หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 417 หรงเฟยบาดเจ็บหนัก (2)
ตอนที่ 417 หรงเฟยบาดเจ็บหนัก (2)
ครานี้เลยได้ตกใจกันทุกคน ไม่เพียงเด็กชายกับกลุ่มคนที่หญิงชราพามาด้วยที่ตกใจจนอ้าปากค้าง แม้กระทั่งรองแม่ทัพสวีกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็ตาโตอ้าปากค้างไปด้วย
แม่เจ้า ทำกันถึงขนาดนี้แต่ให้ข้าเห็นอะไรเช่นนี้เนี่ยนะ
“อะ อะไรกันนี่” รองแม่ทพัสวีถึงกับลิ้นพันกัน
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เจ้าถามข้าแล้วข้าจะไปถามผู้ใด”
หากเขาฟังไม่ผิด หญิงชราผู้นั้นดูเหมือนจะเรียกว่านายน้อย เมื่อตอนที่พวกเขามาติดตามจีหมิงซิวนั้น จีหมิงซิวยังเป็นเด็กหนุ่ม จะให้เรียกว่านายท่านก็รู้สึกกระดากปาก เลยหลอกตัวเองด้วยการเรียกว่านายน้อยไปเสีย
การเรียกขานว่านายน้อย เห็นได้ชัดว่ามีความหมายว่าตนเป็นผู้ใหญ่กว่าอยู่ในนั้น ตอนท่องไปในยุทธภพก็ไม่รู้สึกหน้าอายเพียงนั้น ซ้ำจีหมิงซิวก็ไม่ถือสา ดังนั้นหลังจากผ่านมาหลายปีเพียงนี้ นายน้อยไม่ใช่เด็กหนุ่มอ่อนเยาว์เช่นในวันวันแล้ว แต่พวกเขาก็ยังคงเรียกขานกันเช่นเดิม
เขาไม่คิดว่านายน้อยที่ออกจากปากหญิงชราจะมีความหมายเดียวกับนายน้อยที่พวกเขาเรียกขานกันเป็นประจำ
หญิงชราตื่นเต้นจนขอบตาแดง ส่วนจีหมิงซิวแค่เพียงมองอีกฝ่ายด้วยความสงบนิ่ง ท่าทางสงบนิ่งเช่นนี้ยิ่งทำให้หญิงชราน้ำตาทะลักล้นออกมาหนักกว่าเดิม “เหมือน…เหมือนมากจริงๆ…”
นางหันไปกวักมือเรียกหลานๆ นางทางด้านหลัง “ยังไม่รีบมาคารวะนายน้อยอีก”
เด็กสามคนดูเหมือนจะต่อต้านอยู่เล็กน้อย แต่บุรุษที่ลอบโจมตีจีหมิงซิวคนแรกนั้นจูงมือสตรีอีกคนเดินเข้ามา เด็กทั้งสามมองหน้ากันก่อนจะยอมตามมาอย่างว่าง่าย
หญิงชราแนะนำว่า “นี่คือบุตรชายข้า นี่สะใภ้ ส่วนสามคนนี้เป็นหลาน นั่นก็ด้วย”
นางหมายถึงเด็กชายที่เยี่ยนเฟยเจวี๋ยจับตัวอยู่
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยอึ้งไป รีบปล่อยมือทันที
เด็กชายรีบวิ่งกลับมากอดพ่อกับแม่ มองพวกเยี่ยนเฟยจวี๋ยทั้งกลัวทั้งโกรธ
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกระแอมเบาๆ เขาไม่ได้จะสังหารเด็กนั่นจริงๆ เสียหน่อย ก็แค่ขู่ไปอย่างนั้น ดูเข้าใจผิดไปเข้า!
รองแม่ทัพสวีหลังจากตกใจอยู่พักหนึ่ง ก็พอเข้าใจแล้วว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร คนกลุ่มนี้ดูเผินๆ เหมือนชาวบ้านบนเขา แต่กระนั้นก็ระมัดระวังกับบุคคลภายนอกมาก พลทหารใหม่เหล่านั้นคิดดูแล้วคงเพราะบังเอิญบุกรุกเข้ามาในถิ่นของพวกนางเข้าถึงได้ถูกจัดการ
เพียงแต่ไม่คิดเลยว่านางจะรู้จักกับใต้เท้าอัครเสนาบดีด้วย แต่ดูจากท่าทางของใต้เท้าอัครเสนาบดีแล้วดูไม่รู้จักอีกฝ่ายชัดๆ…
ช่างเถิด เรื่องนี้ไว้ค่อยว่ากัน ธุระสำคัญในเวลานี้คือช่วยพลทหารใหม่เหล่านั้นออกมาก่อน
พอคิดเช่นนี้รองแม่ทัพสวีก็เดินเข้าไป ประสานมือทำความเคารพหญิงชราอย่างเรียบร้อย “ที่แท้ผู้อาวุโสก็เป็นคนคุ้นเคยกันนี่เอง ก่อนหน้านี้หากล่วงเกินสิ่งใดไป ขอผู้อาวุโสโปรดอภัยด้วย ไม่รู้ว่าผู้อาวุโส ผู้อาวุโส…ลูกน้องของข้าเหล่านั้นอยู่กับผู้อาวุโสหรือไม่ หากใช่ขอผู้อาวุโสช่วยเห็นแก่ใต้เท้าอัครเสนาบดี ช่วยเห็นใจปล่อยตัวพวกเขาด้วยเถิด”
เขาเห็นว่าหญิงชราดูให้เกียรติจีหมิงซิวยิ่งนัก ยังคิดว่าหญิงชราจะพูดคุยด้วยง่ายเสียอีก ลืมเรื่องก่อนหน้านี้อีกฝ่ายคิดอยากสังหารพวกเขาเพียงใดไปเสียสนิท
หญิงชราได้ยินที่รองแม่ทัพสวีบอกก็มองเขาด้วยสายตาเย็นยะเยือก ท่าทางนอบน้อมอย่างที่มีต่อจีหมิงซิวไม่มีเหลือให้เห็น ดวงดาภายใต้หนังตาที่เหี่ยวย่นแข็งกระด้างเรียบเย็นประหนึ่งใบมีด “พวกเขาบุกรุกเข้ามาในถิ่นฐานข้า สมควรตายแล้ว!”
รองแม่ทัพสวีถึงกับสะอึก
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยมองเขาอย่างสมน้ำหน้า ฉีกยิ้มจนปากแทบจะถึงใบหูอยู่แล้ว
“เจ้าอีกคน ก็สมควรตายเช่นกัน!”
สายตาเย็นยะเยือกของหญิงชราตวัดไปมองเยี่ยนเฟยเจวี๋ย
รอยยิ้มของเยี่ยนเฟยเจวี๋ยพลันแข็งค้าง
หลังจากนั้นหญิงชราก็นำทางพาจีหมิงซิวเข้าไปยังส่วนที่พักของตน เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเป็นถึงผู้อารักขาใกล้ชิด ย่อมไม่อาจอยู่ห่างนายน้อยได้อยู่แล้ว จึงตามไปด้วยอย่างไม่สนใจใดๆ ทั้งสิ้น
รองแม่ทัพสวีมอง “คนภูเขา” ที่ใบหน้าเรียบเย็นเหล่านั้นแล้วก็รู้สึกหนังศีรษะชา แต่ก็กลั้นใจตามไปด้วยเช่นกัน
ที่แท้พวกเขาก็อยู่กลางทิวเขาฝั่งตรงข้ามนี่เอง แต่อย่ามองว่าทิวเขาดูห่างไปไม่ไกล หากจะไปถึงตรงนั้นจริงๆ ต้องใช้เวลาพอสมควร เรื่องต้องหลบหลีกค่ายพรางตายังไม่เอ่ยถึง แต่ยังต้องผ่านค่ายกลที่ทั้งซับซ้อนและอันตรายมากมาย หากไม่มีคนนำทางน่ากลัวว่ากระทั่งเยี่ยนเฟยเจวี๋ยที่เป็นยอดฝีมือก็คงถูกขังอยู่ในนี้
หลังจากผ่านไปประมาณหนึ่งเค่อ พวกเขาก็มาถึงเรือนเล็กๆ หลังหนึ่ง ภายนอกเรือนหลังนี้ดูเผินๆ แสนจะธรรมดา พอเข้าไปถึงได้รู้ว่าธรรมดาอย่างภาพลักษณ์จริงๆ ภายในลานมีอุปกรณ์ล่าสัตว์และทำไร่อยู่จำนวนหนึ่ง ตรงกำแพงมีหนังสัตว์หลากหลายชนิดแขวนเอาไว้ รวมถึงพวกกระเทียมกับพริกตากแห้งด้วย
ภายในห้องโถงมีการประดับตกแต่งอย่างเรียบง่าย ข้างหน้าเป็นโต๊ะยาวตัวหนึ่ง ด้านหลังโต๊ะเป็นกำแพงที่แขวนภาพเด็กเทพอายุยืนไว้ ด้านข้างกำแพงทั้งสองข้างมีเก้าอี้วางอยู่ ส่วนด้านหลังห้องโถงเป็นลานกว้างซึ่งมีดอกไม้ใบหญ้าปลูกอยู่มากมาย
หญิงชราเชิญจีหมิงซิวเข้าไปนั่งในห้องโถง บุตรชายของนางพาพวกเด็กๆ กลับไปที่ห้อง ส่วนลูกสะใภ้พอต้มน้ำชาให้เสร็จแล้วก็ออกไปอย่างรู้งาน
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับรองแม่ทัพสวียืนอยู่หน้าประตูด้วยความประดักประเดิด ไม่มีใครเชิญพวกเขาเข้าไป…
รองแม่ทัพสวีกระแอมเบาๆ แล้วพูดเสียงเบาว่า “พวกเขาเป็นใครกัน องครักษ์ของตระกูลจีหรือ”
ตระกูลจีมีองครักษ์ที่เก่งกาจเพียงนี้เมื่อไรกัน นอกจากพวกที่คอยคุ้มกันพื้นที่ต้องห้ามเหล่านั้น แต่คนพวกนั้นเขาเคยพบมาหมดแล้ว ไม่ใช่หนึ่งในกลุ่มคนเหล่านี้แน่นอน
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยปรายตามองรองแม่ทัพสวีทีหนึ่ง ส่งเสียงหึเย็นๆ แล้วบอกว่า “ใต้เท้าสวี ความใคร่รู้สังหารแมวได้นะ”
รองแม่ทัพสวีกระแอมเบาๆ
วินาทีต่อมา เยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็เอาหูแนบประตู ขมวดคิ้วแอบฟังอยู่พักใหญ่ก็ฟังไม่ถนัดสักที เลยสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเดินอาดๆ เข้าไปข้างในเสียเลย
ทิ้งให้รองแม่ทัพสวียืนอึ้งอยู่กับที่ ไหนบอกว่าความใคร่รู้สังหารแมวได้อย่างไรกัน…
หญิงชรามองเยี่ยนเฟยเจวี๋ยที่เข้ามาโดยไม่ได้รับเชิญด้วยความระแวง
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเข้าไปยืนด้านหลังจีหมิงซิวหน้าตาเฉย
จีหมิงซิวใช้หางตากวาดมองเขาทีหนึ่ง “เขาเป็นองครักษ์ของข้า”
เห็นได้ว่านอกจากจีหมิงซิวแล้ว ไม่ว่าผู้ใดหญิงชราก็เห็นเป็นคนอื่นทั้งสิ้น แต่เพราะเห็นแก่จีหมิงซิว สุดท้ายจึงไม่ได้ทำอะไรเยี่ยนเฟยเจวี๋ย
“ยังไม่รู้เลยว่าควรเรียกขานเจ้าว่าอย่างไร” จีหมิงซิวเอ่ย
หญิงชราบอกว่า “นายน้อยทำข้าน้อยลำบากใจแล้ว ข้าน้อยแซ่เมิ่ง นายน้อยเรียกข้าน้อยว่าแม่เฒ่าเมิ่งก็ได้”
“ท่านยายเมิ่ง” จีหมิงซิวเอ่ยเรียกอย่างให้เกียรติ
แม่เฒ่าเมิ่งลุกขึ้นด้วยความตกใจ ใช้ไม้เท้ายันแล้วทำความเคารพ “นายน้อยทำข้าน้อยลำบากใจแล้ว!”
จีหมิงซิวเอ่ยอย่างไม่สะทกสะท้านว่า “ท่านยายเมิ่งนั่งเถิด หากข้าเรียกได้ เจ้าก็รับได้”
“…เจ้าค่ะ!” ท่านยายเมิ่งนั่งลง นางเหลือบมองเยี่ยนเฟยเจวี๋ยที่อยู่หลังจีหมิงซิวแล้วตะคอกว่า “ยืนบื้ออยู่ไย ยังไม่รู้จักรินน้ำชาให้นายน้อยอีก!”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกัดฟันกรอด ยัยแก่นี่เปลี่ยนอารมณ์เร็วกว่าเปลี่ยนหน้าหนังสืออีกนะ!
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยรินน้ำชาให้ทั้งสองด้วยความหงุดหงิด
จีหมิงซิวไม่ใช่คนจู้จี้ เขาไม่เคยใส่ใจเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ ทำให้เยี่ยนเฟยเจวี๋ยรับใช้คนไม่ค่อยเป็น พอรินชาเสร็จก็โยนกาน้ำชาลงบนโต๊ะแล้วก็เดินไปเลย
สีหน้าท่านยายเมิ่งดูไม่สู้จะพอใจ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้านายน้อย นางจะออกอาการมากไม่ได้ จำต้องเอ่ยอย่างมีนัยยะว่า “ข้าเห็นว่าข้างกายนายน้อยไม่มีสักคนที่ใช้งานได้ ไว้ข้าจะให้โย่วเอ๋อร์ไปติดตามท่าน”
โย่วเอ๋อร์ที่นางเอ่ยถึงก็คือลูกชายคนโตของนาง ซึ่งก็คือบุรุษที่ก่อนหน้านี้เกือบแทงกระบี่ทะลุกระดูกสะบักจีหมิงซิวนั่นเอง
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยทำเสียงเชอะทีหนึ่ง
จีหมิงซิวเหลือบมองอีกฝ่ายเรียบๆ เขาจึงปิดปากฉับอย่างรู้งาน จากนั้นจีหมิงซิวก็หันไปมองท่านยายเมิ่ง เอ่ยเรื่องที่คั่งค้างในใจออกมา “ท่านยายเมิ่ง ข้าฟังจำสำเนียงเจ้าแล้วไม่เหมือนเป็นคนต้าเหลียง”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยตั้งหูขึ้นทันที เหตุใดเขาถึงฟังไม่ออก
นัยน์ตาท่านยายเมิ่งฉายแววตกใจ “ข้าน้อยมาอยู่ต้าเหลียงได้หลายสิบปีแล้ว คุ้นเคยกับภาษาต้าเหลียงอย่างมากแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่านายน้อยจะฟังออก ข้าน้อยไม่ขอปิดบัง ข้าน้อยเป็นคนตระกูลกู่แห่งเยี่ยหลัว”
“ตระกูลกู่” จีหมิงซิวพึมพำเบาๆ
ท่านยายเมิ่งแค่เห็นสายตาเขาก็รู้ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้ยินชื่อตระกูลกู่แห่งเยี่ยหลัว “ดูท่านายน้อยคงรู้ชาติกำเนิดขององค์หญิงแล้วกระมัง”
จีหมิงซิวพยักหน้าเล็กน้อย
ท่านยายเมิ่ง “เมื่อครั้งองค์หญิงยังเด็ก นางเคยกลับเยี่ยหลัวไปหลายครั้ง มีครั้งหนึ่งได้รู้จักกับนายท่าน หลังจากนั้นข้าก็ติดตามองค์หญิงมาที่ต้าเหลียง เพียงแต่น้อยนักที่ข้าจะออกไปให้ผู้ใดพบเห็น ดังนั้นนายน้อยจึงไม่รู้จักข้า”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง” จีหมิงซิวเข้าใจทันที เขากวาดตามองรอบๆ แล้วถามต่อว่า “ท่านแม่ข้าเสียชีวิตไปหลายปีแล้ว เหตุใดท่านยายเมิ่งถึงไม่กลับไปเยี่ยกลัว แต่กลับอยู่ที่นี่ต่อหรือ”
ท่านยายเมิ่งทอดถอนใจ “ข้าได้รับการไหว้วานจากองค์หญิงให้ช่วยเฝ้าพื้นที่แห่งนี้ จนถึงวันนี้ก็เข้าปีที่ยี่สิบกว่าแล้ว”
“เหตุใดถึงต้องเฝ้าหรือ” จีหมิงซิวถาม
ท่านยายเมิ่งลังเลไปชั่วครู่ คล้ายไม่รู้ว่าควรพูดดีหรือไม่ แต่เมื่อได้สบกับดวงตาที่เหมือนขององค์หญิงราวกับแกะ ท่านยายเมิ่งก็ตัดสินใจ ใช้ไม้เท้ายันตัวลุกขึ้น “นายน้อยเชิญตามข้ามา”
จีหมิงซิวตามท่านยายเมิ่งออกไปทางประตูหลัง รองแม่ทัพสวียังไม่รู้ว่าพวกเขาออกจากเรือนไปแล้ว จึงยังคงยืนอยู่ตามลำพังใต้ชายคา ท่าทางน่าสงสารยิ่งนัก
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยตามทั้งสองไปด้านหลังภูเขา เดินผ่านค่ายพรางตาหลายอันจนไปถึงปากถ้ำเห่งหนึ่ง
ท่านยายเมิ่งแหวกเปิดค่ายพรางตาที่อยู่ตรงปากถ้ำพร้อมเอ่ยกับจีหมิงซิวว่า “ที่นี่มีทางเข้าเพียงทางเดียว องค์หญิงกำชับข้าไว้ว่าไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น ห้ามให้ผู้ใดเข้าใกล้ทางเข้าแห่งนี้”
จีหมิงซิวมองปากทางที่มืดสนิท “ข้างในมีอะไร”
“เป็นทางเส้นหนึ่ง” ท่านยายเมิ่งตอบ
“ไปยังที่ใด” จีหมิงซิวถาม
ท่านยายเมิ่งถอนหายใจ “ข้าเองก็ไม่รู้ ข้าไม่เคยเข้าไปมาก่อน”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเดาะลิ้น “เฝ้าอยู่ตั้งหลายปีเพียงนี้ เจ้ายังไม่เคยเข้าไปดูเลยหรือ”
ท่านยายเมิ่งถลึงตาใส่เขา “ผู้ใดเลยจะเหมือนเจ้าที่ควบคุมสองขาตนเองไม่ได้น่ะ”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเหลือบตามองฟ้า
จีหมิงซิวนิ่งไปก่อนจะเอ่ยกับท่านยายเมิ่งว่า “ข้าเข้าไปดูได้หรือไม่”
ท่านยายเมิ่งมีท่าทีลังเล “ได้นั้นได้อยู่หรอก เพียงแต่ว่าข้าจำเป็นต้องเห็นของดูต่างหน้าขององค์หญิงก่อนถึงจะให้ท่านเข้าไปได้ ยามนั้นองค์หญิงได้สั่งข้าไว้ นอกจากมีคนที่นำของดูต่างหน้านางมาที่หน้าประตูนี้แล้ว ไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามเข้ามาที่นี่ทั้งสิ้น”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยจำไม่ได้ว่าองค์หญิงเจาหมิงเคยให้ของดูต่างหน้าอะไรไว้กับนายน้อย ยัยแก่นี้คงไม่ได้ไม่อยากให้พวกเขาเข้าไปถึงได้ตั้งใจกุเรื่องขึ้นกระมัง
จีหมิงซิวเอ่ยด้วยสีหน้าคงเดิม “ของดูต่างหน้าที่ท่านแม่ทิ้งไว้ให้ข้านั้นมีมากอยู่สักหน่อย ไม่ทราบว่าท่านยายเมิ่งหมายถึงชิ้นใดหรือ”
ท่านยายเมิ่ง “ธนูจันทร์โลหิต”