หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 384-1 การจู่โจมยามราตรี รวบจับ (3)
ตอนที่ 384-1 การจู่โจมยามราตรี รวบจับ (3)
วันต่อมาท้องฟ้ายังไม่ทันสว่าง จีหมิงซิวก็ออกไปประชุมขุนนางแล้ว เฉียวเวยตรากตรำมาทั้งคืน แต่กลับไม่ง่วงงุนเท่าใดนัก นางลุกตั้งแต่เช้ามาตรวจดูบัญชี จิ่งอวิ๋นกับหลิวเกอร์ก็ตื่นแล้ว ส่วนเจ้าตุ้ยนุ้ยยังคงกรนคร่อกนอนอุตุ
เฉียวเวยเดินไปที่ห้องด้านข้างอุ้มเจ้าอ้วนที่ซุกอยู่ในกองผ้าห่มออกมา
อากาศเย็นแล้วจึงนอนเพลินได้ง่าย
เจ้าตัวกลมนอนน้ำลายไหลยืด เฉียวเวยแตะศีรษะนางอยู่หลายทีก็ไม่เห็นนางจะลืมตาตื่นขึ้นมา
ยอมใจเจ้าเด็กอ้วนคนนี้จริงๆ!
เฉียวเวยวางเจ้าตุ้ยนุ้ยกลับไปบนเตียง จากนั้นจึงลุกขึ้นไปหยิบเสื้อผ้าของสำนักศึกษาให้นาง
วั่งซูบิดก้นน้อยๆ ของตัวเองแล้วนอนคว่ำอยู่บนหัวเตียงดูเหมือนลูกแพนด้าอ้วนตุ๊ต๊ะตัวหนึ่ง ปากส่งเสียงกรนเบาๆ อย่างสม่ำสมอออกมาเป็นระยะ
เฉียวเวยทั้งฉุนทั้งขบขัน ตบก้นน้อยเนื้อแน่นของนางเบาๆ นางบิดก้นหนีอย่างขุ่นเคือง ท่าทีเอาแต่ใจอันน่ารักน่าชังนั่นทำเอาเฉียวเวยถูกความน่ารักเล่นงานจนใจละลาย
เฉียวเวยอุ้มเจ้าอ้วนตัวน้อยเข้ามาในอ้อมแขน วั่งซูปรือตาขึ้นอย่างง่วงงุน พอเห็นว่าเป็นมารดาของตนเองก็รีบหลับตาลงอย่างรวดเร็วอีกครั้ง นอนหลับไปอย่างไม่สนใจไยดีอีกหน
“ผู้ใดตามใจเจ้าจนกลายเป็นเช่นนี้นะ ต้องตื่นเอง สวมเสื้อผ้าเอง เข้าใจหรือไม่” เฉียวเวยพูดอย่างเคร่งครัดจบก็วางเสื้อผ้าไว้แล้วเดินออกไป
หลังจากนางเดินออกไปไม่นาน เงาคนร่างหนึ่งก็เข้ามาอย่างลับๆ ล่อๆ เงาคนร่างนั้นปิดประตูอย่างลับๆ ล่อๆ จากนั้นก็มาถึงหน้าเตียงอย่างลับๆ ล่อๆ มองตุ๊กตาเด็กผู้หญิงตัวน้อยที่ราวกับหยกแกะสลักคนนั้นบนฟูกเตียง น้ำลายไหลยืดอย่างละโมบ
เงาคนหอมแก้มน้อยของวั่งซู จากนั้นก็หอมมือน้อยของวั่งซูอย่างรักใคร่วางไม่ลง!
วั่งซูปรือตาขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ “เอ๋ ท่านย่าเล็กหรือเจ้าคะ”
ฮองเฮาเยี่ยหลัวยิ้มอย่างขัดเขิน แล้วกระซิบเสียงเบาอย่างยิ่ง “ข้าสวมเสื้อผ้าให้เจ้าดีหรือไม่”
วั่งซูอ้าปากหาว “ดีเจ้าค่ะ”
ฮองเฮาเยี่ยหลัวดีใจแทบแย่ นางหยิบเสื้อผ้ามาสวมให้เจ้าตุ้ยนุ้ย ร่างกายเล็กจ้อยนุ่มนิ่ม ดวงหน้าน้อยอวบอิ่ม ไม่ว่าสวมอย่างไรก็ชวนให้ชอบอกชอบใจ วั่งซูก็ให้ความร่วมมืออย่างยิ่ง ตอนที่ควรยื่นมือก็ยื่นมือ ตอนที่ควรยื่นขาก็ยื่นขา เสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวมยุ่งยากซับซ้อนถูกสวมใส่จนเสร็จอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้น ฮองเฮาเยี่ยหลัวก็จะอุ้มวั่งซู…
เอ๋ อุ้มไม่ขยับเลย
นางจึงจูงวั่งซูไปหน้าโต๊ะเครื่องแป้งสีทองแทน นางหยิบหวีทองคำอันวิจิตรประณีตขึ้นมา จากนั้นประคองเส้นผมยาวที่ทั้งดำขลับและอ่อนนุ่มของวั่งซูราวกับกำลังประคองสมบัติล้ำค่าหายาก แล้วเริ่มหวีอย่างพิถีพิถัน
นางอยากได้บุตรสาวมาตลอด แต่กลับมีแต่บุตรชายเพียงคนเดียว โชคชะตาช่างกลั่นแกล้งคนเสียจริงๆ
วั่งซูงีบหลับครู่หนึ่ง รอจนกระทั่งลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง นางก็เกือบจะจำแม่นางน้อยในกระจกไม่ได้ เปียที่งดงามถึงเพียงนี้ เป็นเส้นผมของนางจริงหรือ
“โอ้โห ท่านย่าเล็กท่านทำผมให้สวยเช่นนี้ได้อย่างไรกันเจ้าคะ”
มารดาบังเกิดเกล้าหวีผมให้นางได้น่าเกลียดเป็นที่สุด ท่านยายก็ทำผมได้น่าเกลียดไม่แพ้กัน พี่สาวปี้เอ๋อร์กับพี่สาวฉานเอ๋อร์ยังพอจะไปวัดไปวาได้ แต่ทุกคนทำสู้ท่านย่าเล็กไม่ได้อย่างสิ้นเชิง!
ฮองเฮาเยี่ยหลัวยิ้มอย่างเบิกบานใจ “ก่อนหน้านี้ข้ามักจะทำผมให้ลูกชายอยู่เสมอ แต่ต่อมาเขาเติบใหญ่แล้วจึงไม่ยอมให้ข้าทำผมให้อีก“
อดีตอันดำมืดในชีวิตขององค์ชายสามก็คือถูกเลี้ยงดูให้โตมาแบบองค์หญิงน้อยนี่เอง!
…
หนึ่งเค่อต่อมาเมื่อวั่งซูออกมาปรากฏตัวต่อหน้าทุกคนราวกับเจ้าหญิงตัวน้อย แทบทุกคนก็ตกตะลึง พวกเขาทราบว่าเด็กน้อยคนนี้งดงาม แต่ไม่รู้ว่าจะงดงามได้ถึงเพียงนี้ ไม่มีถ้อยคำใดจะพรรณนารูปโฉมของนางได้ นางงดงามจนทำให้คนพูดไม่ออกอย่างแท้จริง
องค์ชายสามเบ้ปากแค่นเสียงเหอะ หากตอนยังเล็กเขางดงามถึงเพียงนี้ สวมประโปรงสักหน่อยเขาก็คงทนได้อยู่หรอก
คนทั้งครอบครัวเริ่มต้นทานอาหารเช้า
จะว่าไปแล้วก็บังเอิญยิ่งนัก ครึ่งคืนหลังมีฝนตกลงมาหนหนึ่งทำให้กลิ่นคาวเลือดน้อยนิดที่หลงเหลืออยู่ในลานบ้านถูกชะล้างไปจนสะอาดเกลี้ยง การบุกจู่โจมของนักรบมรณะเมื่อคืนวาน มีเพียงจิ่งอวิ๋นที่นอนหลับไม่ค่อยสนิทได้ยินเสียงเอะอะอยู่บ้าง ส่วนวั่งซูกับหลิวเกอร์รวมถึงฮองเฮาเยี่ยหลัวและองค์ชายสามต่างหลับสนิทตลอดทั้งคืน
ไม่ใช่ทุกคนที่หลับสบาย ใต้เท้าเจ้าสำนักเหมือนจะหลับไม่สนิทนัก เขาแบกรอยคล้ำใต้ตาสีดำเข้มวงเบ้อเริ่มกับใบหน้าหมองคล้ำออกมา
พอหันไปมององค์ชายสามที่นอนห้องเดียวกันกับเขา นั่นเรียกว่าสดใสกระปรี้ประเปร่าอย่างแท้จริง
เมื่อคืนวานเป็นค่ำคืนที่องค์ชายสามหลับสบายที่สุดตั้งแต่จำความได้ ได้กอดหมอนข้างตลอดทั้งคืน สบายยิ่งนัก!
ส่วนใต้เท้าเจ้าสำนักที่ถูกกอดตลอดทั้งคืนเห็นชัดว่าไม่ได้สบายเช่นนั้น กระดูกของเขาปวดร้าวไปหมด ต้นขาเองก็ชาจนไม่รู้สึกแล้ว…
…
หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ ใต้เท้าเจ้าสำนักกับฟู่เสวี่ยเยียนก็ส่งเด็กๆ ไปเรียน องค์ชายสามตามต้อยๆ ไปด้วย
เฉียวเวยพาฮองเฮาเยี่ยหลัวไปเยี่ยมจีซั่งชิง ไม่ว่าอย่างไรจีซั่งชิงก็เป็นสามีของเจาหมิง แม้เจาหมิงจะไม่ฟื้นกลับมาจากความตาย แต่เป็นน้องสาวของนางที่กลับมาแทน แต่พี่เขยคนนี้อย่างเขาก็มีสิทธิรู้ความจริง
ตลอดทางพวกนางเจอบ่าวรับใช้ที่เคยเห็นเฟิ่งชิงเกอหลายคน พวกเขาคิดว่า ‘แม่นางหลี่’ แห่งเรือนถงกลับมาอีกแล้ว แต่เฉียวเวยไม่อธิบายอะไร จูงมือฮองเฮาเยี่ยหลัวเข้าไปในเรือนถง
เมื่อวานจีซั่งชิงตกน้ำ ต้องดิ้นรนอยู่ไม่รู้นานเท่าใดถึงถูกองครักษ์ที่ผ่านทางมาช่วยไว้ได้ หลังจากช่วยขึ้นมาฟ้าก็มืดมากแล้ว เขาจึงไม่ไปรบกวนเฉียวเวย แต่หาน้ำขิงดื่มเองสักถ้วย แล้วทายาจินชวงให้ตนเองนิดหน่อย
ต้องขอบอกว่าพอถูกทุบตีมากเข้า ร่างกายก็ทนทานขึ้นตาม บาดแผลเช่นนี้ หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงนอนซมอยู่เป็นเดือน แต่หนนี้เขามีแรงลุกจากเตียงแล้ว!
แต่ก็เพียงครู่เดียวเท่านั้น ไม่ทันไรเขาก็ปวดร้าวไปทั้งตัวจนต้องกลับลงไปนอนใหม่
ได้ยินว่าเฉียวเวยพาคนสำคัญคนหนึ่งมาพบเขา เขาครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ให้เฉียวเวยเข้ามาได้
ตอนนั้นเองเขาก็มองเห็น ‘เฟิ่งชิงเกอ’ อย่างคิดไม่ถึง ส่วนฮองเฮาเยี่ยหลัวเองก็เห็น ‘เขี้ยวเล็บเฒ่าของราชครู’ อย่างไม่คิดสงสัยสักนิด แล้ว ‘เขี้ยวเล็บเฒ่า’ คนนี้ยังนอนอยู่บนเตียงของตระกูลจี ทุกคนในห้องยังทำท่าเคารพนบนอบต่อเขากันหมดอีกด้วย เสี่ยวเวยเวยของนางเรียกเขาว่า “ท่านพ่อ”
ท่านพ่อ…
ท่านพ่อหรือ!
พี่เขยของนางหรือ!
ดวงตาของฮองเฮาเยี่ยหลัวเบิกค้างในพริบตา!
อีกฟากหนึ่งจีซั่งชิงพองขนแล้ว เขาไม่สนใจอาการปวดร้าวทั่วร่าง ตวาดด่าใส่หน้าทันควัน “เฟิ่งชิงเกอ! เจ้ายังมีหน้ามาอีกหรือ!”
จีซั่งชิงมีเหตุผลที่จะชิงชังเฟิ่งชิงเกอผู้เคยปลอมตัวเป็นองค์หญิงเจาหมิง ปฏิกิริยาของจีซั่งชิงจึงไม่ทำให้เฉียวเวยสงสัยสักนิด เฉียวเวยหันไปมองฮองเฮาเยี่ยหลัว จากนั้นบอกเสียงเบาว่า “ท่านพ่อ นางไม่ใช่เฟิ่งชิงเกอ”
ฮองเฮาเยี่ยหลัวตั้งสติ จากนั้นเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ถูกต้องแล้ว ข้าไม่ใช่เฟิ่งชิงเกอ เจ้าจำคนผิดแล้ว”
จีซั่งชิงตอบอย่างไม่หยุดคิดแม้แต่น้อย “ไม่ใช่เจ้าแล้วยังมีผู้ใดกล้าสวมใบหน้าของเจาหมิงอีก!”
ลูกตาของฮองเฮาเยี่ยหลัวกลอกไปมา