันกลับเปลี่ยนเรื่อง “ไม่มีอะไร”
หงเหมยยิ้มแหยๆ แล้วบอกว่า “เช่นนั้นข้าไปทำเกี๊ยวก่อนนะเจ้าคะ”
สวินหลันพยักหน้า หงเหมยเดินไปทางประตู จังหวะที่กำลังจะก้าวขาข้ามธรณีประตูนั้นก็ถูกสวินหลันเรียกเอาไว้ “เมื่อคืนนายท่านนอนพักที่ใด”
หงเหมยหันกลับไปตอบ “พักที่ห้องฮูหยินเจ้าค่ะ”
ดวงตาสวินหลันสั่นระริก
หงเหมยเห็นสีหน้าผู้เป็นนายไม่สู้ดี นางรับใช้ฮูหยินมานานเพียงนี้ นางไม่เคยเห็นฮูหยินทำสีหน้าเช่นนี้มาก่อน ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร คล้ายว่า…หวาดหวั่น? แต่หากเป็นเช่นนั้นก็คงน่าประหลาดมิใช่หรือ เหตุใดฮูหยินจะต้องหวาดหวั่นด้วย ไม่ใช่ครั้งแรกที่ร่วมหอกับนายท่านเสียหน่อย หรือนางจะกลัวว่าตนเองนอนไม่เรียบร้อยแล้วจะถูกนายท่านรังเกียจเอาอย่างนั้นหรือ
หงเหมยเลยคิดว่าตนเองคิดมากเกินไป
สีหน้าสวินหลันกลับมาสงบนิ่งดังเดิมอย่างรวดเร็ว นางถามหงเหมยว่า “นายท่านเล่า”
หงเหมยมองออกไปนอกประตู “ออกไปแล้วเจ้าค่ะ”
สวินหลันเอานิ้วบีบกระดุม “ออกไปตั้งแต่เมื่อไร”
หงเหมยคิดเล็กน้อยก่อนจะตอบว่า “ออกไปแน่ๆ เมื่อโมงยามที่เท่าไรบ่าวก็ไม่แน่ใจ เวลานั้นฟ้ายังไม่สว่าง บ่าวก็ได้ยินเสียงจากลานด้านนอกแล้ว คราแรกคิดว่าขโมยขโจรที่ไหนเข้ามา พอออกมาดูถึงได้เห็นว่าเป็นนายท่าน พอนายท่านออกไปแล้วบ่าวก็ไม่ได้นอนต่อ ลุกขึ้นมาทำงานเลย ฟ้าก็สว่างแล้วเจ้าค่ะ”
“นายท่านได้บอกรึไม่ว่าจะไปที่ใด” สวินหลันถามต่อ
หงเหมยส่ายหน้า “ไม่เจ้าค่ะ บ่าวไม่ได้พูดอะไรกับนายท่าน คิดดูแล้ว…นายท่านน่าจะไปหาเหล่าผู้อาวุโสตระกูล เพื่อไปทวงความยุติธรรมที่บ้านตระกูลจีกระมัง”
สวินหลันจับรอยยับตรงมุมเสื้อให้เรียบแล้วพูดเสียงเบาว่า “ข้ารู้แล้ว เจ้าออกไปเถิด”
หงเหมยตอบอ้อคำหนึ่งแล้วก้าวขาเดินออกไปข้างนอกอีกครั้ง แต่เพิ่งก้าวขาพ้นห้องไป นางก็เดินกลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมกับตีศีรษะเอ่ยว่า “ดูความจำข้าเข้า เกือบลืมเรื่องนี้ไปเลย!”
“เรื่องอะไร” สวินหลันถาม
สวินหลันควักจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากอกเสื้อแล้วส่งให้สวินหลัน “เมื่อเช้าตอนบ่าวเก็บกวาดในลาน บังเอิญเก็บจดหมายฉบับนี้ได้เจ้าค่ะ ไม่รู้ว่าผู้ใดสอดทิ้งไว้ใต้ประตู ด้านบนเห็นเขียนเป็นชื่อท่าน หากไม่ใช่เพราะบ่าวไปทำความสะอาดคงมองไม่เห็น”
สวินหลันมองลายนิ้วมือที่เขียนอยู่ด้านบนแล้วสีหน้าดูชะงักไปเล็กน้อย นางเอาจดหมายมาเปิดออกได้ครึ่งทางก็เอ่ยกับหงเหมยว่า “เจ้าไปทำเกี๊ยวเถิด ข้าอยากกินเกี๊ยว”
หงเหมยยิ้มร่าพลางพยักหน้า “เจ้าค่ะ!”
สวินหลันรอจนในห้องครัวส่งเสียงปักๆ แล้วถึงได้แกะจดหมาย บนจดหมายที่พับอยู่ รอยตัวอักษรที่กดแรงจนเห็นมาถึงข้างหลังทำให้เห็นอย่างชัดเจนว่ามีตัวอักษรเขียนอยู่สองแถว: วัดซานเซิงสือ ไม่เจอไม่กลับ
“วัดซานเซิงสือ…” สวินหลันลูบลายมือที่อยู่บนจดหมายแล้วเผยรอยยิ้มอย่างน้อยครั้งจะมีให้เห็น
หงเหมยทำอะไรว่องไว ไม่นานก็ห่อเกี๊ยวยี่สิบกว่าตัวเสร็จ ทั้งหมดลงไปอยู่ในหม้อที่น้ำกำลังเดือดพล่าน นางหยิบต้นหอมสองต้นไปล้างที่บ่อน้ำตรงสนาม พอเดินออกมาก็เห็นว่าสวินหลันเดินออกมาจากห้อง
สวินหลันใส่กระโปรงหลัวสีขาวรัดเอว แขนเสื้อกว้างพลิ้วราวกับก้อนเมฆทิ้งตัวน้อยๆ อยู่ข้างกาย ตรงปลายแขนม้วนเป็นสีทองอ่อนๆ ช่วงแต่งเติมสีสัน ทำให้นางมองดูแล้วมีกลิ่นอายความงดงามอย่างเทพเซียนมากขึ้นหลายส่วน นางผัดหน้าเล็กน้อย ทาผงสีชาดบางๆ บนริมฝีปาก มองดูแล้วไม่มีความอ่อนระโหยโรยแรงในช่วงหลายวันนี้ให้เห็นสักนิด ถึงแม้จะยังพอเหลือแววป่วยให้เห็นอยู่บ้าง แต่กลับงดงามอย่างบอกไม่ถูก
หงเหมยรับใช้สวินหลันมานานเพียงนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นผู้เป็นนายแต่งหน้าเสียงดงาม ผมเผ้าก้ไม่ได้รวบขึ้นง่ายๆ แต่ทำเป็นทรงเฟยเซียนที่สวยงาม ปิ่นที่ใช้เป็นปิ่นมุกรูปดอกไห่ถัง ซึ่งเป็นปิ่นที่นางมักใช้เป็นประจำ แต่นางไม่เคยดูงดงามจับใจเช่นในเวลานี้มาก่อน เวลานี้นางดูคล้าย…เด็กสาวที่อยู่ในวัยแรกแย้ม
หงเหมยมองสวินหลันเดินผ่านหน้าตนไปอย่างอึ้งๆ คงเพราะตกใจเกินไปจึงลืมถามกระทั่งว่าสวินหลันจะออกไปทำอะไรที่ใด
…
วัดซานเซิงสือไม่ใช่วัดที่เป็นวัดจริงๆ ที่ได้ชื่อนี้มาเป็นเพราะหินซานเซิงสือก้อนหนึ่ง ตอนหลังไม่รู้มีบัณฑิตคนใดสงสารหินซานเซิงสือก้อนนี้ เลยสร้างศาลาให้ด้านหลังมัน หลังจากนั้นก็มีคนมาสักการะบูชาอยู่เป็นระยะๆ เรื่องเล่าเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้มีมากมาย แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนที่จะเชื่อ แต่นั่นก็ไม่ส่งผลต่อการรวมตัวกันของบุรุษมากสามารถกับสตรีชั้นเลิศที่นี่ จากนั้นโดยรอบบริเวณนี้ก็มีศาลาชมทิวทัศน์ที่งดงามไม่เหมือนใครผุดขึ้นมากมาย จุดที่สวินหลันจะไปก็คือศาลารับลมที่อยู่สุดไปทางตะวันออก
เพราะอากาศที่ร้อนอบอ้าวติดต่อกันหลายวัน คนที่ออกมาเดินข้างนอกจึงน้อยลงไปมาก เลยทำให้ศาลารับลมในวัดซานเซิงสือพลอยเงียบเหงาไปด้วย
สวินหลันไม่ต้องพยายามมากในการหาศาลารับลมที่ตนต้องการ รอบๆ ศาลามีดอกหมู่ตันแข่งกันชูช่อสีสันสดใส ลมอ่อนๆ พัดผ่านพร้อมกับกลิ่นหอมของดอกไม้เป็นระยะๆ ตรงยอดศาลามีม่านไข่มุกทิ้งตัวส่องประกายลงมา เมื่อมองลอดม่านไข่มุกเข้าไปพอจะเห็นเงาคนร่างสูงใหญ่อยู่ในนั้น
สวินหลันค่อยๆ ก้าวเท้าขึ้นบันได ลูบม่านไข่มุกตรงศาลาแล้วเอ่ยว่า “เหตุใดเจ้าถึงคิดที่จะนัดข้ามาที่นี่ได้ เจ้ามีอะไรอยากพูดกับข้างั้นหรือ”
คนที่อยู่ในศาลาไม่มีปฏิกิริยาใดๆ
สวินหลันหลุบตาลง พยายามฉีกยิ้มแล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “เจ้านัดข้ามาที่นี่ อย่างไรก็คงต้องมีเหตุผลพิเศษ ใช่ว่าเจ้าคิดได้แล้วและคิดจะพาข้าหนีไปหรือไม่”
ตัวคนที่อยู่ในศาลาแข็งเกร็งไปเล็กน้อย
สวินหลันแหวกผ้าม่านออกแล้วค่อยๆ เดินไปด้านหลังเขา รวบรวมกำลังใจยื่นมือออกไปสวมกอดเขาจากด้านหลัง “หมิงซิว ข้ารอเจ้ามาแสนนาน…นานจนตัวข้าเองเกือบยืนหยัดต่อไปไม่ไหว…เจ้ารีบพาข้าหนีไป…หนีไปให้ไกลแสนไกล…แล้วไม่ต้องกลับมาอีก…”
ชายคนนั้นดึงมือนางออกอย่างเย็นชาแล้วหันกลับไปเรียบๆ สวินหลันพอตั้งใจมองหน้าก็พลันถอดสี
“ตกใจมากใช่หรือไม่” จีซั่งชิงมองนางด้วยสายตาเย็นชา
นางกำจดหมายในมือแน่น
จีซั่งชิงหยุดมองกระดาษจดหมายที่ถูกนางขยำจนเป็นก้อน บัณฑิตแห่งราชสำนักจะไม่รู้วิธีเลียนแบบลายมือผู้อื่นได้อย่างไร
ใบหน้าสวินหลันค่อยๆ ซีดเผือด
การแต่งเนื้อแต่งตัวของสวินหลันทิ่มแทงเข้าสู่ลูกในตาเขา สตรีแต่งกายเพื่อบุรุษที่ตนหมายปอง แต่ไหนแต่ไรมานางไม่ใช่ไม่ชอบแต่งเนื้อแต่งตัว แต่คร้านจะแต่งตัวต่างหาก เส้นเลือดตรงขมับของจีซั่งชิงเต้นตุบๆ ออกมา เส้นเลือดฝอยในตาก็คล้ายจะปริแตกออกมาได้ เขาอยู่มากว่าครึ่งชีวิต นี่น่าจะเป็นครั้งที่เขาเดือดดาลมากที่สุด ความรู้มากมายที่อัดแน่นอยู่ในตัว กลับหาคำเหมาะๆ ที่มาอธิบายสภาพอันน่าเวทนาของตนในเวลานี้เมื่อพบ สตรีที่เขารักและเอ็นดูมานานปี ในใจนางกลับมีบุรุษผู้อื่นอยู่ หนำซ้ำบุรุษผู้นั้นยังเป็น…ยังเป็น…
เขาคลื่นไส้คล้ายกลืนกินแมลงวันลงไปก็มิปาน!
สวินหลันมองเขาด้วยใบหน้าซีดเผือด นางเผยอปากแล้วหุบ แล้วเผยออยู่อย่างนั้น
จีซั่งชิงกำหมัดแน่นจนส่งเสียงดัง ไม่รู้ต้องใช้ความพยายามเท่าไรถึงทำให้ตนเองไม่โกรธจนจมูกบิดปากเบี้ยวได้ “ไม่ว่าจะคล้ายเพียงใดก็ไม่มีวันใช่เจาหมิงได้จริงๆ ตั้งแต่นี้ต่อไป เจ้ากับข้าขาดกัน ประตูบ้านตระกูลจีเจ้าก็อย่าได้คิดจะย่างกรายเข้าไปอีก! เจ้าดูแลตัวเองก็แล้วกัน!”
สวินหลันคว้าข้อมืออีกฝ่ายไว้ “ซั่งชิง!”
จีซั่งชิงสะบัดมือนางออกอย่างเฉยชา
สวินหลันเลยเปลี่ยนไปจับแขนเสื้อเขาแทน
จีซั่งชิงมองคนตรงหน้า ไอเย็นแล่นตั้งแต่ปลายเท้าขึ้นไปถึงศีรษะ ใจทั้งดวงของเขาเย็นวาบไปหมดแล้ว เขาเอ่ยด้วยความผิดหวังแล้วโกรธเกรี้ยวว่า “เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีก บอกว่าข้าเข้าใจผิด หรือจะบอกให้ข้าฟังที่เจ้าอธิบาย เช่นนั้นเจ้าก็อธิบายมาสิ ข้าฟังอยู่”
สวินหลันกลับพูดไม่ออก
เรื่องเช่นนี้ไม่ว่าอย่างไรก็แก้ไขอะไรกลับไปไม่ได้อีกแล้ว
“ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว?” จีซั่งชิงโกรธจนสองตาแดงก่ำ เจ็บจี๊ดอยู่ในอก ความรู้สึกผสมปนเปอยู่ด้วยกัน ทั้งเสียใจ โกรธเกลียด ผิดหวัง คลื่นไส้… เหมือนมีตาข่ายตาถี่ยิบที่ห่อคลุมใบหน้าของเขาไว้ กระทั่งหายใจก็ใกล้จะหายใจไม่ออกเต็มที!
สวินหลันมองเขาด้วยความเสียใจ “ซั่งชิง…”
จีซั่งชิงเอ่ยตัดบทนางด้วยความเดือดดาล “อย่ามาให้ข้าเห็นหน้าอีก! ตอนอยู่ที่สุสานตระกูลจีเจ้าบอกว่าเจ้าไม่ได้วางยาข้า ข้าเชื่อเจ้า เจ้าบอกว่าเจ้าอยากกลับบ้านตระกูลจี ข้าเชื่อเจ้า เจ้าบอกว่าเจ้าอยากให้กำเนิดบุตรให้ข้า ข้าก็เชื่อเจ้า… แต่เวลานี้ข้าไม่อาจเชื่อเจ้าได้อีกแล้ว ไม่ว่าเรื่องใดก็ไม่ได้อีกแล้ว”
สวินหลันจับแขนเสื้ออีกฝ่ายไว้แน่น นัยน์ตาสั่นไหว “ซั่งชิง…”
จีซั่งชิงไม่หันไปสบตานาง ดึงแขนเสื้อตนกลับมาโดยแรง เขายกเท้าเดินออกไป สวินหลันคิดจะตามไปแต่อย่างไรก็สู้บุรุษตัวใหญ่เช่นนี้ไม่ได้ ด้านหลังมีเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของสวินหลัน คล้ายว่านางสะดุดล้ม แต่จีซั่งชิงยังคงเดินหน้าต่อไปด้วยสายตาที่เรียบเย็น ไม่หันกลับไปมองเลยแม้แต่นิดเดียว
…