หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 401-1 สับประยุทธ์สี่ทิศ
ตอนที่ 401-1 สับประยุทธ์สี่ทิศ
ท้องนภาปลอดโปร่ง โลกหล้าสงบสุข บุรุษผู้สวมอาภรณ์สีแดงถือร่มกระดาษน้ำมันสีขาวพิสุทธิ์ที่บนผืนร่มวาดลายดอกท้อไว้หลายกิ่ง ยามทอดสายตายลคนงามราวกับหยก แลคล้ายทิวทัศน์อันงดงามภาพหนึ่งบนโลกมนุษย์ หากว่ามองข้ามเรื่องที่วันนี้ไม่มีทั้งฝน ไม่มีทั้งแดด มีแต่อากาศอึมครึมเย็นเฉียบของวันฟ้าโปร่งในฤดูใบไม้ร่วงล่ะก็นะ
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเดินอยู่ด้านหลังเขา พลางแค่นเสียงหยันอย่างดูแคลน จากนั้นเบ่งกล้ามแขนของตัวเองอวดเลียนแบบเสี่ยวไป๋ แสดงความเป็นเอกบุรุษอันภาคภูมิใจของตัวเอง
“เจ้า เข้าไป”
พร้อมกับที่เสียงเย็นชาของบุรุษดังขึ้น กระดาษขาวที่เขียนรายการอยู่เต็มไปหมดแผ่นหนึ่งก็ลอยเข้ามาในมือของเยี่ยนเฟยเจวี๋ย
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยแค่นเสียงดังเหอะแล้วว่า “ทำอะไร ข้าอ่านหนังสือไม่ออกสักหน่อย!”
ก็ไม่เชิงว่าอ่านไม่ออกทั้งหมด เพียงแต่อ่านออกไม่มาก ไม่อยากถูกเจ้าหมอนี่ใช้งานถึงพูดเช่นนี้ก็เท่านั้น
เขาตอบว่า “เจ้าอ่านหนังสือไม่ออกก็ไม่เป็นอะไร ผู้ดูแลร้านอ่านออกก็พอแล้ว”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเดินเข้าไปในร้านอย่างไม่ใคร่จะยินยอม ไม่นานเขาก็หิ้วถุงใบใหญ่ใบน้อยเดินออกมา หน้าดำทะมึนบอกว่า “ซื้อของบ้าอะไรบ้างเนี่ย! คราวนี้เจ้าพอใจแล้วหรือยัง”
เขาตอบอย่างไม่เกรงใจ “ก็พอใช้ได้”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยมุมปากกระตุก ท่านปู่คนนี้เป็นวัวเป็นม้าให้เจ้า เจ้ายังจะบอกว่าแค่พอใช้ได้หรือ
เจ้าหนู อย่าตกมาอยู่ในกำมือของท่านปู่คนนี้เชียว ข้าจะให้เจ้าได้เห็นดีแน่!
หลังจากนั้นทั้งสามคนก็ซื้อข้าวของในตลาดอีกไม่น้อย ทั้งสามคนหมายถึงชายหนุ่ม เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับองครักษ์หนุ่มที่ถูกพื้นรองเท้าฟาดหลังกะโหลกเมื่อครู่คนนั้น
องครักษ์หนุ่มพอออกมาข้างนอกก็เชื่อฟังทีเดียว ให้เขาทำอะไรเขาก็ทำสิ่งนั้น ใช้งานง่ายยิ่งกว่าเยี่ยนเฟยเจวี๋ยมาก
หลังจากซื้อของอยู่ราวครึ่งชั่วยาม ในที่สุดชายหนุ่มก็กลับมาขึ้นรถม้า แล้วสั่งองครักษ์หนุ่มสองสามคำ องครักษ์หนุ่มหวดแส้ บังคับอาชาร่างกำยำวิ่งฝุ่นตลบจากไป
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยไม่ยอมแพ้ เขากระโดดขึ้นรถม้าคว้าสายบังเหียนแล้วตวาดเสียงดัง “ย่า!”
รถม้าวิ่งตามไป
จีอู๋ซวงยังคงนั่งอยู่ด้านนอก ทิ้งด้านในตัวรถม้าไว้ให้สองสามีภรรยาหนุ่มสาวผู้น่าสงสารคู่นี้
เฉียวเวยถูกจีหมิงซิวกอดไว้ในอ้อมแขนแน่น สองตาปิดสนิท สีหน้าซีดเผือด จีหมิงซิวใช้ผ้าห่มขนสัตว์ห่อตัวนางไว้ แก้มแนบกับพวงแก้มของนางแผ่วเบา
เขาสัมผัสได้ว่าไออุ่นบนร่างของนางค่อยๆ ไหลหายไป ร่างกายเย็นเฉียบลงทีละนิดๆ แม้แต่ลมหายใจก็แผ่วเบาลงไปมากแล้ว
“ไม่ได้บอกว่าสิบสองชั่วยามหรือ ตอนนี้ยังผ่านไปไม่ถึงครึ่ง เหตุไฉนนางถึง…” คำพูดต่อจากนั้น จีหมิงซิวมิอาจเอ่ยออกจากปากได้แล้ว
ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ในตัวรถม้าที่แล่นอยู่เคียงกันถอนหายใจแผ่วเบาแล้วบอกว่า “หากเป็นผู้อื่นย่อมมีเวลาสิบสองชั่วยาม แต่สาวน้อยคนนี้พิเศษอยู่บ้าง นางคงทนนานถึงเพียงนั้นไม่ไหว”
แม้จีหมิงซิวจะรู้ดีว่าร่างกายของเฉียวเวยพิเศษกว่าคนธรรมดา แต่ก็ยังถามออกมาอย่างไม่รู้ตัว “นางมีตรงไหนพิเศษกันแน่”
“ตรงไหนก็พิเศษทั้งนั้น” บุรุษผู้นั้นเอ่ยจบก็ไม่มีทีท่าว่าจะตอบคำถามอีก เขาปล่อยม่านลงมา
จีหมิงซิวกอดเฉียวเวยเอาไว้แน่น จุมพิตหน้าผากอันเย็นเฉียบของนางอย่างอ่อนโยน
ไม่เคยมีห้วงเวลาใดที่เขาหวาดกลัวการสูญเสียเท่านี้มาก่อน แม้แต่หัวใจก็ร้าวราน
เมื่ออยู่เบื้องหน้าความเป็นความตาย ทุกสิ่งล้วนมิใช่เรื่องใหญ่ เมื่อเทียบกับสิ่งนี้แล้ว ความวิตกกังวลอันเล็กจ้อยยามเห็นนางกับยิ่นอ๋องอยู่ด้วยกันไม่มีค่าให้เอ่ยถึงอย่างสิ้นเชิง
การสูญเสียที่แท้จริงคือการพรากจากกันอยู่คนละภพ นับจากนี้ไม่ว่าลืมตาตื่นขึ้นมาอีกกี่หน ข้างหมอนล้วนไม่มีร่างของคนผู้นั้นอยู่อีกต่อไป
‘ข้าลงมาเค้นถามเพื่อจะหาตัวคนร้าย! ท่านอย่าใจแคบเช่นนี้สิ!’
‘ท่านไม่ใจแคบหรอก ข้าใจแคบเอง…ข้า…ข้ามันคนไม่ละเอียดอ่อน’
‘เข้าใจแล้วๆ! ไม่ไปหาแล้ว! หลังจากนี้จะไม่ไปหาอีกแล้วพอใจหรือไม่’
‘ยังโกรธอยู่อีกหรือ ข้าก็ไม่ได้ทำอันใดเสียหน่อย ก็แค่ประคองเขาครั้งเดียวเท่านั้น’
‘พวกบุรุษอย่างท่านนี่มันจริงๆ เชียว ทะเลาะก็ส่วนทะเลาะสิ เหตุใดต้องไม่ยอมให้แตะตัวด้วยเล่า!’
ความเจ็บปวดรวดร้าวแล่นริ้วในหัวใจของจีหมิงซิว ริมฝีปากสั่นระริกประทับลงบนจอนผมของนาง “ให้เจ้าแตะ ตรงไหนก็ให้ทั้งนั้น เจ้ารีบตื่นขึ้นมาเถิด…”
…
รถม้าแล่นขึ้นเหนือตลอดทางจนแล่นออกจากประตูเมืองทิศเหนือของเมืองหลวง หลังจากนั้นก็ยังคงแล่นขึ้นเหนือต่อ
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเร่งรถม้าอย่างฉงนงงงวย เขาถามองครักษ์หนุ่มด้านข้าง “เฮ้ย นี่จะไปที่ใดกัน”
องครักษ์หนุ่มตอบอย่างไม่สบอารมณ์ “ไปถึงเดี๋ยวก็รู้เอง”
เอากับมันสิ นายท่านเป็นเช่นไร บ่าวก็เป็นเช่นนั้น ดูเจ้าเด็กน้อยไม่เห็นหัวผู้ใดคนนี้สิ!
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยไม่ถือสาหาความอะไรกับเด็ก อีกฝ่ายไม่ยินดีพูดด้วย เขาก็ไม่ชวนคุยให้ถูกเมินอีก ถึงอย่างไรเจ้าหมอนั่นก็รับปากนายน้อยแล้ว คงไม่ถึงขั้นพาพวกเขาทั้งก๊กไปขายหรอก
รถม้าสองคันแล่นเคียงกันไปเป็นเวลานาน เริ่มแรกยังวิ่งอยู่บนถนนหลวง ต่อมาไม่รู้ว่าอย่างไร รถม้าขององครักษ์หนุ่มจึงเลี้ยวเข้าไปในถนนเส้นน้อยที่ไร้ผู้คนเส้นหนึ่ง
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยได้แต่ตามไปอย่างรวดเร็ว
รถม้าโคลงเคลง เลี้ยวจากทางเส้นน้อยเข้าไปในป่า
แต่ไม่ว่าจะเลี้ยวอย่างไร เส้นทางก็ยังคงมุ่งขึ้นเหนือ
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยฉงนงงงวยแล้ว เหตุใดต้องวิ่งขึ้นเหนืออยู่ตลอด นี่จะเดินทางไปให้ถึงเผ่าซยงหนีว์เลยหรืออย่างไร
องครักษ์หนุ่มตอบข้อสงสัยของเขาอย่างหาได้ยาก “เรื่องนี้เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ ทิศเหนือปราณหยินเข้มข้นอย่างไรเล่า!”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเผลอจับสายบังเหียนไม่มั่นจนรถม้าหวิดจะตกลงไปในแม่น้ำ
ไม่ใช่แค่แม่หนูบาดเจ็บหรอกหรือ ปราณหยินเข้มข้นมาเกี่ยวอะไรด้วย!
ตอนที่รถม้าทั้งสองคันมาถึงที่หมาย ท้องฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว รัตติกาลล้อมเข้ามาสี่ด้าน แสงอัสดงสายสุดท้ายเหลือเพียงริบหรี่เหนือยอดเขาที่รายล้อม ราวกับว่ามีฝ่ามือยักษ์ล่องหนข้างหนึ่งกำลังจะรวบทิวทัศน์ของขุนเขาและสายธาราเหล่านี้เก็บเข้าไปในกระเป๋าทีละน้อย
สถานที่ตรงนี้นับว่ามีทิวทัศน์ภูเขาและสายน้ำอันงดงาม สามด้านล้อมด้วยขุนเขา อีกด้านหนึ่งชิดริมน้ำ ไม่ทราบว่าเพราะอยู่ห่างไกลเกินไปหรืออย่างไร ตลอดทางที่เดินทางมาจึงไม่เห็นบ้านเรือนคนอาศัยแต่อย่างใด
เจ้าหอเมามายให้องครักษ์หนุ่มจอดรถม้าใต้ต้นไม้ ส่วนตนเองเดินไปยังที่ว่างห่างจากผืนทะเลสาบราวสองจั้ง เดินไปพลางก็ใช้ก้าวเท้าวัดอะไรไปด้วย ส่วนปากก็ท่องถ้อยคำบางอย่าง
จีอู๋ซวงกระโดดลงมาจากรถม้า เขาเปิดม่านหน้าต่างรถจากด้านนอกแล้วบอกจีหมิงซิวว่า “นายน้อย ถึงแล้วขอรับ”
จีหมิงซิวกอดเฉียวเวยแน่นขึ้นอีกนิด แววตาล้ำลึกมองทิวทัศน์นอกหน้าต่าง
“เขากำลังพึมพำอันใดอยู่” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยงึมงำเดินเข้ามาหา ก่อนจะหันไปทางเฉียวเวยแล้วถามว่า “นางเป็นอย่างไรบ้างขอรับ”
จีหมิงซิวลูบหน้าผากที่เย็นเฉียบแทบจะไม่หลงเหลือไออุ่นแล้วของเฉียวเวย แล้วตอบเสียงเบา “ไม่ค่อยดี”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถอนหายใจอย่างจนหนทาง แม่หนูคนนี้ตอนกระโดดโลดเต้นมีชีวิตชีวา หนึ่งกำปั้นก็ต่อยวัวตายได้ แม้แต่ยาสลบก็ทำอันใดนางไม่ได้ ผู้ใดจะคิดว่าถูกธนูยิงดอกเดียวจะบาดเจ็บจนกลายเป็นสภาพเช่นนี้
ช่างทำให้คนปวดใจจริงเชียว!
ในใจของจีอู๋ซวงก็ไม่ได้รู้สึกดีนัก ตามหลักแล้วเขาไม่ถูกกับเฉียวเวย เมื่อเฉียวเวยเกิดเรื่อง เขาสมควรจะแอบหัวเราะเงียบๆ ถึงจะถูก แต่เมื่อเห็นจีหมิงซิวนิ่งงันไม่พูดไม่จา เขาก็ดีใจไม่ออกสักนิดแล้ว
พอครุ่นคิดให้ดีๆ แล้ว แม่หนูคนนั้นก็เหมือนจะไม่น่าชังชังถึงขนาดนั้น
หวังว่าเจ้าหมอนี่จะมีความสามารถจริงๆ อย่าทำให้โลหิตหัวใจของนายน้อยต้องเสียเปล่า
อีกฝั่งหนึ่งชายหนุ่มคล้ายจะเลือกตำแหน่งที่เหมาะสมได้แล้ว เขารับชาดกระปุกหนึ่งมาจากมือขององครักษ์หนุ่ม จากนั้นจึงใช้ชาดแทนหมึก วาดวงกลมบนพื้น
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยข่มกลั้นความสงสัยใคร่รู้ในใจไม่ไหวจึงนั่งยองๆ ใช้นิ้วแตะชาดนิดหนึ่งขึ้นมาขยี้เบาๆ แล้วถามว่า “นี่มันชาดธรรมดาไม่ใช่หรือ”
องครักษ์หนุ่มยืดอกตอบว่า “แน่นอนว่าไม่ใช่ นี่คือชาดโลหิตหงส์ต่างหาก!”
ชาด ชาดโลหิตหงส์หรือ
กระปุกใหญ่ขนาดนี้เชียว!
ต้องรู้ก่อนว่าช่วงก่อนหน้านี้พวกเขาเคยไปเยือนหอเมามายเพื่อใช้เงินถึงห้าหมื่นตำลึงซื้อชาดครึ่งก้อนกลับมา แต่เจ้าหมอนี่ควักออกมาทีกลับควักออกมาหนึ่งกระปุกใหญ่!
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยไม่รู้ว่าสมควรด่าเจ้าหมอนี่ว่าเจ้าเล่ห์หลอกเอาเงินพวกเขา หรือสมควรชื่นชมที่เขายอมเสียสละสมบัติมากมายถึงขนาดนี้อย่างไม่เห็นแก่ตัวดี
ชายหนุ่มวาดวงกลมเสร็จก็ให้องครักษ์หนุ่มนำของที่ซื้อหาจากตลาดออกมาทั้งหมด หลังจากนั้นก็ตั้งโต๊ะบวงสรวงเล็กๆ อย่างเรียบง่ายด้านนอกวงกลม ก่อนจะจุดธูป แปะยันต์บนโต๊ะบวงสรวง หากยามนี้เฉียวเวยได้สติขึ้นมา นางจะต้องรู้สึกแน่ว่าสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ละม้ายคล้ายกับพิธีกรรมที่จีหมิงซิวทำตอนกำจัดพิษไสยเวทให้เหอจั๋วอยู่บ้าง
เขาตั้งโต๊ะบวงสรวงเสร็จก็ผูกโคมไฟสีแดงดวงหนึ่ง “หากโคมไฟดวงนี้ไม่ดับ นางก็จะไม่ตาย”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยขานอ้อคำหนึ่ง “แล้วถ้ามันดับเล่า”
จีอู๋ซวงทนไม่ไหว พองขนตบกะโหลกเขาอย่างแรงทันควัน “เจ้าไอ้คนปากซวย! ถอนคำพูดเดี๋ยวนี้! ถอนคำพูดเลย! ถอนคำพูดเสีย!”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยรีบสบถแล้วบอกว่า “ข้าถอนคำพูด!”
ชายหนุ่มจุดเทียนไขด้านในดวงโคม แล้ววางไว้ใจกลางโต๊ะบวงสรวง