หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 364-2 มือมืดอันลึกลับ
ตอนที่ 364-2 มือมืดอันลึกลับ
ผิวที่อ่อนนุ่มถูกลวกจนส่งเสียงซู่ๆ สวินหลันเจ็บปวดแทบเป็นแทบตาย นางพยายามกัดฟันเอาไว้ แต่กระนั้นก็ยังกรีดร้องเสียงโหยหวนออกมาอยู่ดี!
บุรุษผู้นั้นยกนิ้วขึ้น
องครักษ์เอาแผ่นเหล็กออก
บุรุษผู้นั้นก้าวเข้าไปหา มองสวินหลันที่หายใจรวยรินในระยะใกล้ขึ้น นัยน์ตาไร้ซึ่งแววสงสาร “เวลานี้จะพูดความจริงได้หรือยัง”
สวินหลันตัวชุ่มเหงื่อ ร่างกายสั่นสะท้าน เอ่ยอย่างขุ่นเคืองแต่ไร้เรี่ยวแรงว่า “ข้าไม่รู้จริงๆ …ว่าเขาอยู่ที่ไหน…”
บุรุษผู้นั้นกดมือลงอีกครั้ง
องครักษ์หยิบเหล็กร้อนแผ่นใหม่ขึ้นมา ฉีกเสื้อข้างหลังนางออกแล้วกดลงบนแผ่นหลังขาวเนียนนั้นอย่างไร้ปราณี ในอากาศมีกลิ่นเนื้อถูกเผาลอยออกมา สวินหลันเจ็บจนสลบไป
องครักษ์เอาน้ำมาสาดปลุกให้นางตื่น
ครานี้นางไม่มีกระทั่งแรงจะลุกขึ้นนั่ง ได้แต่ฟุบอยู่บนพื้นเย็นๆ อย่างอ่อนแรง ริมฝีปากม่วงดำ สีหน้าซีดขาว
บุรุษผู้นั้นมองนางด้วยสีหน้าราบเรียบ “ยังจะไม่พูดอีกหรือ”
สวินหลันเอ่ยอย่างยากลำบากว่า “เจ้า…เจ้าฟังข้า…พูดให้จบ…ข้าไม่รู้จริงๆ…ว่าเขาอยู่ที่ใด…ข้ารู้เพียงว่า…ก่อนที่เขาจะหายตัวไป…เขาไปพบใคร…”
“ใคร?” บุรุษผู้นั้นถาม
“จีหมิงซิว” สวินหลันบอก
“จีหมิงซิว?” บุรุษผู้นั้นพึมพำชื่อนี้ขึ้นมา นัยน์ตามีแววงุนงงอันน่าประหลาดฉายให้เห็น “ทางที่ดีเจ้าอย่าได้โกหกจะดีกว่า มิเช่นนั้น ผลที่ตามมาคงไม่ใช่สิ่งที่เจ้าทนรับไหว”
สวินหลันบอกว่า “เจ้าไม่เชื่อข้าแล้วจะถามข้าไปไย”
บุรุษผู้นั้นหรี่ตา ไม่ได้โต้แย้งแต่อย่างใด
สวินหลันพูดต่อว่า “จีหมิงซิว…จับตัวอาจารย์ไสยเวทของจวนอ๋องไป…ให้เขาใช้เงินหนึ่งแสนตำลึงทองไปไถ่ตัว…เรื่องหลังจากนั้น…ข้าก็ไม่รู้แน่ชัดแล้ว…แต่ไม่มีใคร…สามารถเอาเปรียบ…จีหมิงซิวได้…”
บุรุษผู้นั้นครุ่นคิดไปพักหนึ่ง “ความหมายของเจ้าคือ…จีหมิงซิวเอาเงินค่าไถ่ไป แล้วก็จับตัวซื่อจื่อไปงั้นหรือ”
สวินหลันเอ่ยอย่างอ่อนล้า “เท่าที่ข้ารู้จักจีหมิงซิว เกรงว่าจะเป็นเช่นนั้น”
บุรุษผู้นั้นเพ่งมองสวินหลันนิ่งๆ พักหนึ่ง “คิดว่าจีหมิงซิวจะขังซื่อจื่อไว้ที่ใด”
สวินหลันส่ายหน้า “ไม่มีใครรู้…ของที่เขาไม่อยากให้ผู้อื่นหาพบ…ชาตินี้ก็ไม่มีวันหาพบ…”
บุรุษผู้นั้นถามว่า “เจ้ามีวิธีที่จะช่วยซื่อจื่อออกมาหรือไม่”
“ไม่มี”
“เจ้ามี”
สวินหลันนิ่งไป
บุรุษผู้นั้นหัวเราะออกมา “ข้าสืบเรื่องเกี่ยวกับเจ้ามาแล้วสวินซื่อ เจ้าเข้าไปอยู่บ้านตระกูลจีตั้งแต่อายุหกขวบ ก่อนจะกลับไปที่กูซูเมื่อตอนอายุสิบสาม สองปีต่อมาเจ้ากลับเข้าบ้านตระกูลจีอีกครั้ง หลังจากนั้นก็ไม่ได้ไปไหนอีกเลย ตอนเด็กๆ เจ้าได้รับการเลี้ยงดูอยู่ในจวนองค์หญิง โตมาด้วยกันกับจีหมิงซิว หากจะบอกว่าในโลกหล้านี้มีผู้ใดที่รู้จักจีหมิงซิวดีที่สุด คนผู้นั้นก็ต้องเป็นเจ้า เจ้ารู้ว่าทำอย่างไรเขาถึงจะยอมปล่อยซื่อจื่อ”
องครักษ์เห็นสวินหลันไม่พูดอะไรจึงยกแผ่นเหล็กขึ้นมาอีก แต่กระนั้นครั้งนี้ สวินหลันกลับไม่กระทั่งกะพริบตา
ในขณะที่องครักษ์จะทำการทรมานสวินหลันนั้น เขาก็ถูกชายผู้นั้นห้ามเอาไว้
บุรุษผู้นั้นย่อตัวลงมา บีบคางสวินหลัน ใช้น้ำเสียงแก่ชราที่น่าขนลุกค่อยๆ พูดออกมาว่า “ข้ายังรู้ด้วยว่าเจ้ามีบุตรชายอยู่คนหนึ่ง อันที่จริงเจ้าจะปากแข็งไปก็ไม่เป็นไร แต่ไม่รู้ว่าบุตรชายของเจ้าจะปากแข็งเช่นเจ้าหรือไม่”
สวินหลันส่งสายตาดุดันกลับไปทันที!
บุรุษผู้นั้นแย้มยิ้มเล็กน้อย “หรือไม่ก็ ข้าสามารถให้เงินจำนวนหนึ่งแก่เจ้าได้ ให้เจ้ากับลูกได้หนีไปไกลแสนไกล”
“เขาให้ความสำคัญกับความรัก”
“ว่าต่อไป”
สวินหลันเอ่ยเสียงต่ำว่า “ขอเพียงเจ้าจับตัวคนที่เขาห่วงหาที่สุดได้…ข่มขู่ให้เขาส่งตัวซื่อจื่อมา…เขาต้องตอบตกลงแน่”
บุรุษผู้นั้นยกมุมปากขึ้นอย่างรู้สึกสนใจ “คนที่เขาห่วงหามากที่สุดคือผู้ใด”
สวินหลันพลันกำหมัด “เฉียวเวย”
บุรุษผู้นั้นยิ้มออก “จั๋วหม่าน้อยแห่งชนเผ่าลึกลับข้าคงจับไม่ไหว มีคนอื่นอีกไหม”
สวินหลันตอบว่า “น้องชายเขา หรือไม่ก็…ลูกของเขา”
…
เดิมทีตำแหน่งของสำนักศึกษาหนานซานนั้นเลือกให้ตั้งอยู่ชานเมือง ที่ทางแถวชานเมืองค่อนข้างถูก ทั้งยังมีแม่น้ำภูเขามาก เหมาะแก่การสร้างโรงเรียน แต่เมื่อศิษย์ของสำนักศึกษามากเข้า ร้านรวงโดยรอบก็มากขึ้นตาม หลังจากผ่านไปสิบปี ความเจริญของพื้นที่แห่งนี้จึงเป็นรองเพียงในตัวเมืองเท่านั้น รอบด้านมีร้านรวงผุดขึ้นมาไม่น้อย ที่พบเห็นมากที่สุดคือร้านอาหาร รองลงมือคือร้านขายหนังสือกับร้านขายผ้า ร้านช่างไม้มีน้อย มีเพียงสองร้านเท่านั้น ช่วงนี้เถ้าแก่ของหนึ่งในร้านนั้นเกิดปัญหาบางอย่างขึ้นจึงทำให้ต้องปิดร้านไป ร้านที่เหลือจึงกลายเป็นร้านไม้ร้านเดียวที่เหลืออยู่นอกสำนักศึกษา
อาจารย์ที่รับผิดชอบกิจการงานของสำนักศึกษามาที่ร้านช่างไม้แห่งนี้ เถ้าแก่ออกมาต้อนรับขับสู้ด้วยความยินดี “อาจารย์จ้าวเองหรือ วันนี้ที่มาเพราะอยากได้อะไรหรือ”
อาจารย์จ้าวถอนหายใจก่อนบอกว่า “เมื่อหลายวันก่อนฝนตกหนักไม่ใช่หรือ เพิงม้าอันหนึ่งที่ไม่ได้ซ่อมแซมมานานปีถูกพัดจนล้ม สำนักศึกษาเลยคิดอยากจะสร้างใหม่เสียเลย ร้านเจ้าทำเพิงม้าได้หรือไม่”
เถ้าแก่ยิ้มบอกว่า “ดูท่านพูดเข้า ร้านข้ามีอะไรบ้างที่ทำไม่ได้ ขอเพียงท่านบอกมาว่าอยากสร้างใหญ่เพียงไหน ข้าจะคิดราคาถูกที่สุดและใช้วัสดุชั้นเลิศที่สุดให้ท่านเลย!”
อาจารย์จ้าว “เรื่องราคาจะไม่เอาเปรียบเจ้าหรอก เจ้าทำให้ดีก็แล้วกัน อีกเดี๋ยวเจ้าพาคนไปที่สำนักศึกษา เดี๋ยวข้าจะบอกให้ว่าอยากได้แบบใด อ้อแล้วก็ โต๊ะหนังสือในห้องอธิการพังเสียแล้ว เจ้าช่วยไปซ่อมให้ด้วยเลยที”
“ขอรับ!” เถ้าแก่ตอบรับโดยไม่มีลังเล
อาจารย์จ้าวชี้ไปทางสำนักศึกษา “ไม่มีอะไรงั้นข้าไปก่อนล่ะ เจ้าอย่าช้านักล่ะ ม้าของพวกนักเรียนกำลังรอใช้เพิงม้าอยู่”
เถ้าแก่ยิ้มพร้อมพลางบอกว่า “เดี๋ยวข้าไปเรียกคนมาก่อน จะทำข้ามคืนให้เสร็จเลยขอรับ!”
อาจารย์จ้าวพยักหน้าแล้วเอ่ยย้ำอีกครั้งว่า “สำคัญคือโต๊ะของอาจารย์อธิการ”
เถ้าแก่รีบบอกว่า “โต๊ะเดี๋ยวจะไปซ่อมเดี๋ยวนี้! เสี่ยวไหวเอ๋ย!”
“ขอรับ ท่านพ่อ!” เด็กหนุ่มร่างกำยำน่าเอ็นดูคนหนึ่งวิ่งออกมา
เถ้าแก่บอกว่า “เจ้าไปเอาเครื่องไม้เครื่องมือมา ไปซ่อมโต๊ะหนังสือให้อธิการที”
“ขอรับ!” เด็กหนุ่มกลับห้องไปแบกกล่องเครื่องมือแล้วเข้าสำนักศึกษาไปพร้อมกับอาจารย์จ้าว
ส่วนเถ้าแก่กลับไปที่ตลาดที่อยู่ละแวกนั้นแล้วเลือกบุรุษร่างกำยำที่รับจ้างชั่วคราวมาจำนวนหนึ่ง คนที่ทำงานในสายอาชีพนี้โดยมากตนเองก็เป็นช่างไม้อยู่แล้ว หากต้องเลี้ยงลูกจ้างไว้เจ็ดแปดคนก็คงไม่คุ้มค่า ช่วงเฟื่องฟูคงไม่เท่าไร แต่ช่วงซบเซาที่ไม่มีงานก็ยังต้องให้เงินค่าจ้าง นับเป็นเรื่องที่เข้าเนื้อเสียยิ่งกว่าอะไร ดังนั้นพวกเขาพอรับงานมาก็จะไปเลือกคนจากในตลาด คนเหล่านี้โดยมากมักทำอะไรเป็นอย่างละนิดอย่างละหน่อย ที่ซับซ้อนอาจจะไม่เก่งนัก แต่ให้ช่วยเป็นลูกมือก็พอถมถืด
เถ้าแก่เลือกคนที่คุ้นหน้าคุ้นตากันมาจำนวนหนึ่ง แต่ก็ยังไม่พออยู่ดี จึงหันไปมองหน้าคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ดูไม่คุ้นตา ในบรดาคนกลุ่มนี้มีคนหนึ่งที่รูปร่างดูกำยำเป็นพิเศษ แขนใหญ่ล่ำ แต่ดูก็รู้แล้วว่าต้องแรงดีมาก
เขาเดินเข้าไปถามคนผู้นั้นว่า “เจ้าทำงานวันหนึ่งคิดเท่าไร”
บุรุษร่างกำยำผู้นั้นทำมือบอก
เถ้าแก่บอกว่า “แปดสิบอีกแปะหรือ มากเกินไปแล้ว! ห้าสิบจะทำหรือไม่ เจ้าเป็นมือใหม่ ให้เจ้าห้าสิบก็นับว่าไม่เลวแล้ว หากทำได้ดีครั้งหน้าจะขึ้นราคาให้!”
บุรุษร่างกำยำจึงพยักหน้า
เถ้าแก่ถามว่า “เจ้าชื่ออะไรเล่า”
บุรุษร่างกำยำชี้ไปที่คอ เถ้าแก่ก็เข้าใจ “เป็นใบ้หรือ ดีเลย เรียกเจ้าว่าไอใบ้ก็แล้วกัน ไปเถิด เอาของไปด้วย ได้เวลาทำงานแล้ว! ทำงานข้ามคืน รวมอาหารเย็นกับมื้อดึกด้วย!”
บุรุษร่างกำยำหยิบไม้คานที่พื้นขึ้นมาแล้วเดินตามเถ้าแก่กับคนอื่นๆ ที่เหลือไปที่สำนักศึกษา
เวลานี้ใกล้ได้เวลาอาหารเที่ยงแล้ว ลูกศิษย์ที่อยู่ในสนามหญ้าได้กลิ่นอาหารที่ลอยมาจากโรงอาหาร ท้องก็พากันร้องโครกคราก แต่เพราะเพิงม้าตรงนี้พังไป พวกเขาจึงจำต้องขี่ม้าไปยังเพิงอีกแห่งหนึ่ง
ทุกคนขี่อยู่บนหลังม้า ยกเว้นแต่วั่งซู
วั่งซูก็อยากขี่ม้ามากเช่นกัน แต่ช่วยไม่ได้นี่
ม้าคนอื่นกินอาหารมื้อหนึ่งก็อยู่ได้ตลอดเช้า แต่ม้าของนางกินอิ่มมื้อหนึ่งอยู่ได้เพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้น ที่เป็นเช่นนี้เพราะเจ้าของตัวหนักเกินไป ต้องใช้พละกำลังมากเกินไป
วั่งซูจูงสายบังเหียน เดินคอตกไปข้างหน้า ระหว่างที่เดินนั้นก็คอยเอามือลูบท้องไปด้วย “หิวจังเลย เจ้าเดินเร็วหน่อยได้หรือไม่ พวกพี่ชายไปกินข้าวกันหมดแล้ว…”
ทุกคนเดินกันไปไกลแล้ว เหลือแค่นางคนเดียว ข้าหิวมากเลยนะ!
ม้าตัวน้อยหิวกว่านางเสียอีก ต้องแบกเจ้าก้อนอ้วนกลมหนักๆ ขนาดนี้มาตลอดเช้า ผู้ใดเลยจะเข้าใจความทุกข์ระทมของม้าอย่างข้า
วั่งซูเดินคอตกต่อไป ไม่ทันสังเกตว่าตอนเดินผ่านเพิงม้าหลังเก่า ชายร่างกำยำที่แบกท่อนไม้ลอบเขยิบเข้ามาอยู่หลังนางเงียบๆ
ชายร่างกำยำค่อยๆ ขยับเข้าใกล้นาง ยื่นมือออกไปหมายจะคว้าคอเด็กน้อยไว้ แต่แล้วจู่ๆ กลับได้ยินเสียงดังแหะ ถุงผ้าใบเล็กของนางตกลงกับพื้น นางย่อตัวลงไปเก็บ มือของชายร่างกำยำจึงคว้าได้เพียงความว่างเปล่า
วั่งซูเก็บถุงผ้าขึ้นมาอย่างเรียบร้อย จูงม้าตัวน้อยแล้วเดินหน้าต่อไป
ชายร่างกำยำกำหมัด หยิบถุงป่านออกมาจากอกเสื้อค่อยๆ เปิดออกแล้วจะเอาครอบศีรษะน้อยๆ ของวั่งซู!
วั่งซูหันกลับมามองเขาตาแป๋ว มือที่ถือถุงป่านอยู่พลันชะงักค้างอยู่กลางอากาศ
วั่งซูถามด้วยความประหลาดใจว่า “ท่านอา ท่านกำลังทำอะไรหรือ”
“ข้า…” สายตาชายร่างกำยำพลันเปลี่ยน ในใจมีความรู้สึกผิดแล่นขึ้นมา แต่แล้วจู่ๆ สายตาเขาก็เหลือบไปเห็นผ้าเช็ดหน้าที่มีคนทำตกไว้บนพื้น “ม้าของเจ้าเหยียบผ้าเช็ดหน้าข้าน่ะ”
วั่งซูมองไปยังม้าตัวน้อย “เสี่ยวเฮย เจ้าเขยิบหน่อย ยกขาขึ้นมาเร็วเข้า เจ้าเหยียบถูกของของท่านอาแล้ว”
ม้าตัวน้อยไม่ขยับ
วั่งซูถอนหายใจด้วยความจนใจ หมุนตัวไปหยิบผ้าเช็ดหน้า
ชายร่างกำยำยกถุงผ้าป่านในมือขึ้นอีกครั้ง แต่ใครจะรู้ว่าจู่ๆ วั่งซูจะยกม้าทั้งตัวขึ้นมา ชายร่างกำยำถึงกับอึ้งงันไปทันที
วั่งซูหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาส่งคืนให้เขา “นี่”
ชายร่างกำยำมองวั่งซูแล้วมองม้าซีหนานที่ถูกนางยกขึ้นสูง ตัวเขาก็แข็งค้างไปทันที!