หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 390-1 ซัดน่วมอยู่ฝ่ายเดียว คว้าชัยชนะครั้งใหญ่ (1)
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก
- ตอนที่ 390-1 ซัดน่วมอยู่ฝ่ายเดียว คว้าชัยชนะครั้งใหญ่ (1)
ตอนที่ 390-1 ซัดน่วมอยู่ฝ่ายเดียว คว้าชัยชนะครั้งใหญ่ (1)
กล่าวกันตามตรง ยามทุกคนเห็นแม่นางน้อยคนหนึ่งออกมาสู้ศึกด้วย ทุกคนต่างตกตะลึงอย่างยิ่ง แต่ปฏิกิริยาของท่านราชครูคนนั้นออกจะมากเกินไปหน่อยหรือไม่
คนที่รู้อาจเห็นว่าท่านตกใจ แต่คนที่ไม่รู้คงคิดว่าท่านตะลึงจนตัวแข็งค้างไปแล้ว
ท่านจะไม่หนักแน่นเกินไปแล้วกระมัง!
ธนูคันนั้นร่วงตกลงบนโต๊ะขององค์ชายรองเผ่าซยงหนีว์อย่างตรงเผง น้ำชาขององค์ชายรองหกคว่ำ กระเด็นมาเปื้อนเขาทั้งตัว ไหลเปียกไปถึงกางเกง
แต่องค์ชายรองกลับออกคำสั่งข้ารับใช้อย่างใจเย็นและหนักแน่น “นำธนูไปคืนให้ท่านราชครู”
บ่าวรับใช้ประคองธนูคันโตสีดำวาววับด้วยสองมือ ก่อนจะก้าวเดินขึ้นไปบนเวทีประลองส่งให้ราชครูแห่งเยี่ยหลัวด้วยกิริยาอันนอบน้อม
ศิษย์ทั้งหลายจากตำหนักราชครูที่มีศิษย์เอกเป็นหัวหน้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดอาจารย์จึงเสียอาการเช่นนี้ หลายวันก่อนราชครูถูกคนทำร้ายจนบาดเจ็บหนักในเขตพระราชวัง พวกเขารู้ว่าไม่ใช่ฝีมือมือสังหาร แต่พวกเขาเองก็ไม่ทราบว่าผู้ใดเป็นคนทำ
ราชครูไม่พูดอันใดทั้งสิ้น พวกเขาจึงคิดว่าราชครูฝึกธนูจันทร์โลหิตพลาดจนถูกผลสะท้อนกลับของธนูจันทร์โลหิตทำร้าย ดังนั้นพวกเขาจึงยิ่งฉงนกับปฏิกิริยาเช่นนี้ของราชครูมากกว่าขุนนางของต้าเหลียงเสียอีก
ไม่ใช่แค่เด็กน้อยคนหนึ่งหรอกหรือ เหตุไฉนจึง…จึงทำท่าเช่นนั้นเล่า
ศิษย์ทั้งหลายมองหน้ากัน แต่ติดที่ความน่าเกรงขามของอาจารย์ แม้มีความสงสัยเต็มอกก็ต้องฝืนกดลงไป
ฮ่องเต้กระแอม ผู้อื่นไม่รู้จักแม่นางน้อยคนนั้น แต่พระองค์จะไม่รู้จักได้หรือ
เจ้าเด็กนี่กินยาอะไรผิดมาหรืออย่างไร เหตุใดจึงพาลูกสาวคนเล็กของตัวเองมาสู้ศึกด้วย นี่หากไม่ใช่ว่าเขาเป็นบ้า พระองค์ก็คงตาฝ้าฟางแล้วเป็นแน่แท้
จีหมิงซิวไม่มีเจตนาจะตอบข้อสงสัยของทุกคนสักนิด เขาอมยิ้มมองราชครูแห่งเยี่ยหลัวที่อยู่ฝั่งตรงข้าม มุมปากยกโค้งเอ่ยขึ้นว่า “ท่านราชครูไม่เห็นต้องตกอกตกใจถึงเพียงนั้น ก็แค่การประลองฝีมือ เล่นกันให้สนุกก็พอ”
เล่นกัน…ให้สนุก…
มุมปากของท่านราชครูเริ่มกระตุก
ศิษย์ทั้งหลายมองอาจารย์ของตนเองอย่างแปลกใจ พวกเขาคิดไปเองใช่หรือไม่ เหตุใดจึงรู้สึกว่าสีหน้าของอาจารย์แปลกพิกล…
จีหมิงซิวหัวเราะหยอก “ปฏิกิริยาของท่านราชครูนี่ช่างน่าสนใจจริงเชียว คงไม่ใช่ว่า…เกิดกลัวขึ้นมาแล้วกระมัง”
“เจ้าพูดจาเหลวไหล!” ศิษย์เอกถูกยั่วยุจนโมโหก็ตวาดอย่างไม่ไว้หน้า “อาจารย์ของข้าจะกลัวพวกเจ้าได้อย่างไร อาจารย์ของข้าเพียงแต่ไม่อยากทำร้ายผู้บริสุทธิ์ก็เท่านั้น! เจ้าคิดให้ดีๆ!”
จีหมิงซิวเลิกคิ้วเรียวของตนขึ้นแล้วพูดว่า “หากอาจารย์ของเจ้าไม่อยากทำร้ายผู้บริสุทธิ์จริง มิสู้เปลี่ยนคนอื่นมาขึ้นประลองเถอะ”
ศิษย์เอกโต้เสียงเย็นชา “นั่นจะได้อย่างไร ธนูจันทร์โลหิตมีเพียงอาจารย์ของข้าที่ใช้ได้เพียงผู้เดียว!”
จีหมิงซิวแสร้งทำหน้ามึนงง “ไม่ใช่แค่ธนูคันหนึ่งหรือ เหตุใดจึงมีแต่อาจารย์ของเจ้าที่ใช้ได้ เจ้าคงไม่ได้หลอกข้ากระมัง”
ศิษย์เอกเอ่ยอย่างหยิ่งยโส “ข้าจะหลอกเจ้าทำอะไร ธนูจันทร์โลหิตเป็นสมบัติศักดิ์สิทธิ์ประจำตำหนักราชครูของพวกเรา ใช่ธนูที่ให้ใครๆ มาใช้ได้เสียที่ไหน หากไม่เชื่อเจ้าก็มาลองดูเอง หากมิใช่ผู้สืบทอดตำหนักราชครูแต่ละรุ่นก็ไม่มีผู้ใดง้างธนูจันทร์โลหิตได้อีก!”
“อืม มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ” จีหมิงซิวทำหน้าไม่อยากเชื่อ
ศิษย์เอกว่าอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าหมายความว่าอย่างไร หรือเจ้าคิดว่าอาจารย์ของข้าเป็นผู้ใหญ่ตั้งใจรังแกผู้น้อย ไม่ยอมหาคนรุ่นเดียวกับเจ้ามาขันแข่งเช่นนั้นหรือ อาจารย์ของข้าออมมือให้เจ้ามากแล้ว เจ้าไม่ต้องเอาชนะอาจารย์ของข้า เพียงต้านไว้ได้เป็นเวลาหนึ่งก้านธูปเท่านั้นก็พอ!”
วั่งซูมองบิดากับท่านอาคนนั้นอย่างแปลกใจ พวกเขาพูดอะไรกัน เหตุใดผู้ใหญ่ไม่พูดจาให้มันรู้เรื่อง นางฟังไม่เข้าใจอยู่เรื่อยเลย!
จีหมิงซิวหัวเราะ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็เริ่มเถิด!”
เมื่อกล่าวจบ จีหมิงซิวก็ลงไปนั่งขัดสมาธิบนพื้นอีกด้านหนึ่งของเวทีประลอง จากนั้นเสแสร้งทำท่าสัญลักษณ์มือ
การประลอง…เริ่มต้นขึ้นแล้ว
คนส่วนใหญ่ที่นั่นต่างไม่เคยเห็นพลังของธนูจันทร์โลหิต แม้แต่เรื่องเล่าเกี่ยวกับมัน พวกเขาก็รู้น้อยยิ่งนัก ทุกคนเพิ่งจะไปเสริมความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ราชวงศ์เทียนฉี่มาหลังจากฐานะสมาชิกชนเผ่าลึกลับของจีหมิงซิวกับเฉียวเวยถูกเปิดเผยนี่เอง แต่ในข้อมูลเหล่านั้นก็มีบันทึกเกี่ยวกับธนูจันทร์โลหิตอยู่เพียงกะปริดกะปรอยเท่านั้น บันทึกเพียงบอกว่ามันมีพลังมหาศาล แต่พลังมหาศาลที่ว่าแท้จริงแล้วเป็นเช่นไร ทุกคนได้แต่จินตนาการเท่านั้น
แต่ดูจากบรรยากาศของฝั่งตำหนักราชครู สิ่งที่ตระกูลจีต้องเผชิญหน้าคงจะไม่ใช่สถานการณ์ที่ง่ายดายเป็นแน่
หลังจากนั้นท่านราชครูก็ง้างสายธนูอย่างเชื่องช้า เพียงพริบตา…หัวใจของทุกคนก็ขึ้นมาจุกอยู่ที่คอ
ท่านราชครูรู้ความสามารถของเจ้าตุ้ยนุ้ยคนนี้ดี เขาย่อมไม่ยิงเจ้าอ้วนตัวจ้อยคนนี้อีก สายตามองข้ามวั่งซูไปจับบนร่างจีหมิงซิวอย่างเย็นชา
ในเวลาเดียวกันนั้นธนูของเขาก็หันไปเล็งที่จีหมิงซิว ฟึบ! แล้วยิง ‘ลูกธนู’ ออกไป!
พร้อมกับการเคลื่อนไหวของเขา คนทั้งหมดต่างสัมผัสได้ถึงขุมพลังมหาศาลสายหนึ่ง
หากกระบวนท่านี้ตกต้องบนร่างของอัครมหาเสนาบดี สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาพวกเขาไม่อยากจะคิด!
ในตอนที่ทุกคนกำฝ่ามือที่เต็มไปด้วยเหงื่อกาฬเย็นเฉียบแทนจีหมิงซิว เงาร่างเล็กจ้อยที่ยืนแกร่วอยู่บนเวทีนานแล้วร่างนั้นก็ขยับ
ทุกคนไม่ทันสังเกตแม้แต่น้อยว่านางเคลื่อนไหวอย่างไร รอจนกระทั่งทุกคนรู้สึกตัว นางก็กระโดดไปอยู่ตรงหน้าจีหมิงซิวแล้ว นางกางสองแขนออก ใช้แผ่นหลังบังการโจมตีนั่นเต็มๆ
แม้นางจะบังเอาไว้แล้ว แต่ร่างกายเล็กจ้อยกลับทนรับภาระหนักหน่วงไม่ไหว นางกระตุกอย่างแรง จากนั้นทั้งร่างก็แข็งทื่อไปสองพริบตา ก่อนจะค่อยๆ หันร่างกลับมาอย่างเชื่องช้า มือกุมหน้าอก มองราชครูอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ท่าน…อ้ากกกก”
พูดยังไม่ทันจบ นางพลันกรีดร้องอย่างทุกข์ทรมานแล้วซวนเซล้มลงบนพื้น
ทุกคนตะลึงนิ่งค้าง
เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น
คุณหนูเล็กของตระกูลอัครมหาเสนาบดี…ตายด้วยลูกธนูของราชครูเยี่ยหลัวหรือ
เหตุใดจึงเกิดโศกนาฏกรรมเช่นนี้ขึ้นมาได้
ยิ่งไปกว่านั้นหากพวกเขามองไม่ผิด แม่นางน้อยคนนั้นพุ่งออกไปด้วยตัวเอง…
เหตุใดจึงมีแม่นางน้อยที่รู้ความเช่นนี้กันหนอ
นี่มันช่าง ช่าง…
ในใจทุกคนเพิ่งคิดประโยคนั้นได้เพียงครึ่งเดียว ก็เห็นแม่นางน้อยที่ ‘ชีพจรขาดสะบั้น’ แล้วคนนั้นเงยหน้าขวับขึ้นมาร้องว่า “ท้าดา!”
บัดซบ! แกล้งตายหรอกหรือ!
ทุกคนตกใจจนเกือบจะร่วงตกจากเก้าอี้แล้ว!
แม้แต่ราชครูที่คาดเดาผลลัพธ์เช่นนี้เอาไว้อยู่แล้วก็ยังเลิกคิ้วอย่างอดไม่ได้
ท่านราชครูกำหมัดแน่น ไม่ทราบว่าต้องใช้พละกำลังมากเท่าใดจึงห้ามตัวเองไม่ให้เดินหนีจากไป
ลูกศิษย์ตำหนักราชครูเจ็ดคนข้างกายเขามองอึ้งงันอย่างสมบูรณ์ เมื่อครู่พวกเขาตาลายใช่หรือไม่ อาจารย์ยิงพลาดจากแม่นางน้อยคนนี้ใช่หรือไม่ เหตุใดนางดูเหมือนคนไม่เป็นอะไรสักอย่างเลยเล่า
ไม่ถูกต้องสิ เมื่อครู่นางล้มลงไปแล้วแท้ๆ!
วั่งซูยิ้มจนตาหยีลุกขึ้นมาบอกว่า “เอาอีก!”
ลูกศิษย์ทั้งหลายหันไปมองอาจารย์ของตนเองด้วยสีหน้าตกตะลึง
สายตาของท่านราชครูมองธนูในมือนิ่งๆ จากนั้นมองไปทางจีหมิงซิวอย่างลังเลครู่หนึ่ง จีหมิงซิวหนังตาไม่กระตุกสักนิด เขาเสแสร้งแกล้งทำท่ามือต่อไป
เฉียวเวยที่อยู่ด้านล่างของเวทีเกือบจะหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง หากวันใดพวกเขาหมดตัวขึ้นมา พ่อลูกไปเป็นนักต้มตุ๋นคงจะเหมาะอย่างยิ่ง!
ท่านราชครูหรี่ตาลงท่าทางอันตราย เขาขยับธนูเล็งวั่งซูอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อยแล้วง้างธนูจนสุดสาย คิดไม่ถึงว่าชั่วพริบตาที่เขากำลังจะปล่อยสายธนู เขากลับเปลี่ยนทิศทางอย่างฉับพลัน ยิงไปทางจีหมิงซิวที่อยู่ด้านหลัง