หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 420-1 ความจริงของสุสานองค์หญิง (2)
ตอนที่ 420-1 ความจริงของสุสานองค์หญิง (2)
อายุครรภ์มากขึ้นเรื่อยๆ ฟู่เสวี่ยเยียนขี้เซากว่าปกติเล็กน้อย พอนอนตื่นมาฟ้าก็สว่างจ้าแล้ว นางค่อยๆ เผยอเปลือกตาขึ้นด้วยความง่วงงุน พอลืมตาขึ้นก็เห็นใบหน้าที่ใหญ่ราวกับแผ่นแป้ง เลยตกใจจนสะดุ้งโหยง!
“เจ้าตื่นแล้วหรือ?” ใต้เท้าเจ้าสำนักเอามือเท้าคางดันแก้มของใบหน้าหล่อเหลาจนกลายเป็นแป้งเนื้อก้อนใหญ่ พอเห็นฟู่เสวี่ยเยียนดูเหมือนจะตกใจมาก เขาก็เอ่ยด้วยความอารมณ์ดีว่า “ดีใจสินะ ที่ข้ามาหาเจ้าแต่เช้าเพียงนี้”
แบบนี้เรียกว่าดีใจที่ไหน เรียกว่าตกใจชัดๆ!
ฟู่เสวี่ยเยียนตั้งสติ ก้มหน้าลงไปจัดระเบียบเสื้อผ้าที่อาจจะยุ่งเหยิงของตน
ใต้เท้าเจ้าสำนักเอาหน้ากากขึ้นสวมพลางบอกว่า “ไม่ต้องดูแล้ว ข้าติดให้เจ้าเรียบร้อยแล้ว ทั้งหมดสามเม็ด ไม่ต้องขอบคุณนะ”
ฟู่เสวี่ยเยียนก้มลงมองกระดุมเม็ดสามที่แทบจะติดอยู่ในจุดที่ไม่อาจบอกได้ ใบหน้าแดงก่ำ “ออกไปนะ!”
“ออกก็ออกสิ จะมาดุแต่เช้าไปไย” ใต้เท้าเจ้าสำนักเบ้ปาก ลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า เหล่ตามองนางขึ้นลงทีหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ตรงนั้นของเจ้าดูจะใหญ่ขึ้น…”
ฟู่เสวี่ยเยียนฟาดฝ่ามือไล่เขาออกไป!
…
ฟู่เสวี่ยเยียนล้างหน้าล้างตาเสร็จ กินอาหารเช้าง่ายๆ ใส่เสื้อคลุมตัวใหญ่แล้วออกจากเสี่ยวอวี่เซวียนไป
ใต้เท้าเจ้าสำนักยืนรออยู่หน้าประตูด้วยท่าทางองอาจ
ซิ่วฉินเคยชินกับการตอแยไม่เลิกราของเขาแล้ว นางมองเขาอย่างขบขัน ประคองคุณหนูของตนโดยไม่พูดอะไร
ฟู่เสวี่ยเยียนเอ่ยเสียงเรียบ “เจ้ามาทำอะไรอีก”
ใต้เท้าเจ้าสำนักกอดอกพลางทำเสียงหึหึ “เมื่อวานไม่รู้ผู้ใดดึกดื่นไม่หลับไม่นอน อยากจะวิ่งมาเด็ดดอมข้าถึงห้องตอนกลางดึก”
ซิ่วฉินอดไม่ไหว มุมปากถึงขั้นกระตุกเบาๆ เด็ดดอมถึงห้องทั้งกลางดึกถึงใช้กับห้องของสตรี เจ้าเป็นผู้ชายตัวบึกบึนกล่าววาจาเช่นนี้ไม่อายปากบ้างหรือ
“เจ้ามาหาข้าด้วยเรื่องอันใด” ใต้เท้าเจ้าสำนักถาม
ขนตาของฟู่เสวี่ยเยียนสั่นเบาๆ ตอบเสียงต่ำว่า “ไม่มีอะไร”
“ไม่มีอะไรแต่ไปหาข้าเสียดึกดื่นป่านนั้น”
ต้องเป็นเพราะคิดถึงข้าจนนอนไม่หลับ เฝ้าคนึงหาแทบเสียสติเป็นแน่!
ฟู่เสวี่ยเยียนไม่สนใจเขา หลุบตาลงแล้วหลบไปด้านข้างก้าวหนึ่ง
ใต้เท้าเจ้าสำนักก็ก้าวตาม ขวางทางนางไว้จนหมดสิ้น
ฟู่เสวี่ยเยียนข่มไฟโทสะไว้ ปรายตามองอีกฝ่าย “ถอยไป”
ใต้เท้าเจ้าสำนักเอ่ยท่าทีหนักแน่น “ไม่ถอย นอกเสียจากว่าเจ้าจะบอกข้ามาก่อนว่าเมื่อคืนไปหาข้าด้วยเหตุอันใด”
ซิ่วฉินมองคุณหนูของตนด้วยใจประหวั่น
ลูกกระเดือกของฟู่เสวี่ยเยียนขยับเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นมองเข้าไปในตาของใต้เท้าเจ้าสำนัก เอ่ยอย่างไม่มีหลบเลี่ยงว่า “ที่ข้าไปหาเจ้าเพราะอยากได้กระดิ่งของข้าคืน”
“เจ้ายังจำของสิ่งนั้นได้อีก!” ตัวใต้เท้าเจ้าสำนักเองยังเกือบลืมไปแล้วเลย คราแรกนางยักษ์รังแกเขาเพราะเจ้าของสิ่งนี้ไว้ไม่น้อย แต่ถูกเขาเอาซ่อนไว้ได้ทุกครั้งไป ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่นางไม่เอ่ยถึงเรื่องกระดิ่งนั้นอีก เขาเลยค่อยๆ ลืมเรื่องกระดิ่งอันนั้นไป พออยู่ดีๆ เจ้าของจะมาขอคืนอีกครั้ง เขาก็ชะงักงันไป “ของสิ่งนั้นมีที่มาที่ไปอย่างไรหรือ เจ้าถึงได้หวงแหนมันเพียงนี้”
“ไม่ใช่เรื่องของเจ้า เอาคืนข้ามา” ฟู่เสวี่ยเยียนยื่นมือออกไป
กระดิ่งนั้นเป็นเพียงข้ออ้าง อันที่จริงนางยักษ์อยากมาหาเขาตอนกลางคืนต่างหาก!
ข้านี่ฉลาดนักเชียว!
“ไม่คืน”
“ไม่คืนก็แล้วไป” ฟู่เสวี่ยเยียนลดมือลง ยกเท้าก้าวไปข้างหน้า
ยอมง่ายๆ เช่นนี้ นางไม่ได้อยากได้จริงๆ เสียด้วย ใต้เท้าเจ้าสำนักยกมุมปากที่แดงฉ่ำยิ่งกว่าสตรีขึ้นแล้วเดินตามฟู่เสวี่ยเยียนไป “จะไปไหนน่ะ”
ฟู่เสวี่ยเยียนเอ่ยเสียงเรียบ “อุดอู้อยู่แต่ในบ้านนานเกินไป จะออกไปเดินเล่นสักหน่อย”
ใต้เท้าเจ้าสำนักเอ่ยอย่างเย่อหยิ่ง “ข้าไปเป็นเพื่อน”
“ไม่ต้อง” ฟู่เสวี่ยเยียนปฏิเสธทันทีไม่มีหยุดคิด
เฟิ่งชิงเกอเคยบอกว่า สตรีทุกคนล้วนปากไม่ตรงกับใจ ไม่เอาก็คือเอา ไม่ต้องก็คือต้อง
ใต้เท้าเจ้าสำนักเดินอาดๆ ขึ้นรถม้าตามไป ไม่สังเกตสักนิดว่าสายตาคมๆ ของฟู่เสวี่ยเยียนแทบจะแทงเขาพรุนเป็นตะแกรงแล้ว
รถม้าเคลื่อนตัวออกจากบ้านตระกูลจีได้ไม่เท่าไร จีหมิงซิวกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็เดินออกจากหลังต้นไม้
จีหมิงซิวมองรถม้าที่เคลื่อนตัวไกลออกไป เอ่ยด้วยสายตาล้ำลึกว่า “ตามไป”
…
อีกด้านหนึ่ง เฉียวเวยพาเด็กทั้งสามไปส่งที่สำนักศึกษา พอเสร็จนางไม่ได้กลับบ้านตระกูลจีทันที แต่ไปที่หอหลิงจือก่อน
อาจารย์ตาฮั่วกับยิ่นอ๋องฟื้นตัวกันได้ดี อีกไม่กี่วันอาจารย์ตาฮั่วก็จะได้สติแล้ว ส่วนยิ่นอ๋องก็จะลงมาเดินได้แล้ว
เรื่องวังใต้ดินกับสุสานองค์หญิงนางไม่ปิดบังมารดาของตน จีหมิงซิวก็ไม่ได้ตั้งใจให้ปิดบัง เพราะถึงอย่างไรหากกระทั่งมารดาของนางก็ยังเชื่อใจไม่ได้ พวกเขาก็ไม่รู้แล้วจริงๆ ว่ายังเชื่อใครได้อีก
เฮ่อหลันชิงฟังจบ ใบหน้ามหาเสน่ห์ก็มีแววเคร่งขรึมอย่างน้อยครั้งจะได้เห็น “ข้าเฮ่อหลันชิงชีวิตนี้ไม่เคยเลื่อมใสผู้ใดมาก่อน แม่สามีเจ้านับเป็นคนแรก”
คนที่ทำให้แม่ของนางเอ่ยวาจาเช่นนี้ได้ เห็นได้ว่าองค์หญิงนั้นเก่งกาจเพียงใด
เฉียวเวยก็รู้สึกว่าแม่สามีนางเก่งกาจเหลือแสน ทั้งๆ ที่บอบบางกระทั่งไก่ตัวหนึ่งก็ยังฆ่าไม่ตาย แต่กลับสามารถกันทัพใหญ่ของเยี่ยหลัวไว้ที่หน้าประตูแคว้นได้เสียอย่างนั้น
หากไม่ใช่เพราะแม่สามีนางเก็บงำเรื่องวังใต้ดินไว้ได้อย่างมิดชิด กองทัพนักรบมรณะคงได้เหยียบย่ำต้าเหลียงจนเละเป็นสายน้ำ ทำลายเมืองหลวงจนราบพนาสูรไปแล้ว
แต่สตรีที่งดงามจนน่าสะพรึงผู้นี้ หลังจากสิ้นชีพแล้ว ของที่เหลือทิ้งไว้ก็ยังไม่ได้รับความสงบ
“ท่านแม่ ข้าอยากเข้าวังสักหน่อย”
“เข้าไปทำอันใด” เฮ่อหลันชิงถาม
เฉียวเวยเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “คราก่อนราชครูเดิมพันแพ้ ข้าจะไปเร่งให้เขาส่งของที่องค์หญิงทิ้งไว้มาให้”
“แล้วอย่างไรอีก” เห็นได้ชัดว่านางรู้ว่าบุตรสาวไม่ได้เข้าวังไปเพียงเรื่องแค่นี้
เฉียวเวยคิดก่อนตอบกว่า “ยังมีเรื่องที่ข้าอยากไปดูสักหน่อยว่าฝ่าบาทเป็นอะไรกันแน่ เขาไม่รู้จริงๆ ว่าในวังเกิดเรื่องอะไรขึ้น หรือรู้แล้วแต่ก็ยังปล่อยปละให้หรงเฟยกระทำการตามอำเภอใจ”
เฮ่อหลันชิงตอบอื้อทีหนึ่ง “เช่นนั้นก็ดี”
เฉียวเวยเก็บข้าวของเล็กน้อย พอเตรียมตัวเสร็จก็หิ้วถุงผ้าใบย่อมออกไป
เฉียวเจิงเดินออกมาจากหลังผ้าม่าน “ปล่อยให้นางไปอย่างนี้เลยหรือ เจ้าไม่กลัวจะเกิดเรื่องกับนาง?”
เฮ่อหลันชิงถอนหายใจ “นางโตแล้ว ควรเรียนรู้ที่จะจัดการเรื่องบางเรื่องด้วยตนเองได้แล้ว คนเป็นพ่อเป็นแม่อย่างพวกเราจะอยู่กับนางไปตลอดคงไม่ได้”
เฉียวเจิงนิ่งคิดก็เห็นว่ามีเหตุผล อย่างไรบิดามารดาก็ต้องมีวันที่แก่ชรา หากเกิดวันใดพวกเขาไม่อยู่แล้วนางยังคงทำอะไรไม่เป็น เช่นนั้นต่างหากที่อันตรายที่สุด
เฮ่อหลันชิงเห็นสีหน้าเป็นกังวลของสามีก็เอ่ยปลอบว่า “นางเก่งกว่าที่เจ้าคิด”
“เก่งเท่าเจ้าหรือ” เฉียวเจิงถาม
เฮ่อหลันชิง “…”
เฉียวเจิงพลันเบ้ปาก โผเข้าไปกอดภรรยาพลางเอ่ยอย่างน่าสงสาร “เช่นนั้นข้าก็ยังเป็นห่วงอยู่ดี!”
…
รถม้าของเฉียวเวยหยุดอยู่ห่างจากวังหลวงไปประมาณสองลี้ นางสวมใส่เสื้อผ้าของบ่าวจวนอัครเสนาบดี ของในห่อผ้าถูกพับแล้วกระจายยัดอยู่ตามแขนเสื้อกับอกเสื้อ นางควักป้ายคำสั่งของจวนอัครเสนาบดีออกมาพร้อมบอกว่าจะไปที่ตำหนักว่าราชการเพื่อหยิบของบางอย่างให้ใต้เท้าอัครเสนาบดี องครักษ์จึงปล่อยนางเข้าไป
พอเข้ามาในวังแล้ว นางก็รีบหลบไปอยู่หลังภูเขาจำลอง ถอดเสื้อนอกออก เผยให้เห็นชุดเครื่องแบบของนางกำนัลในวังหลวง ทั้งยังรวบผมขึ้นเป็นทรงง่ายๆ พอเอาเสื้อผ้าที่ถอดออกไปซ่อนเสร็จก็เดินออกจากภูเขาจำลอง มุ่งหน้าไปยังตำหนักกานลั่วโดยไม่ให้ผู้ใดเห็น
หลังจากเกิดเรื่องเมื่อวานขึ้น หรงเฟยคงต้องระวังตัวมากขึ้นเป็นแน่ หากคิดจะแฝงตัวเข้าไปยังตำหนักกานลั่ว เกรงว่าคงต้องหาคนคุ้นเคยสักคนให้ช่วยเหลือถึงจะได้
แต่นางไม่รู้จักใครในวังหลวงเลยจริงๆ คนเดียวที่พอจะพูดคุยด้วยได้ก็มีแค่ฝูกงกง ไม่รู้ว่าวันนี้โชคของนางจะเป็นอย่างไร จะได้พบเขาหรือไม่