หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 421-2 ความจริงของราชันอสูร
ตอนที่ 421-2 ความจริงของราชันอสูร
หรงเฟยทำสีหน้าเป็นห่วงเป็นใย “ฝ่าบาท เมื่อวานพระองค์ถึงขั้นเป็นลมไป หมอหลวงบอกแล้วว่าพระองค์ไม่ควรเหน็ดเหนื่อยเกินไปนัก ควรพักผ่อนให้หายดีก่อนสักเจ็ดแปดวัน พระองค์จะไม่ฟังคำหมอหลวงได้อย่างไร หรือว่าพระองค์…ไม่วางใจให้หม่อมฉันจัดการเรื่องในวังหลวงหรือเพคะ หากเป็นเช่นนั้นหม่อมฉันจะยอมถอย แล้วให้พี่กุ้ยเฟยออกหน้าจัดการแทน”
กุ้ยเฟยโกรธจนล้มป่วยไปตั้งแต่วันที่เจ้ากลับมาเป็นที่โปรดปรานแล้ว จะออกหน้าจัดการได้อย่างไร วิธีการถอยเพื่อรุกเช่นนี้ ไม่มีใครเกินเจ้าจริงๆ
แล้วเฉียวเวยก็ได้ยินฮ่องเต้ตรัสว่า “กุ้ยเฟยสุขภาพไม่แข็งแรง คงต้องลำบากเจ้าหน่อย เรื่องในวังหลวงต้องฝากเจ้าดูแลแล้ว”
หรงเฟยลุกขึ้นทำความเคารพช้าๆ “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ไว้พระทัย หม่อมฉันจะทำเต็มที่แน่นอนเพคะ”
ฮ่องเต้นิ่งใช้ความคิดก่อนเอ่ยว่า “ใช่สิ เมื่อวานตอนข้านอนกลางวัน เหมือนได้ยินเสียงอึกทึกจากด้านนอก เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ”
หรงเฟยถอนหายใจเบาๆ บอกว่า “หม่อมฉันกำลังคิดจะกราบทูลเรื่องนี้ต่อฝ่าบาททีเดียว”
ฮ่องเต้หันไปมองนาง “อ้อ? เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ”
หรงเฟยเอ่ยอย่างขลาดกลัวว่า “เมื่อวานมีนักฆ่ากลุ่มหนึ่งไม่ทราบที่มาเข้ามาในวัง คนพวกนั้นลักพาตัวยิ่นอ๋องไป โชคดีที่จีฮูหยินมาถึงได้ทันกาล จึงช่วยยิ่นอ๋องจากมือคนร้ายไปได้ เพียงแต่คนร้ายกลุ่มนั้นก็ช่างร้ายกาจ รุกไล่จีฮูหยินไม่มีลดละ นักรบมรณะของตำหนักราชครูเร่งรุดมาช่วยเหลือ ก็ถูกทำร้ายจนล้มตายไป ฉินกงกงกับราชองครักษ์กลุ่มหนึ่งคอยคุ้มกันยิ่นอ๋องกับจีฮูหยิน จึงถูกฝีมืออันร้ายกาจของคนร้ายเล่นงานเข้าไป สุดท้ายเฉียวฮูหยินมาถึงได้ทันกาล ถึงได้รุกไล่จนคนร้ายล่าถอยไป เฉียวฮูหยินกระแทกกำแพงวังจนเสียหาย แต่นางก็ทำไปเพราะใจคิดอยากช่วยเหลือ หวังว่าฝ่าบาทจะไม่กล่าวโทษนาง”
จึ๊ๆๆๆ ดูความสามารถอันล้นเหลือของนางเขา ข้าละนับถือเลยจริงๆ!
“คิดไม่ถึงว่าเฉียวฮูหยินจะมาที่ต้าเหลียง” เมื่อเทียบกับเรื่องมีคนร้ายบุกเข้ามาในวังแล้ว ฝ่าบาทกลับตกใจกับเรื่องเฉียวฮูหยินมากกว่า
หรงเฟยเออออตาม “ก็ใช่น่ะสิเพคะ นางมาที่นี่แล้ว ไว้ฝ่าบาทกลับมาแข็งแรงดี ก็เรียกตัวนางให้มาเข้าเฝ้าในวังดีหรือไม่”
“อื้อ” ฮ่องเต้พยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ยิ่นอ๋องกับเฉียวซื่อเป็นอย่างไรบ้าง บาดเจ็บกันหรือไม่
หรงเฟยเอ่ยยิ้มๆ “เฉียวฮูหยินมาถึงได้ทันกาล ทั้งสองจึงไม่ถูก
ทำร้าย เพียงแต่… ยิ่นอ๋องถูกทรมานตอนอยู่ในคุกไปไม่น้อย บาดเจ็บภายในอย่างรุนแรง หม่อมฉันจึงบังอาจขอให้จีฮูหยินพาตัวเขาไปรักษาที่หอหลิงจือเพคะ”
พอเอ่ยถึงตรงนี้ หรงเฟยก็ค่อยๆ คุกเข่าลง “หม่อมฉันริอ่านตัดสินใจเอง กระทำการขัดราชโองการ ขอฝ่าบาทโปรดลงอาญาด้วย”
ฮ่องเต้โบกมือพร้อมถอนหายใจ “ช่างเถิด เจ้าก็ทำไปด้วยใจที่รักบุตร ยิ่งไปกว่านั้นเขาถูกคนไล่สังหารไปถึงคุกใต้ดินแล้ว ในคุกก็คงไม่ปลอดภัยแล้วเช่นกัน”
หรงเฟยมีฮ่องเต้ประคองให้กลับนั่งลงบนเก้าอี้ “พอหม่อมฉันกลับมาเป็นที่โปรดปราน ก็มีแต่คนนั่งกันไม่ติด เป็นหม่อมฉันเองที่ทำร้ายลูก”
หากฟังจากที่ยัยแก่อย่างเจ้าพูดก็หมายความว่าที่คนอื่นแห่กันไปทำร้ายบุตรเจ้าเป็นเพราะริษยาในตัวเจ้างั้นสิ
พอฟังถึงตรงนี้เฉียวเวยก็แทบจะทำอัษฎางคประดิษฐ์ด้วยความนับถือในยัยปีศาจเฒ่าผู้นี้ ธิดาเทพลูกเทพเอยแม่เลี้ยงสาวเอยอะไรเอย ถ้าเทียบกับนางแล้วเรียกว่าอ่อนด้อยไม่น่าเอ่ยถึงทั้งสิ้น อย่างนางนี้พูดจาหน้าไม่อายได้สุดยอดไปเลยจริงๆ ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ ตนกับยิ่นอ๋องยังมีชีวิตอยู่ด้วยกันทั้งคู่ นางไม่กลัวว่าวันหนึ่งตนกับยิ่นอ๋องจะมาเข้าเฝ้าต่อหน้าพระพักตร์แล้วกล่าวโทษนางเลยหรือ
อ้อ เกือบลืมไปเสียสนิท ยิ่นอ๋องเป็นบุตรมากกตัญญู ทำใจเปิดโปงนางไม่ได้หรอก
หากมีแค่คำพูดของตนเพียงด้านเดียว ฝ่าบาทก็ไม่แน่ว่าจะเชื่อ
นังปีศาจหรงเฟยจอมเจ้าเล่ห์!
…
ในเมื่อฝ่าบาทไม่ได้ถูกควบคุม เช่นนั้นก็ไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ที่นี่ต่อไปอีก
จากความไม่เชื่อใจในหรงเฟยเมื่อในอดีต ทำให้หรงเฟยต้องอยู่อย่างบ่าวไพร่มาเป็นยี่สิบปี เวลานี้เขาจึงนึกกลัวว่าหากเขาไม่ถี่ถ้วน จะทำให้เข้าใจหรงเฟยผิดไปอีก ดังนั้นหากคิดจะลากหรงเฟยให้จมดิน จำเป็นต้องมีหลักฐานที่แน่นหนามามัดตัวถึงจะได้
แต่กระนั้นยิ่นอ๋องผู้โง่เขลาเป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมเปิดปากเสียนี่!
ช่างน่าโมโหนัก!
เฉียวเวยดึงหน้ากากบนหน้าออกด้วยความหัวเสีย เดินหน้าบึ้งตึงไปตามทางเดินในวังที่ไม่ค่อยมีคนผ่านไปมา
แต่แล้วจู่ๆ นางก็รู้สึกว่ามีคนตามนางมา สายตานางพลันเปลี่ยน กระชับกริชที่อยู่ในแขนเสื้อกว้างแน่น
คนผู้นั้นใกล้เข้ามาเรื่อย ก่อนจะยื่นมือออกมาตีแขนนาง
นางหันขวับไปทันที พร้อมจู่โจมเข้าใส่ลำคออีกฝ่าย คนผู้นั้นเบี่ยงตัวหลบการโจมตีของนางไปได้
จากนั้นเมื่อนางเห็นหน้าอีกฝ่ายชัดเจน นางก็อดอึ้งงันไปเล็กน้อยไม่ได้ “รัชทายาท?”
รัชทายาทจับข้อมือเฉียวเวยไว้แล้วดึงนางให้ไปอยู่หลังต้นไม้ ฝูหลิงนำนางกำนัลกลุ่มหนึ่งเดินเร็วๆ มาตามทางเดิน “พวกเจ้าน่ะ ไปลองหาดูตรงนั้น ส่วนพวกเจ้าตามข้ามา!”
“เจ้าค่ะ”
นางกำนัลทั้งหลายกระจายตัวกันออกไป
ฝูหลิงนำนางกำนัลสามคนไปยังสวนผลไม้ที่ตนถูกดักทำร้ายเมื่อครู่
เมื่อมั่นใจว่าพวกนางเดินไปไกลแล้ว รัชทายาทถึงได้ปล่อยข้อมือเฉียวเวยแล้วลุกขึ้นยืนด้านหลังพุ่มไม้
เฉียวเวยมองเขาด้วยความสายตาประหลาด
“มองอะไร” รัชทาบาทถามเสียงเรียบ
“มองท่าน…” เฉียวเวยกวาดมองไปทั่วๆ “ท่านมาจากที่ใดกัน”
รัชทาบาทบอกว่า “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องสนใจ”
เฉียวเวยยักไหล่เป็นการบอกว่าไม่ยุ่งก็ไม่ยุ่ง “ในวังเกิดเรื่องใหญ่เพียงนี้ ข้าไม่เห็นท่านเลย ยังคิดว่าท่านถูกใครทำอะไรไปแล้วเสียอีก”
รัชทายาทไม่ตอบ
เขาเป็นคนประหยัดถ้อยคำอยู่แล้ว เฉียวเวยจึงไม่รู้สึกแปลกอะไร หากวันใดเขาเกิดลุกขึ้นมาพูดคุยเหมือนคนอื่นๆ นั่นต่างหากที่พระอาทิตย์คงได้ขึ้นทางตะวันตก
พอคิดอะไรได้เฉียวเวยก็ถามต่อว่า “เรื่องเมื่อวานท่านได้ยินแล้วหรือยัง”
“ไม่ได้ยิน” รัชทายาทบอก
เฉียวเวยผิดหวัง
แต่กลับได้ยินเขาตอบว่า “ข้าได้เห็น”
เฉียวเวยตะลึงค้าง
ยังมีพยานเห็นเหตุการณ์ด้วยหรือนี่!
“ท่านเห็นอะไรบ้าง”
“เห็นว่าหรงเฟยสังหารคนพวกนั้น”
“เจ้าหมายถึงพวกทหารราชองครักษ์?”
“อื้อ”
เฉียวเวยกัดฟัน “เป็นฝีมือหรงเฟยจริงๆ เสียด้วย!” นางนิ่งไปก่อนจะหันไปเอ่ยกับรัชทายาทอีกครั้ง “ที่ท่านมาหาข้าก็เพราะต้องการคุยกับข้าเรื่องนี้หรือ หรือว่า…เจ้ายินดีไปกล่าวโทษหรงเฟยต่อหน้าพระพักตร์เสด็จพ่อของเจ้า”
รัชทายาทส่งสายตาบอกไม่ได้มาหาเฉียวเวย
เฉียวเวยถึงรู้สึกว่าตนถูกเจ้าเด็กบ้านี้ดูถูกให้เสียแล้ว!
รัชทาบาทเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ที่ข้ามาหาเจ้าเพราะอยากบอกเรื่องหรงเฟยแก่เจ้าเรื่องหนึ่ง”
เฉียวเวยขมวดคิ้ว มองรัชทายาทด้วยสายตาไม่เข้าใจ
“เหตุใดเจ้าจึงมองหน้าข้าเช่นนี้” รัชทายาทถาม
เฉียวเวยลูบคาง “ข้ารู้จักกับท่านรัชทายาทมานานเพียงนี้ พูดคุยกันรวมๆ แล้วยังไม่ถึงชั่วครึ่งเวลาจิบชาหนึ่งจอกนี้เลย”
“เจ้าอยากจะฟังรึไม่เล่า” รัชทายาทถามเสียงเรียบ
ดวงตาคู่งามของเฉียวเวยพลันเปลี่ยน “อยาก ต้องอยากสิ! เจ้าอยากพูดเรื่องอะไรของนางหรือ”
รัชทาบาทนิ่งใคร่ครวญไปครู่หนึ่ง “ความลับเรื่องหนึ่งของนาง”