หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 415-2 ซาลาเปาน้อย หงายไพ่ยิ่นอ๋อง
ตอนที่ 415-2 ซาลาเปาน้อย หงายไพ่ยิ่นอ๋อง
ยิ่นอ๋องผู้นี้ตอนเล่นลูกไม้ล่ะแพรวพราวยิ่งนัก แต่พอมาถึงเรื่องของหรงเฟยกลับทึ่มทื่อราวกับแท่งไม้กระนั้น ช่างอยากเด็ดหัวเขาออกมาใส่สมองเข้าไปนัก!
สายตาเฉียวเวยเปลี่ยนไป เปล่งประกายวาววับขณะเอ่ยว่า “เจ้าเคยได้ยินเรื่องชะมดเปลี่ยนตัวรัชทายาทหรือไม่”
“เปลี่ยนตัวรัชทายาทอะไรกัน” ยิ่นอ๋องถาม
เฉียวเวยบอกว่า “ชะมดหมายถึงฮองเฮาที่ไม่มีบุตรเป็นของตนเอง แต่กลับเอาบุตรของผู้อื่นมาเลี้ยงเป็นลูก”
ยิ่นอ๋องพลันขมวดคิ้ว “เจ้าจะบอกว่ารัชทายาทมิใช่บุตรในอุทรของฮองเฮางั้นหรือ”
ข้าหมายถึงเจ้าไม่ใช่บุตรในอุทรของฮองเฮาต่างหาก!
ไม่ใช่สิ เจ้าไม่ใช่บุตรในอุทรของหรงเฟยต่างหาก!
เฮ่อ นี่มันอะไรกันนะ
เฉียวเวยถอนหายใจทีหนึ่ง ตัดสินใจที่จะไม่พูดเรื่องนี้ก่อนชั่วคราว นางวกกลับมาเอ่ยเรื่องหรงเฟยอีกครั้ง “เจ้าเป็นเพียงคนเดียวที่จะชี้ตัวหรงเฟยได้ เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าบางทีนางอาจคิดอยากสังหารเจ้า”
ยิ่นอ๋องนิ่งไป
เฉียวเวยเอามือกุมหน้าผาก นางมองออกแล้ว ขอเพียงหรงเฟยยังเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดยิ่นอ๋องอยู่ ยิ่นอ๋องไม่มีทางทรยศหรงเฟยแน่นอน ผู้ใดเลยจะรู้ว่าหรงเฟยที่วางแผนสารพัดเพื่อเล่นงานเขา แต่ด้วยความคาดหวังในสายเลือดที่ฝังลึกอยู่ในกระดูกนั้น ทำให้เขาหักใจลงมือไม่ลงอยู่ดี
เอาเถิด รอให้ข้าหาหลักฐานว่าหรงเฟยไม่ใช่มารดาเจ้าให้ได้ก่อนเถิด เจ้ารอยอมรับว่าตนตาบอดได้เลย!
…
หลังจากเฉียวเจิงรักษาบาดแผลให้ทั้งสองแล้ว เขาก็ไปพูดคุยกับเฮ่อหลันชิงและหลานๆ อยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็ออกไปหาซื้อขนมมาให้พวกเขากิน ครั้งก่อนที่เฮ่อหลันชิงมายังเหมืองหลวงคือเมื่อสิบห้าปีก่อน ไม่รู้ว่าเมืองหลวงในเวลานี้เป็นเช่นไรบ้าง เพียงแต่เวลานี้นางนึกอยากกินขนมกุ้ยฮวาร้านที่ตนเคยกิน วั่งซูอยากกินถังหูลู่ จิ่งอวิ๋นกับหลิวเกอร์ก็อยากกินถังหูลู่เช่นกัน
ถังหูลู่มีอยู่เต็มถนน ไม่นานก็หาซื้อได้ กลับเป็นร้านขนมกุ้ยฮวาที่เฮ่อหลันชิงเคยกินร้านนั้นที่อยู่ไกลจากหอหลิงจือ จำต้องเดินไปอีกสองช่วงถนน
เฉียวเจิงใช้ทางลัด ลัดเลาะตามซอกซอยเล็กๆ ไป เช่นนี้แล้วถึงทำให้ประหยัดเวลาไปครึ่งหนึ่ง ในขณะที่เขากำลังจะเลี้ยวเข้าไปในตรอกที่สามนั้น จู่ๆ ถนนข้างหน้าก็มีรถม้าวิ่งมาจากทางเหนือมุ่งหน้าไปทางใต้ รถม้ามาค่อนข้างเร็ว เขาก็เพิ่งออกมาจากตรอก จึงเกือบถูกรถม้าชนเข้า
โชคดีที่เขาคว้ากำแพงไว้ได้ทัน ตัวจึงไม่ทันถลำออกไป
แต่ท่านยายที่อีกตรอกหนึ่งกลับไม่โชคดีเช่นนั้น แทบจะทันทีที่เดินพ้นตรอกมาก็ถูกรถม้าชนเข้าทันที รถม้าไม่หยุดมองสักนิด มุ่งหน้าต่อไปทันที
ท่านยายล้มจนลุกไม่ขึ้น ได้แต่ร้องโอดโอยอยู่กับพื้น
ผู้คนแถวนั้นพากันเข้ามารุม มองท่านยายพร้อมถอนหายใจ
เฉียวเจิงอยากรีบไปซื้อขนมกุ้ยฮวาเพื่อกลับไปอยู่กับพวกเฮ่อหลันชิง จึงไม่ได้เข้าไปผสมโรงด้วย แต่เสียงร้องของท่านยายฟังดูน่าสงสารเกินไปจริงๆ เขาเลยกัดฟันกลับหลังหันแล้วเบียดแทรกฝูงชนเข้าไป “ถอยหน่อยๆ ข้าเป็นหมอ”
ทุกคนพอได้ยินว่าเป็นหมอก็หลีกทางให้ทันที
เฉียวเจิงย่อตัวลงเอ่ยกับท่านยายว่า “ท่านยาย เจ้าเจ็บตรงไหนบ้าง บอกข้าข้า ข้าเป็นหมอ”
ท่านยายพอได้ยินที่เฉียวเจิงบอกก็เช็ดน้ำตาตรงหางตา จับขาขวาอย่างน่าสงสาร “ขาข้า…”
เฉียวเจิงบีบข้อเท้าที่นางจับไว้ “ตรงนี้หรือ”
“โอ้ย…” ท่านยายร้องลั่นด้วยความเจ็บ
เฉียเจิงบีบสูงขึ้นอีกนิด “ตรงนี้เล่า”
ท่านยายส่ายหน้าพร้อมหายใจแรง “ตรงนี้…ไม่เจ็บ”
“ตรงนี้เล่า” เฉียวเจิงกดหลังเท้านางอีกครั้ง
“โอ้ยๆๆๆ…” ท่านยายร้องเสียงหลง “ขาข้าหักแล้วหรือไม่”
เฉียวเจิงมองแผลนางแล้วบอกว่า “ท่านยาย เท้าเจ้าไม่ได้หัก เพียงแค่แพลงเท่านั้น ทายานวดหน่อย พักผ่อนบนเตียงอีกครึ่งเดือนก็น่าจะลงเดินได้แล้ว ตอนข้าออกมาไม่ได้พกยามาด้วย ข้าพาเจ้าไปส่งที่ร้านยาแถวนี้ก็แล้วกัน”
ท่านยายเอ่ยอย่างน่าสงสาร “ไม่ต้องหรอก ไปร้านยาก็ต้องใช้เงิน…พ่อหนุ่มเจ้าช่างเป็นคนดี บ้านข้าอยู่ไม่ไกลนี้เอง เจ้าประคองข้ากลับไปแล้วกัน ข้านอนพักรักษาตัวเองก็พอ!”
แผลที่เท้าเช่นนี้ หากเป็นคนหนุ่มสาวไม่ต้องทายาก็สามารถหายได้เอง แต่อีกฝ่ายอายุมากแล้ว ยังจำเป็นต้องทายาช่วย
เฉียวเจิงเอ่ยอย่างใจดี “หรือไม่เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่ก็แล้วกัน ข้าขอไปซื้อของก่อนแล้วเดี๋ยวจะพาเจ้าไปที่หอหลิงจือ ไม่คิดเงินเจ้าหรอก!”
ท่านยายรีบโบกมือ “ไม่ต้องๆ ไม่ต้องลำบากเจ้าหรอก เจ้ามีธุระก็รีบไป ข้ากลับเองได้”
พูดจบนางก็ใช้มือยันพื้นแล้วค่อยๆ ลุกขึ้น แต่ยังไม่ทันยืนได้ดีก็ล้มลงไปอีกครั้ง!
เฉียวเจิงมือไวตาไวประคองอีกฝ่ายไว้แล้วถอนหายใจบอกว่า “เจ้าอยู่ที่ใด เดี๋ยวข้าไปส่ง”
ท่านยายยิ้มแหยๆ “จะกล้ารบกวนเจ้าได้อย่างไร ข้าเดินเองได้ เจ้ารีบไปทำธุระเถิด อย่าเสียเวลากับข้าเลย”
เฉียวเจิงเลยบอกว่า “เจ้าไม่ได้อยู่แถวนี้หรอกหรือ แค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้น ไม่เป็นไรหรอก”
ท่านยายหัวเราะแห้งๆ “เช่นนั้น…เช่นนั้นก็รบกวนเจ้าแล้ว…”
เฉียวเจิงแบกท่านยายขึ้นหลัง ท่านยายชี้บอกทาง พวกเขาเดินผ่านตรอกที่ท่านยายเดินมาแล้วเลี้ยวเข้าไปอีกตรองหนึ่ง ตรอกนี้ค่อนข้างลึก ยิ่งเดินยิ่งไกล เฉียวเจิงถามว่า “เจ้าแน่ใจหรือว่าเป็นที่นี่”
ท่านยายบอกว่า “ใช่สิๆ เจ้าเดินเหนื่อยแล้วใช่หรือไม่ เจ้าปล่อยข้าลงก็ได้ เดี๋ยวข้าเดินเอง”
เฉียวเจิงส่ายหน้า “ข้าไม่เหนื่อย ข้าเพียงกลัวว่าเจ้าจะจำทางผิด”
จากถนนที่เกิดเรื่องจนมาถึงตรงนี้นับว่าไม่ใกล้แล้ว เฉียวเจิงเดินผ่านถนนเข้าซอยผ่านตรอกจนเหงื่อแตกเต็มตัวไปหมด “ไปทางไหนต่อหรือ ซ้ายหรือว่าขวา”
ท่านยายบอกว่า “ทางขวา”
เฉียวเจิงเลี้ยวขวา แล้วก็เห็นว่าเป็นอีกตรอกหนึ่ง เขามองไปรอบๆ แล้วเอ่ยด้วยความหงุดหงิดว่า “ท่านยาย เจ้าอยู่ที่นี่จริงๆ หรือ พื้นที่ตรงนี้เหมือนใกล้จะพังแล้ว ไม่มีใครอยู่แล้วนี่”
ท่านยายบอกว่า “พวกเราก็จะย้ายกันแล้ว ไม่กี่วันนี้แหละ”
เฉียวเจิงมัวแต่จะหาบ้าน ไม่ได้มองไปทางนาง “ท่านยาย หลังไหนถึงเป็นบ้านของเจ้าหรือ”
ท่านยายยกมือชี้ไปที่บ้างหลังหนึ่งที่มีโคมไฟสีขาวเขียนตัวอักษรสีดำเขียนอยู่ “หลังนั้น ที่หน้าประตูมีโคมแขวนอยู่นั่นน่ะ เห็นหรือไม่”
เฉียวเจิงถามด้วยความสงสัย “นั่นมิใช่ร้านขายโลงศพหรอกหรือ”
ท่านยายยกมุมปากขึ้น กระซิบที่ข้างหูเขาว่า “บ้านข้าทำการค้ากับคนตายนี่ล่ะ”