หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 421-1 ความจริงของราชันอสูร
ตอนที่ 421-1 ความจริงของราชันอสูร
เฉียวเวยอยากเห็นมาตั้งแต่ตอนประลองกันแล้วว่าราชันอสูรที่กดดันนางจนไม่อาจขยับตัวได้นั้นหน้าตาเป็นเช่นไร แต่ก็จนใจที่อีกฝ่ายสวมหน้ากากอยู่ จนสิ้นใจแล้วก็ยังไม่ยอมถอดออก คราวนี้ดีเลย เดี๋ยวข้าจะถอดให้เอง
ขอข้าดูหน่อยสิว่าเจ้าหน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่!
เฉียวเวยเป่าให้ไต้ไฟสว่างขึ้นอีกนิด จ่อตรงไปที่ตรงหน้าราชันอสูร
“พระสนม!”
อยู่ๆ ก็มีเสียงนางกำนัลดังขึ้นจากทางด้านบน
เฉียวเวยตกใจจนมือสั่น ไต้ไฟถึงกับหลุดมือ!
นางก็ว่าอยู่ว่าเหตุใดหรงเฟยถึงมาทางเดียวกับนางเรื่อย หรงเฟยคงตั้งใจมาที่นี้ตั้งแต่ต้นแล้ว เช่นนี้ไม่เรียกว่าคนจะดวงซวย กระทั่งดื่มน้ำก็ยังติดฟันหรอกหรือ จะหนีสักหน่อยก็ยังยาก ถึงขั้นหนีเข้ามาอยู่ใน “รัง” ของหรงเฟยเสียได้!
ไม่ว่าอย่างไรจะถูกหรงเฟยพบเข้าไม่ได้ ไม่อย่างนั้นต่อให้หรงเฟยไม่ทำอะไรนาง ก็ไม่มีทางเปิดโอกาสให้นางได้พบหน้าฮ่องเต้เป็นแน่
มีความคิดนี้แวบขึ้นมา เฉียวเวยก็รีบกดหน้ากากกลับลงบนหน้าราชันอสูรเช่นเดิม เก็บไต้ไฟที่ดับมอดไปแล้วขึ้นมา กระโดดพลิกตัวไปอยู่อีกด้านหนึ่งของโลงศพอย่างรวดเร็ว
เวลานี้นางคงได้แต่สวดภาวนาอย่าให้หรงเฟยเดินอ้อมมาทางฝั่งนี้แล้ว…
พื้นไม้เหนือศีรษะถูกเปิดออก แสงไฟอ่อนๆ ลอดเข้ามา เฉียวเวยหลับตาปี๋ พยายามทำให้เหมือนไม่มีคนอยู่ตรงนี้มากที่สุด
ชั่วขณะต่อมา พื้นไม้ปิดกลับลง แต่ภายในห้องยังคงมีแสงสว่าง เห็นได้ชัดว่าหรงเฟยพกเอาไข่มุกราตรีมาด้วย นางวางเบาๆ ลงบนแท่นไฟ
ไข่มุกราตรีเม็ดนั้นจะว่าเล็กก็ไม่เล็ก จะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ แสงสว่างมีเพียงอ่อนๆ เฉียวเวยจึงมั่นใจได้ว่าขอเพียงหรงเฟยไม่ตั้งใจเพ่งมองมาที่โลงศพ อีกฝ่ายก็จะไม่มีวันเห็นนางแน่นอน
เฉียวเวยได้กลิ่นคาวเลือดจางๆ จึงเลิกคิ้วขึ้น หรงเฟยกระอักเลือดหรือ
คงใช่แน่ ตอนหรงเฟยควบคุมหุ่นเชิดหมายจะทำร้ายบิดานางนั้น หุ่นเชิดถูกท่านแม่นางทำร้ายจนบาดเจ็บ หรงเฟยคงโดนมนต์สะท้อนกลับเข้าเสียแล้ว
เฉียวเวยตั้งใจฟังเสียงความเคลื่อนไหว
หรงเฟยใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดเลือดตรงมุมปาก เพ่งมองคนที่อยู่ในโลงศพ
อันที่จริงเฉียวเวยก้มตัวอยู่กับพื้น มองเห็นท่าทางของหรงเฟยไม่ชัด แต่นางรับรู้ได้ถึงความห่อเหี่ยวและเศร้าเสียใจจากตัวหรงเฟย
ช่างน่าประหลาด ก็แค่นักรบมรณะคนหนึ่งตายไปไม่ใช่หรือ จำเป็นต้องเสียใจเพียงนี้เชียวหรือ
ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเทียบกับความเสียใจแล้ว นางไม่ควรโกรธเกรี้ยวมากกว่าหรือ
นางใช้นักรบมรณะผู้นี้จนเกิดผูกพันขึ้นมาแล้วหรือไร
เฉียวเวยรู้สึกขันกับความคิดของตน หรงเฟยเลี้ยงยิ่นอ๋องมาเป็นยี่สิบปียังไม่คิดผูกพันเลย กับแค่นักรบมรณะเพียงคนเดียว จะเป็นไปได้อย่างไร
“สตรีนางนั้นฝีมือร้ายกาจกว่าที่ข้าคิดไว้ แต่ไม่เป็นไร ข้าจะต้องหาทางจัดการนางให้ได้”
น้ำเสียงหรงเฟยเจือแววโกรธแค้น
สายตาของเฉียวเวยขยับเล็กน้อย สตรีนางนั้นที่หรงเฟยเอ่ยถึงคงเป็นท่านแม่นางกระมัง
ยังเจ็บตัวไม่พออีกหรือ ยังคิดจะเล่นงานท่านแม่นางอีกงั้นหรือ ช่างไม่ประมาณตนเอาเสียเลย!
“ไว้ข้าแก้แค้นได้แล้ว ข้าจะพาเจ้าไป พวกเราไปอยู่ในที่ที่ไม่มีผู้อื่นกันเถิด”
ช้าก่อน คำพูดนี้เหตุใดจึงฟังดูทะแม่งๆ นะ!
“ข้ารู้ว่าเจ้าอยากไปที่นั่นมาตลอด ข้าจะพาเจ้าไป เจ้าทนรออีกหน่อย อีกไม่กี่วันเท่านั้น”
พูดจบหรงเฟยก็ยื่นมือออกมาลูบหน้ากากที่ทั้งเย็นและแข็งนั้น แต่แล้วจู่ๆ นางก็พบว่าหน้ากากหลวมเล็กน้อย คิ้วนางพลันขมวด ยื่นตัวขึ้นด้วยความระแวดระวัง “ผู้ใดกัน!”
ใจของเฉียวเวยพลันกระดอนขึ้นมาถึงลูกกระเดือก
หรงเฟยมองห้องน้ำแข็งที่วางเปล่าระมัดระวัง นางลุกยืนอย่างเยือกเย็น เดินไปยังอีกด้านหนึ่งของโลงศพ
เฉียวเวยกระชับกริชในแขนเสื้อ
ในขณะที่หรงเฟยใกล้จะอ้อมมาถึงอีกด้านหนึ่งของโลงศพนั้น แผ่นไม้เหนือศีรษะก็ถูกคนเปิดออก ตามด้วยเสียงร้อนรนของฝูหลิง “พระสนม!”
“มีอะไร” หรงเฟยถามเสียงขรึม
ฝูหลิงบอกว่า “เมื่อครู่ข้าถูกคนทำร้ายจนสลบไปที่สวนผลไม้! นางกำนัลพากันบอกว่ามีคนหน้าตาเหมือนข้าทุกอย่างเดินเข้ามาที่นี่!”
สีหน้าหรงเฟยพลันเปลี่ยน รีบกวาดตามองอีกด้านหนึ่งของโลงศพก็ไม่เห็นสิ่งผิดปกติใดๆ นางจึงก้าวขึ้นบันไดแล้วออกจากห้องน้ำแข็งไป
ตรงปลายโลงศพ เฉียวเวยกอดตัวเองไว้แน่น หดตัวแน่นราวกับก้อนไหมพรม
เมื่อมั่นใจว่าแผ่นไม้ปิดสนิทแล้ว หรงเฟยกับฝูหลิงก็เดินห่างไปไกลแล้ว เฉียวเวยถึงได้ถอนหายใจยาวออกมา ยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดเหงื่อตรงหน้าผาก
คราวนี้คงไม่มีใครรบกวนนางแล้วกระมัง
เฉียวเวยควักไต้ไฟออกมาอีกครั้งแล้วเป่าให้สว่าง ภายใต้แสงไฟ ราชันอสูรนานตัวตรงแน่วอยู่ในโลงศพ มองดูคล้ายกำลังนอนหลับ
เฉียวเวยค่อยๆ ถอดหน้ากากคนในโลงออก แสงไฟค่อยๆ ส่องกระทบใบหน้าเขา เฉียวเวยได้เห็นใบหน้านั้นชัดๆ เสียที แต่แล้วนางกลับต้องตกใจจนแทบล้มลง
คนผู้นี้เหตุใด…เหตุใดถึงหน้าตาเช่นนี้
ไม่ถึงขั้นหน้าเขียวแสยะเขี้ยวใหญ่ แต่ก็ไม่ต่างจากนั้นมากนัก
ด้วยหน้าตาเช่นนี้ เหตุใดหรงเฟยถึงเอ่ยวาจาอบอุ่นอ่อนหวานเช่นนั้นได้ นางตาบอดไปแล้วหรือไร
เฉียวเวยนวดหน้าอกตัวเอง ตนต้องเข้าใจอะไรผิดไปแน่ คนผู้นี้ไม่แน่ว่าอาจะเป็นญาติพี่น้องของหรงเฟยก็ได้ เช่นว่าพี่ชาย น้องชาย หรืออะไรเทือกๆ นั้น มิน่าอายุถึงได้ต่างกันเพียงนี้ อันที่จริงใบหน้านี้ดูประหลาดยิ่งนัก นางคาดเดาอายุอีกฝ่ายไม่ถูกเลย!
นางสูดหายใจเข้าลึกๆ ลบใบหน้าของราชันอสูรออกจากสมองไปทันที จากนั้นนางก็ใส่หน้ากากกลับคืนให้เขา ตอนใส่หน้ากากกลับลงไปนางเหลือบไปเห็นของสีแดงบางอย่างตรงลำคอของราชันอสูร เขาสวมเสื้อเกราะทองแดงสีมืด เชือกสีแดงเช่นนี้จึงดูไม่เข้ากับส่วนอื่นๆ
เฉียวเวยดึงเชือกสีแดงนั้นออกมาก็เห็นว่าที่ห้อยอยู่เป็นหยกหนึ่งชิ้น พูดให้ชัดเจนก็คือเป็นหยกครึ่งชิ้น
เครื่องประดับหยกชิ้นนี้ตรงปลายหยกดูไม่สมบูรณ์ คล้ายถูกใครจับหักเสีย
เฉียวเวยไม่สนใจเครื่องประดับบนตัวราชันอสูรนัก จึงเอาหยกชิ้นนั้นยัดกลับไปข้างหลังเสื้อเกราะอย่างเก่า แล้วเร้นกายออกจากโพรงน้ำแข็งอย่างรวดเร็ว
ตอนเห็นคนตายยังไม่นึกกลัวเท่านี้…
แต่พอคิดอีกที ราชันอสูรก็เป็นคนตายมิใช่หรือ
…
ตำหนักกานลั่วเริ่มค้นหาคนแปลกปลอม เฉียวเวยนิ่งใช้ความคิด ในวังเกิดเรื่องใหญ่เพียงนี้ เชื่อว่าฝ่าบาทคงถูกหรงเฟยควบคุมไว้แล้วเป็นแน่ ส่วนจะควบคุมถึงขั้นไหนนั้น จะใช้พิษกู่หรือมนต์ดำ คงต้องไปทดสอบที่ตรงหน้าเสียแล้ว
เฉียวเวยหลบเลี่ยงนางกำนัลที่ค้นหาไปอย่างระมัดระวัง นางปีนขึ้นหลังคาไปยังลานด้านหลังอย่างไร้สุ้มเสียง นางนอนราบอยู่บนหลังคา ยื่นหน้าออกไปมองประเมินความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นด้านล่าง
ฝ่าบาทนั่งอยู่บนพระที่นั่งที่ปูด้วยหนังเสือ หรงเฟยอยู่ข้างกายพระองค์ด้วยกิริยาอ่อนหวาน สีพระพักตร์ฮ่องเต้ดูซีดเซียวกว่าปกติอยู่เล็กน้อย คล้ายป่วยเป็นอะไรบางอย่าง
“เมื่อครู่เป็นเสียงอะไรหรือ” ฮ่องเต้ตรัสถาม
หรงเฟยตอบเสียงนุ่มนิ่มว่า “สาวใช้ฝูหลิงนั่นน่ะ ทำกำไลที่ฝ่าบาทพระราชทานให้หม่อมฉันหายไป เกรงว่าคงถูกใครที่มีตาหามีแววไม่เก็บเอาไปแล้ว เวลานี้จึงกำลังตามหากันอยู่เพคะ”
“อ้อ” ฮ่องเต้ตอบรับ เห็นได้ชัดว่าไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ
เฉียวเวยลูบคางด้วยความสงสัย ท่าทางของฝ่าบาทดูมีสติครบถ้วนดี ไม่เหมือนคนที่ถูกควบคุมเลยสักนิด…
“ฝ่าบาท พระองค์รู้สึกดีขึ้นบ้างหรือยังเพคะ” หรงเฟยถามเสียงหวานเป็นที่ยิ่ง
ฝ่าบาทตรัสว่า “ดีขึ้นมากแล้ว พรุ่งนี้ก็น่าจะประชุมราชการได้แล้ว”